อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 4 สืบทอดความสามารถพิเศษ

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 4 สืบทอดความสามารถพิเศษ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เรื่องที่ลูกสาวแข็งแกร่งกว่าเด็กคนอื่นๆนั้นมู่ฉือย่อมรู้ดีอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เป็นช่วงที่บ้านเมืองกำลังวุ่นวายความแข่งแกร่งและพรสวรรค์นี้ของลูกสาวก็ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายอะไรเช่นกัน และเขากลับรู้สึกว่าเป็นความโชคดีด้วยซ้ำที่ลูกสาวได้รับสืบทอดความสามารถพิเศษนี้จากบรรพบุรุษ

มู่หยางหลิงกลับรู้สึกว่าความสามารถพิเศษนี้ของตัวเองนั้นได้สืบทอดมาจากอดีตชาติของตนเอง เพราะในอดีตชาติเธอก็เป็นคนที่แข่งแกร่งและแรงเยอะกว่าคนทั่วไป อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าสหายชายที่อยู่ในค่ายมากแล้วในชีวิตนี้ก็ได้สืบทอดพรสวรรค์นี้จากบรรพบุรุษด้วยจึงทำให้เธอยิ่งแข็งแกร่งและภูมิใจเป็นอย่างมาก นี้คือผลพลอยได้จากการกลับชาติมาเกิด

แต่หลังจากนั้นถึงได้ฟังจากคำบอกเล่าของท่านพ่อ มู่หยางหลิงก็ได้รู้ว่าความสามารถพิเศษและพรสรรค์ทั้งหมดนี้ได้สืบทอดมาจากทางสายเลือด

ท่านปู่ทวดของมู่หยางหลิงนั้นเป็นคนชาวหูและยังเป็นนักรบผู้กล้าหาญของชนเผ่าด้วย ว่ากันว่าท่านไม่เคยพ่ายแพ้เลยระหว่างที่ติดตามชนเผ่าไปออกรบ แม้ว่าจะถูกศัตรูไล่ล่าเกือบยี่สิบกว่าคน ท่านก็สามารถเอาตัวรอดได้อย่างชำนาญ

ท่านย่าทวดของเธอก็คือถ้วยรางวัลของท่านปู่ทวด ท่านย่าทวดเป็นหญิงชาวฮั่นที่ท่านปูทวดพากลับมาจากสนามรบ ว่ากันว่าท่านย่าทวดนั้นเป็นหญิงที่สวยมากจนทำให้นักรบของชนเผ่าฮั่นถึงกับต้องประลองเพื่อแย่งชิงท่าน ที่โชคดีคือไม่มีใครสามารถเอาชนะท่านปู่ทวดได้เลยไม่มีใครสามารถแย่งชิงท่านย่าทวดไปจากท่านปู่ทวดได้

ตลอดทั้งชีวิตของท่านปู่ทวดท่านมีภรรยาเพียงคนเดียวเท่านั้น และท่านย่าทวดก็ได้ให้กำเนิดลูกชายให้กับท่านปู่ทวดเพียงคนเดียวซึ่งก็คือท่านปู่ของมู่หยางหลิง

ท่านปู่ของมู่หยางหลิงหน้าตาคล้ายคลึงกับท่านย่าทวดมากไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาที่ดูเรียบร้อยและสง่า ที่น่าเสียดายก็คือแม้กระทั่งแรงกำลังในตัวของท่านปู่ก็ได้รับการถ่ายทอดมาจากท่านย่าทวดเช่นกัน ท่านปู่ทวดจึงกังวลและเป็นห่วงท่านปู่มาก

ในชนเผ่าหูนั้นให้ความเคารพแกผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แม้แต่ผู้นำก็ต้องแข่งขันประลองต่อสู้กันใครที่แข่งแกร่งที่สุดถึงได้ขึ้นเป็นผู้นำ รูปร่างอย่างท่านปู่ถ้าอยู่ในชนