อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 55 ความคิดของมู่หยางหลิง

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 55 ความคิดของมู่หยางหลิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในห้องโถงกินข้าวกันเสร็จ แต่พวกเขาก็เลือกที่จะนั่งสนทนากันต่อ เพราะเด็ก ๆ ในสวนยังนั่งกินข้าวกันไม่เสร็จ

และช่วงนี้ก็เป็นโค้งสุดท้ายของฤดูเก็บเกี่ยวแล้วด้วย ผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลายจึงนั่งสนทนากันถึงผลการเก็บเกี่ยวในปีนี้ไปจนถึงแผนการหว่านเมล็ดในปีหน้า

ทันใดนั้น มู่หยางหลิงก็เดินเข้ามาในโถง โดยที่หลิวเหอกับหลิวต้าเฉียนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเห็นหน้านางก่อนคนอื่น ๆ

หลิวเหอโบกมือและยิ้มให้มู่หยางหลิง “มาแล้วเรอะอาหลิง? มาหาข้าด้านนี้หน่อยสิ”

มู่หยางหลิงยิ้มอ่อน ๆ พลางเดินเข้าไปอย่างสุภาพ พร้อมทั้งกล่าวทักทายผู้อาวุโสทั้งหลายที่นั่งอยู่ในห้องโถง “ผู้อาวุโสทั้งหลาย สวัสดีจ้ะ”

หลิวเหอหัวเราะชอบใจ “เจ้าเด็กคนนี้ยังสุภาพเรียบร้อยเหมือนเดิมเลย เพิ่งกลับมาจากในเมืองรึ? แล้วพ่อเจ้าล่ะ?”

“กลับมาแล้วเหมือนกันจ้ะ ตอนนี้ท่านพ่ออยู่กับท่านแม่ที่บ้าน ข้าก็เลยพาน้องมาเที่ยวเล่นน่ะจ่ะ”

หลิวเหอรู้ว่ามู่ฉือไม่สนใจเรื่องพวกนี้ และให้ลูกสาวคนโตออกจัดการเรื่องทุกอย่างแทน หลิวเหอยังรู้ดีอีกด้วยว่า มู่ฉือรักลูกสาวของเขามาก แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะวางใจให้มู่หยางหลิงเผชิญกับทุกเรื่องด้วยตนเองขนาดนี้

หลิวเหอถอนหายใจ แล้วพูดกับมู่หยางหลิงต่อว่า “เด็กดี ข้ารู้ว่าที่เจ้านำทางพวกน้าชายของเจ้าเข้าป่าไปนั้นเจ้าหวังดี แต่พวกข้าเป็นเพียงเกษตรกรชาวไร่ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพวกเราก็คือการเพาะปลูก ดังนั้น พวกเขาคงจะไม่ได้เข้าป่าไปกับเจ้าอีกแล้วล่ะนะ”

“ข้ารู้ว่าท่านผู้เฒ่ากังวลว่าชาวบ้านจะพากันมารบกวนครอบครัวข้า ข้าขอบคุณมากที่พวกท่านเป็นห่วงและคิดแทนครอบครัวของข้า ข้าเองก็เคยไตร่ตรองเรื่องนี้มาแล้วเหมือนกัน แต่ข้าก็ตัดสินใจได้แล้วว่าข้าเต็มใจจะพาชาวบ้านเข้าป่าไปหาอาหาร”

มู่หยางหลิงยังพูดต่ออีกว่า “หมู่นี้กระต่ายป่าก็พากันออกลูกเต็มป่าไปหมด และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นกว่านี้อีกด้วย เมื่อก่อนข้าจะล่าอยู่แถว ๆ ทางฝั่งตะวันตกก่อน จากนั้นวันถัดไปก็จะย้ายไปทางฝั่งตะวันออก ไล่มาเรื่อย ๆ ประมาณ 2 เดือน ก็จะกลับมาบรรจบอยู่ทางฝั่งตะวันตกจุดเดิม เพื่อไม่ให้สัตว์ในจุด ๆ นั้นลดลงจนหมดเกลี้ยง แต่ครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ข้าแทบไม่มีเวลามากพอที่จะเดินทางไปยังฝั่งตะวันออกเลย จึงทำได้เพียงแค่ล่าอยู่ทางฝั่งตะวันตกนี้อยู่ฝั่งเดียว แต่ทุก ๆ วันที่กลับออกมาจากหุบเขาก็ยังได้กระต่ายป่ากลับมาตลอด”

หลิวเหอกับหลิวต้าเฉียนหันมามองหน้ากันทันที แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “หมายความว่าตอนนี้ในป่ามีกระต่ายป่าเยอะมากเลยงั้นรึ?”

มู่หยางหลิงพยักหน้า “แต่ถ้ายังไม่รีบเข้าไปจับตอนนี้ พอหลังฤดูหนาวเป็นต้นไป ข้าเกรงว่าพืชผลขของชาวบ้านจะพลอยถูกเจ้ากระต่ายป่าพวกนั้นแทะกินเอาได้”

คนในหมู่บ้านยังไม่เคยพบเจอกับเหตุการณ์แบบนั้น แต่หลิวเหอเคยได้ยินมาว่า ถ้าพวกกระต่ายป่าเกิดหิวขึ้นมาละก็ มันสามารถถอนทั้งรากถอนทั้งโคนขึ้นมากินได้เลย อันตรายไม่แพ้หนูนาเลยเชียว

“ดังนั้นข้าก็เลยพาน้าชายทั้งสี่เข้าป่าไปด้วยกัน แต่ในเมื่อชาวบ้านทั้งหลายมีความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ ข้าคิดว่าท่านผู้เฒ่าน่าจะให้หัวหน้าครอบครัวของทั้ง 47 ครัวเรือนมารวมตัวกัน เพื่อแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม แล้วในทุก ๆ วัน ข้าจะนำทางพวกเขาเข้าป่าไปวันละกลุ่ม พอล่าสัตว์ได้มาเท่าไหร่ก็ต้องเอาออกมาแบ่งให้เท่า ๆ กัน แต่ข้ามีข้อแม้อยู่อย่างนึงนะท่านผู้เฒ่า”

ทันทีที่มู่หยางหลิงพูดประโยคสุดท้ายออกมา บรรยากาศในห้องโถงก็เงียบสงัดลงกว่าเดิม หลิวต้าเฉียนจ้องมู่หยางหลิงอย่างใจจดใจจ่อ

ส่วนคนที่เหลือนั้น จ้องมองมู่หยางหลิงด้วยสายตาที่เปล่งประกาย

หลิวเหอยืดตัวตรงขึ้นมาด้วยความที่ลุ้นอยู่เหมือนกัน “เอ้า ว่ามาเลย”

“ที่ข้าพาพวกเขาเข้าป่าไปนั้น เพราะข้าเห็นแก่เด็ก ๆ พวกในหมู่บ้าน อีกอย่าง พวกท่านก็น่าจะรู้กันดีว่าตระกูลมู่ของข้าพึ่งพาการล่าสัตว์นี้เพื่อหาอาหารประทังชีวิต ดังนั้นสัตว์ป่าที่ล่าออกมาได้ ข้าไม่อนุญาตให้นำไปขายในเมือง หรือในมณฑลหมิงสุ่ย ท่านทั้งหลายจะต้องเอากลับมาให้ครอบครัวของพวกท่านได้กินกันเองเท่านั้น แต่ถ้าหากว่าอยากเอาไปขายล่ะก็ จะต้องออกไปขายนอกเมืองเจ็ดลี้กับมณฑลหมิงสุ่ยเท่านั้น”

หลิวเหอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “ข้าว่า เรื่องนี้ควรจะปรึกษาหารือกับพ่อเจ้าหน่อยนะ……”

มู่หยางหลิงส่ายหน้า แล้วตอบกลับว่า “เรื่องนี้ข้าจัดการได้ ท่านผู้เฒ่าไม่ต้องกังวล”

หลิวต้าเฉียนจึงแทรกขึ้นว่า “งั้นพวกเราก็มิอาจจะเอาเปรียบเจ้าได้ เอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าพวกเขาหามาได้เท่าไหร่ก็แบ่งให้เจ้าครึ่งนึง ดีไหม?”

มู่หยางหลิงเม้มริมฝีปากแต่เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย “ปู่ใหญ่ เนื้อที่ข้าหามาได้นั้นมีมากโข ถ้าเกิดว่าข้ารับเข้ามาอีกก็เกรงว่าจะขายไม่หมดแล้วล่ะ แล้วตอนนี้แม่ข้าก็กำลังท้องกำลังไส้ ถ้าทำเป็นเนื้อตากแห้งเก็บไว้ก็เกรงว่าจะแสลงท้องแม่ข้าอีก” มู่หยางหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อว่า “เอาอย่างนี้ดีกว่า หลังจากการออกล่า พวกท่านก็แค่แบ่งหนังของกระต่ายป่าที่หากันมาได้นั้น ให้ข้าครึ่งนึง แบบนี้ดีไหมจ้ะ?”

อันที่จริงมู่หยางหลิงไม่ค่อยอยากจะได้เนื้อกระต่ายป่าซักเท่าไหร่ นางอยากจะเอาหนังของมันไปขายหรือเก็บเอาไว้ทำเสื้อหนังสัตว์ ถุงมือหนังต้อนรับฤดูหนาวแทนมากกว่า

และแน่นอนว่า คำขอเล็ก ๆ ข้อนี้ ผู้อาวุโสหลาย ๆ ท่านต่างก็เห็นดีเห็นงามด้วย

มู่หยางหลิงจึงลุกขึ้น แล้วกล่าวต่อว่า “ให้น้าถิงกับน้าหยวนออกมาจากรายชื่อเจ้าบ้านจากใน 47 คน ให้เหลือเพียงแค่ 45 คน จากนั้นก็จะแบ่งได้กลุ่มละ 9 คนพอดี แต่น้าถิงกับน้าหยวนจะต้องเข้าป่าไปด้วยในทุก ๆ รอบ ทุกท่านต้องรับฟังและยึดตามคำสั่งของพวกเขา ข้าจะรับผิดชอบการนำทางเข้าป่าและสอนการวางกับดัก การล่าสัตว์ให้แก่ทุกท่านเท่านั้น เรื่องอื่นให้เป็นไปตามคำสั่งของน้าถิงกับน้าหยวนเลย”

ดังนั้นหลิวถิงกับหลิวหยวนก็จะได้ติดตามพวกเขาเข้าป่าไปในทุก ๆ ครั้ง และมีสิทธิที่จะได้ส่วนแบ่งจากการล่าสัตว์ด้วย ทุกคน ณ ที่นั้นต่างก็เข้าใจและยอมรับได้ในส่วนนี้ เพราะพวกหลิวถิงเป็นญาติสนิทของมู่หยางหลิง ดังนั้นญาติพี่น้องย่อมต้องมาก่อน

มู่หยางหลิงยังกล่าวต่ออีกว่า “ส่วนบ้านของแม่ม่ายหลิวนั้นไม่มีผู้ชายอยู่เลย ข้าจึงคิดว่าพอถึงรอบของบ้านแม่ม่ายหลิว นางก็จะได้เนื้อสัตว์ในส่วนของน้าชายทั้งสองของข้าไปแทน”

บ้านแม่ม่ายหลิวไม่มีชายชาตรีเลยซักคน แล้วด้วยสภาพร่างกายของนางเองก็ไม่สามารถจะเข้าป่าไปด้วยได้ อีกทั้งเนื้อสัตว์ที่มู่หยางหลิงเสนอว่าจะมอบให้นางก็มาจากหลิวถิงกับหลิวหยวน ดังนั้นชาวบ้านคนอื่น ๆ จึงไม่ขัดข้องต่อเรื่องนี้

ผู้อาวุโสทั้งหลายที่มาบ้านตระกูลหลิวในวันนี้ ต่างก็คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับเรื่องที่น่าประหลาดใจเช่นนี้ ถึงแม้ว่าหลิวถิงจะวางแผนทำการบางอย่างลงไปได้สำเร็จ แต่ก็มิอาจกระทบถึงจิตใจพวกเขาได้เท่านี้เลย ผู้อาวุโสทั้งหลายจ้องมองมู่หยางหลิงด้วยสายตาเอ็นดู ภูมิใจในตัวนาง และเห็นสมว่ามู่หยางหลิงคนนี้มีจิตใจงดงามสมเป็นคนตระกูลมู่จริง ๆ

เมื่อมู่หยางหลิงได้บอกกล่าวทุกอย่างชัดเจนแล้ว นางจึงทิ้งท้ายว่า “ท่านผู้เฒ่านัดแนะกับเจ้าบ้านทั้งหลายได้เลยนะจ้ะ มะรืนนี้จะได้เข้าป่ากันเลย” พูดจบ นางก็แสร้งถามขึ้นว่า “อ้อ แล้วเรื่องย่าใหญ่ของข้าล่ะจ้ะ เป็นอย่างไรแล้วบ้าง? เรื่องการเข้าป่านี้มันจะทำให้เรื่องของย่าใหญ่ต้องถูกเลื่อนออกไปหรือไม่?”

“ไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน” หลิวเหอกล่าว “อีกไม่กี่วันนี้ข้าจะพาปู่ใหญ่ของเจ้าไปเยี่ยมนางที่หมู่บ้านซีซานเอง ข้าเองก็อยากจะไปทักทายผู้ใหญ่บ้านฝั่งนู้นอยู่เหมือนกัน”

หลิวตาเฉียนตาเป็นประกายขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิวเหอไม่ได้เป็นแค่ผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านหลินซานเท่านั้น แต่เขายังเป็นหัวหน้าของตระกูลหลิวอีกด้วย และถ้าหลิวเหอไปที่หมู่บ้านซีซานด้วยแล้ว ทุกอย่างก็จะจัดการได้ง่ายขึ้น เพราะหลิวเหอเองก็มีกำลังพอที่จะช่วยเจรจากับทางผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านซีซานได้

มู่หยางหลิงเองก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะพลิกไปได้ขนาดนี้ ใบหน้าของนางจึงปรากฏรอยยิ้มที่อิ่มใจขึ้นมาทันที “พอพวกท่านแบ่งกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว มะรืนนี้ให้ไปรอข้าตรงตีนเขาได้เลยนะจ้ะ ยังไงวันนี้ข้าขอตัวลากลับไปรายงานท่านพ่อก่อน”

“ได้เลย เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด วันนี้ข้าจะกลับไปทวนรายชื่ออีกทีนึง แล้วพรุ่งนี้จะรีบแบ่งกลุ่มชาวบ้านให้เรียบร้อย มะรืนนี้น้าชายทั้งสองของเจ้าจะได้นำพวกเขาไปหาเจ้าเลย” หลิวเหอพูดจบ ก็ลุกขึ้นเดินไปส่งมู่หยางหลิง

ฟางหลิวซื่อที่แอบฟังอยู่ในครัว เมื่อเห็นมู่หยางหลิงเดินกลับออกมาจากห้องโถงคนเดียว นางก็รีบวิ่งเข้ามาหามู่หยางหลิงทันที “อาหลิง เจ้าน่าจะดึงตัวลุงทั้งสามของเจ้าออกมาด้วย พวกเขาสามคนจะได้ไปช่วยเจ้าดูแลกลุ่มชาวบ้านไงล่ะ”

มู่หยางหลิงตอบเสียงแข็ง “ข้าไม่ชอบลุงจู้ เพราะฉะนั้น ย่าเล็กไม่ต้องมาอ้อนวอนข้าหรอกนะ” นางเป็นแค่เด็กอายุ 9 ขวบ ถ้าจะเอาแต่ใจบ้าง ใครจะทำอะไรได้ ว่ามั้ย?

หลิวเหอเห็นเข้าจึงตะโกนออกมาว่า “ฟางหลิวซื่อ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า กลับไปซะ”

ฟางหลิวซื่อเริ่มโมโหจนเลือดขึ้นหน้า และกำลังจะอ้าปากพูด แต่มู่หยางหลิงก็แทรกขึ้นมาซะก่อน “พ่อข้ากลับบ้านมาแล้ว แล้วตอนนี้เขาก็รอข้าอยู่ด้วย ถ้าย่าเล็กยังไม่พอใจกับเรื่องนี้ ท่านลองไปคุยกับพ่อข้าได้นะจ้ะ”

นางกล้าไปซะที่ไหนเล่า? ฟางหลิวซื่อทำได้เพียงแต่ระงับอารมณ์โกรธนั่นเอาไว้ และมองดูมู่หยางหลิงจูงมือเสี่ยวปั๋วเหวินกลับบ้านไป

เสี่ยวปั๋วเหวินกระโดดโลดเต้นระหว่างเดินกลับบ้าน “ท่านพี่ ท่านพ่อบอกว่าฤดูใบไม้ผลิปีหน้าจะส่งข้าเข้าเรียน”

“ถ้าอย่างนั้นข้าแบกเจ้าไปส่งทุกเช้าเลยดีไหม?”

“ไม่เอาหรอก” เสี่ยวปั๋วเหวินพูดต่อด้วยน้ำเสียงภาคภูมิว่า “ข้าจะเดินไปเอง”

มู่หยางหลิงลูบหัวน้องชาย “ปีหน้าก็จะเข้าโรงเรียนแล้ว ต่อจากนี้ไปต้องขยันฝึกเขียนฝึกอ่านเพิ่มนะ พอเข้าโรงเรียนจะได้เรียนทันเพื่อน”

เสี่ยวปั๋วเหวินตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นขึ้นมาทันที “ไม่มีปัญหา ข้าจะต้องสอบให้ได้ที่ 1 ของชั้นเลย”

พอมู่หยางหลิงจูงมือน้องชายกลับถึงบ้าน ก็เห็นว่ามู่ฉือนั่งรออยู่แล้ว “กลับมาแล้วรึ? มาเล่าให้พ่อฟังหน่อยสิ้ ว่าวันนี้เจ้าไปก่อเรื่องอะไรมาอีก?”

มู่หยางหลิงจึงเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าพ่อ ส่วนเสี่ยวปั๋วเหวินเห็นพี่ทำอะไรก็ทำตามไปด้วย แล้วภาพของเด็กชายตัวน้อยกับพี่สาวที่นั่งอยู่ข้างหน้ามู่ฉือนั้น ก็ทำให้ความโมโหที่อยู่ในใจของเขาเริ่มจางหายไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 55 ความคิดของมู่หยางหลิง

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 55 ความคิดของมู่หยางหลิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในห้องโถงกินข้าวกันเสร็จ แต่พวกเขาก็เลือกที่จะนั่งสนทนากันต่อ เพราะเด็ก ๆ ในสวนยังนั่งกินข้าวกันไม่เสร็จ

และช่วงนี้ก็เป็นโค้งสุดท้ายของฤดูเก็บเกี่ยวแล้วด้วย ผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลายจึงนั่งสนทนากันถึงผลการเก็บเกี่ยวในปีนี้ไปจนถึงแผนการหว่านเมล็ดในปีหน้า

ทันใดนั้น มู่หยางหลิงก็เดินเข้ามาในโถง โดยที่หลิวเหอกับหลิวต้าเฉียนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเห็นหน้านางก่อนคนอื่น ๆ

หลิวเหอโบกมือและยิ้มให้มู่หยางหลิง “มาแล้วเรอะอาหลิง? มาหาข้าด้านนี้หน่อยสิ”

มู่หยางหลิงยิ้มอ่อน ๆ พลางเดินเข้าไปอย่างสุภาพ พร้อมทั้งกล่าวทักทายผู้อาวุโสทั้งหลายที่นั่งอยู่ในห้องโถง “ผู้อาวุโสทั้งหลาย สวัสดีจ้ะ”

หลิวเหอหัวเราะชอบใจ “เจ้าเด็กคนนี้ยังสุภาพเรียบร้อยเหมือนเดิมเลย เพิ่งกลับมาจากในเมืองรึ? แล้วพ่อเจ้าล่ะ?”

“กลับมาแล้วเหมือนกันจ้ะ ตอนนี้ท่านพ่ออยู่กับท่านแม่ที่บ้าน ข้าก็เลยพาน้องมาเที่ยวเล่นน่ะจ่ะ”

หลิวเหอรู้ว่ามู่ฉือไม่สนใจเรื่องพวกนี้ และให้ลูกสาวคนโตออกจัดการเรื่องทุกอย่างแทน หลิวเหอยังรู้ดีอีกด้วยว่า มู่ฉือรักลูกสาวของเขามาก แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะวางใจให้มู่หยางหลิงเผชิญกับทุกเรื่องด้วยตนเองขนาดนี้

หลิวเหอถอนหายใจ แล้วพูดกับมู่หยางหลิงต่อว่า “เด็กดี ข้ารู้ว่าที่เจ้านำทางพวกน้าชายของเจ้าเข้าป่าไปนั้นเจ้าหวังดี แต่พวกข้าเป็นเพียงเกษตรกรชาวไร่ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพวกเราก็คือการเพาะปลูก ดังนั้น พวกเขาคงจะไม่ได้เข้าป่าไปกับเจ้าอีกแล้วล่ะนะ”

“ข้ารู้ว่าท่านผู้เฒ่ากังวลว่าชาวบ้านจะพากันมารบกวนครอบครัวข้า ข้าขอบคุณมากที่พวกท่านเป็นห่วงและคิดแทนครอบครัวของข้า ข้าเองก็เคยไตร่ตรองเรื่องนี้มาแล้วเหมือนกัน แต่ข้าก็ตัดสินใจได้แล้วว่าข้าเต็มใจจะพาชาวบ้านเข้าป่าไปหาอาหาร”

มู่หยางหลิงยังพูดต่ออีกว่า “หมู่นี้กระต่ายป่าก็พากันออกลูกเต็มป่าไปหมด และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นกว่านี้อีกด้วย เมื่อก่อนข้าจะล่าอยู่แถว ๆ ทางฝั่งตะวันตกก่อน จากนั้นวันถัดไปก็จะย้ายไปทางฝั่งตะวันออก ไล่มาเรื่อย ๆ ประมาณ 2 เดือน ก็จะกลับมาบรรจบอยู่ทางฝั่งตะวันตกจุดเดิม เพื่อไม่ให้สัตว์ในจุด ๆ นั้นลดลงจนหมดเกลี้ยง แต่ครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ข้าแทบไม่มีเวลามากพอที่จะเดินทางไปยังฝั่งตะวันออกเลย จึงทำได้เพียงแค่ล่าอยู่ทางฝั่งตะวันตกนี้อยู่ฝั่งเดียว แต่ทุก ๆ วันที่กลับออกมาจากหุบเขาก็ยังได้กระต่ายป่ากลับมาตลอด”

หลิวเหอกับหลิวต้าเฉียนหันมามองหน้ากันทันที แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “หมายความว่าตอนนี้ในป่ามีกระต่ายป่าเยอะมากเลยงั้นรึ?”

มู่หยางหลิงพยักหน้า “แต่ถ้ายังไม่รีบเข้าไปจับตอนนี้ พอหลังฤดูหนาวเป็นต้นไป ข้าเกรงว่าพืชผลขของชาวบ้านจะพลอยถูกเจ้ากระต่ายป่าพวกนั้นแทะกินเอาได้”

คนในหมู่บ้านยังไม่เคยพบเจอกับเหตุการณ์แบบนั้น แต่หลิวเหอเคยได้ยินมาว่า ถ้าพวกกระต่ายป่าเกิดหิวขึ้นมาละก็ มันสามารถถอนทั้งรากถอนทั้งโคนขึ้นมากินได้เลย อันตรายไม่แพ้หนูนาเลยเชียว

“ดังนั้นข้าก็เลยพาน้าชายทั้งสี่เข้าป่าไปด้วยกัน แต่ในเมื่อชาวบ้านทั้งหลายมีความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ ข้าคิดว่าท่านผู้เฒ่าน่าจะให้หัวหน้าครอบครัวของทั้ง 47 ครัวเรือนมารวมตัวกัน เพื่อแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม แล้วในทุก ๆ วัน ข้าจะนำทางพวกเขาเข้าป่าไปวันละกลุ่ม พอล่าสัตว์ได้มาเท่าไหร่ก็ต้องเอาออกมาแบ่งให้เท่า ๆ กัน แต่ข้ามีข้อแม้อยู่อย่างนึงนะท่านผู้เฒ่า”

ทันทีที่มู่หยางหลิงพูดประโยคสุดท้ายออกมา บรรยากาศในห้องโถงก็เงียบสงัดลงกว่าเดิม หลิวต้าเฉียนจ้องมู่หยางหลิงอย่างใจจดใจจ่อ

ส่วนคนที่เหลือนั้น จ้องมองมู่หยางหลิงด้วยสายตาที่เปล่งประกาย

หลิวเหอยืดตัวตรงขึ้นมาด้วยความที่ลุ้นอยู่เหมือนกัน “เอ้า ว่ามาเลย”

“ที่ข้าพาพวกเขาเข้าป่าไปนั้น เพราะข้าเห็นแก่เด็ก ๆ พวกในหมู่บ้าน อีกอย่าง พวกท่านก็น่าจะรู้กันดีว่าตระกูลมู่ของข้าพึ่งพาการล่าสัตว์นี้เพื่อหาอาหารประทังชีวิต ดังนั้นสัตว์ป่าที่ล่าออกมาได้ ข้าไม่อนุญาตให้นำไปขายในเมือง หรือในมณฑลหมิงสุ่ย ท่านทั้งหลายจะต้องเอากลับมาให้ครอบครัวของพวกท่านได้กินกันเองเท่านั้น แต่ถ้าหากว่าอยากเอาไปขายล่ะก็ จะต้องออกไปขายนอกเมืองเจ็ดลี้กับมณฑลหมิงสุ่ยเท่านั้น”

หลิวเหอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “ข้าว่า เรื่องนี้ควรจะปรึกษาหารือกับพ่อเจ้าหน่อยนะ……”

มู่หยางหลิงส่ายหน้า แล้วตอบกลับว่า “เรื่องนี้ข้าจัดการได้ ท่านผู้เฒ่าไม่ต้องกังวล”

หลิวต้าเฉียนจึงแทรกขึ้นว่า “งั้นพวกเราก็มิอาจจะเอาเปรียบเจ้าได้ เอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าพวกเขาหามาได้เท่าไหร่ก็แบ่งให้เจ้าครึ่งนึง ดีไหม?”

มู่หยางหลิงเม้มริมฝีปากแต่เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย “ปู่ใหญ่ เนื้อที่ข้าหามาได้นั้นมีมากโข ถ้าเกิดว่าข้ารับเข้ามาอีกก็เกรงว่าจะขายไม่หมดแล้วล่ะ แล้วตอนนี้แม่ข้าก็กำลังท้องกำลังไส้ ถ้าทำเป็นเนื้อตากแห้งเก็บไว้ก็เกรงว่าจะแสลงท้องแม่ข้าอีก” มู่หยางหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อว่า “เอาอย่างนี้ดีกว่า หลังจากการออกล่า พวกท่านก็แค่แบ่งหนังของกระต่ายป่าที่หากันมาได้นั้น ให้ข้าครึ่งนึง แบบนี้ดีไหมจ้ะ?”

อันที่จริงมู่หยางหลิงไม่ค่อยอยากจะได้เนื้อกระต่ายป่าซักเท่าไหร่ นางอยากจะเอาหนังของมันไปขายหรือเก็บเอาไว้ทำเสื้อหนังสัตว์ ถุงมือหนังต้อนรับฤดูหนาวแทนมากกว่า

และแน่นอนว่า คำขอเล็ก ๆ ข้อนี้ ผู้อาวุโสหลาย ๆ ท่านต่างก็เห็นดีเห็นงามด้วย

มู่หยางหลิงจึงลุกขึ้น แล้วกล่าวต่อว่า “ให้น้าถิงกับน้าหยวนออกมาจากรายชื่อเจ้าบ้านจากใน 47 คน ให้เหลือเพียงแค่ 45 คน จากนั้นก็จะแบ่งได้กลุ่มละ 9 คนพอดี แต่น้าถิงกับน้าหยวนจะต้องเข้าป่าไปด้วยในทุก ๆ รอบ ทุกท่านต้องรับฟังและยึดตามคำสั่งของพวกเขา ข้าจะรับผิดชอบการนำทางเข้าป่าและสอนการวางกับดัก การล่าสัตว์ให้แก่ทุกท่านเท่านั้น เรื่องอื่นให้เป็นไปตามคำสั่งของน้าถิงกับน้าหยวนเลย”

ดังนั้นหลิวถิงกับหลิวหยวนก็จะได้ติดตามพวกเขาเข้าป่าไปในทุก ๆ ครั้ง และมีสิทธิที่จะได้ส่วนแบ่งจากการล่าสัตว์ด้วย ทุกคน ณ ที่นั้นต่างก็เข้าใจและยอมรับได้ในส่วนนี้ เพราะพวกหลิวถิงเป็นญาติสนิทของมู่หยางหลิง ดังนั้นญาติพี่น้องย่อมต้องมาก่อน

มู่หยางหลิงยังกล่าวต่ออีกว่า “ส่วนบ้านของแม่ม่ายหลิวนั้นไม่มีผู้ชายอยู่เลย ข้าจึงคิดว่าพอถึงรอบของบ้านแม่ม่ายหลิว นางก็จะได้เนื้อสัตว์ในส่วนของน้าชายทั้งสองของข้าไปแทน”

บ้านแม่ม่ายหลิวไม่มีชายชาตรีเลยซักคน แล้วด้วยสภาพร่างกายของนางเองก็ไม่สามารถจะเข้าป่าไปด้วยได้ อีกทั้งเนื้อสัตว์ที่มู่หยางหลิงเสนอว่าจะมอบให้นางก็มาจากหลิวถิงกับหลิวหยวน ดังนั้นชาวบ้านคนอื่น ๆ จึงไม่ขัดข้องต่อเรื่องนี้

ผู้อาวุโสทั้งหลายที่มาบ้านตระกูลหลิวในวันนี้ ต่างก็คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับเรื่องที่น่าประหลาดใจเช่นนี้ ถึงแม้ว่าหลิวถิงจะวางแผนทำการบางอย่างลงไปได้สำเร็จ แต่ก็มิอาจกระทบถึงจิตใจพวกเขาได้เท่านี้เลย ผู้อาวุโสทั้งหลายจ้องมองมู่หยางหลิงด้วยสายตาเอ็นดู ภูมิใจในตัวนาง และเห็นสมว่ามู่หยางหลิงคนนี้มีจิตใจงดงามสมเป็นคนตระกูลมู่จริง ๆ

เมื่อมู่หยางหลิงได้บอกกล่าวทุกอย่างชัดเจนแล้ว นางจึงทิ้งท้ายว่า “ท่านผู้เฒ่านัดแนะกับเจ้าบ้านทั้งหลายได้เลยนะจ้ะ มะรืนนี้จะได้เข้าป่ากันเลย” พูดจบ นางก็แสร้งถามขึ้นว่า “อ้อ แล้วเรื่องย่าใหญ่ของข้าล่ะจ้ะ เป็นอย่างไรแล้วบ้าง? เรื่องการเข้าป่านี้มันจะทำให้เรื่องของย่าใหญ่ต้องถูกเลื่อนออกไปหรือไม่?”

“ไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน” หลิวเหอกล่าว “อีกไม่กี่วันนี้ข้าจะพาปู่ใหญ่ของเจ้าไปเยี่ยมนางที่หมู่บ้านซีซานเอง ข้าเองก็อยากจะไปทักทายผู้ใหญ่บ้านฝั่งนู้นอยู่เหมือนกัน”

หลิวตาเฉียนตาเป็นประกายขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิวเหอไม่ได้เป็นแค่ผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านหลินซานเท่านั้น แต่เขายังเป็นหัวหน้าของตระกูลหลิวอีกด้วย และถ้าหลิวเหอไปที่หมู่บ้านซีซานด้วยแล้ว ทุกอย่างก็จะจัดการได้ง่ายขึ้น เพราะหลิวเหอเองก็มีกำลังพอที่จะช่วยเจรจากับทางผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านซีซานได้

มู่หยางหลิงเองก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะพลิกไปได้ขนาดนี้ ใบหน้าของนางจึงปรากฏรอยยิ้มที่อิ่มใจขึ้นมาทันที “พอพวกท่านแบ่งกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว มะรืนนี้ให้ไปรอข้าตรงตีนเขาได้เลยนะจ้ะ ยังไงวันนี้ข้าขอตัวลากลับไปรายงานท่านพ่อก่อน”

“ได้เลย เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด วันนี้ข้าจะกลับไปทวนรายชื่ออีกทีนึง แล้วพรุ่งนี้จะรีบแบ่งกลุ่มชาวบ้านให้เรียบร้อย มะรืนนี้น้าชายทั้งสองของเจ้าจะได้นำพวกเขาไปหาเจ้าเลย” หลิวเหอพูดจบ ก็ลุกขึ้นเดินไปส่งมู่หยางหลิง

ฟางหลิวซื่อที่แอบฟังอยู่ในครัว เมื่อเห็นมู่หยางหลิงเดินกลับออกมาจากห้องโถงคนเดียว นางก็รีบวิ่งเข้ามาหามู่หยางหลิงทันที “อาหลิง เจ้าน่าจะดึงตัวลุงทั้งสามของเจ้าออกมาด้วย พวกเขาสามคนจะได้ไปช่วยเจ้าดูแลกลุ่มชาวบ้านไงล่ะ”

มู่หยางหลิงตอบเสียงแข็ง “ข้าไม่ชอบลุงจู้ เพราะฉะนั้น ย่าเล็กไม่ต้องมาอ้อนวอนข้าหรอกนะ” นางเป็นแค่เด็กอายุ 9 ขวบ ถ้าจะเอาแต่ใจบ้าง ใครจะทำอะไรได้ ว่ามั้ย?

หลิวเหอเห็นเข้าจึงตะโกนออกมาว่า “ฟางหลิวซื่อ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า กลับไปซะ”

ฟางหลิวซื่อเริ่มโมโหจนเลือดขึ้นหน้า และกำลังจะอ้าปากพูด แต่มู่หยางหลิงก็แทรกขึ้นมาซะก่อน “พ่อข้ากลับบ้านมาแล้ว แล้วตอนนี้เขาก็รอข้าอยู่ด้วย ถ้าย่าเล็กยังไม่พอใจกับเรื่องนี้ ท่านลองไปคุยกับพ่อข้าได้นะจ้ะ”

นางกล้าไปซะที่ไหนเล่า? ฟางหลิวซื่อทำได้เพียงแต่ระงับอารมณ์โกรธนั่นเอาไว้ และมองดูมู่หยางหลิงจูงมือเสี่ยวปั๋วเหวินกลับบ้านไป

เสี่ยวปั๋วเหวินกระโดดโลดเต้นระหว่างเดินกลับบ้าน “ท่านพี่ ท่านพ่อบอกว่าฤดูใบไม้ผลิปีหน้าจะส่งข้าเข้าเรียน”

“ถ้าอย่างนั้นข้าแบกเจ้าไปส่งทุกเช้าเลยดีไหม?”

“ไม่เอาหรอก” เสี่ยวปั๋วเหวินพูดต่อด้วยน้ำเสียงภาคภูมิว่า “ข้าจะเดินไปเอง”

มู่หยางหลิงลูบหัวน้องชาย “ปีหน้าก็จะเข้าโรงเรียนแล้ว ต่อจากนี้ไปต้องขยันฝึกเขียนฝึกอ่านเพิ่มนะ พอเข้าโรงเรียนจะได้เรียนทันเพื่อน”

เสี่ยวปั๋วเหวินตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นขึ้นมาทันที “ไม่มีปัญหา ข้าจะต้องสอบให้ได้ที่ 1 ของชั้นเลย”

พอมู่หยางหลิงจูงมือน้องชายกลับถึงบ้าน ก็เห็นว่ามู่ฉือนั่งรออยู่แล้ว “กลับมาแล้วรึ? มาเล่าให้พ่อฟังหน่อยสิ้ ว่าวันนี้เจ้าไปก่อเรื่องอะไรมาอีก?”

มู่หยางหลิงจึงเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าพ่อ ส่วนเสี่ยวปั๋วเหวินเห็นพี่ทำอะไรก็ทำตามไปด้วย แล้วภาพของเด็กชายตัวน้อยกับพี่สาวที่นั่งอยู่ข้างหน้ามู่ฉือนั้น ก็ทำให้ความโมโหที่อยู่ในใจของเขาเริ่มจางหายไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+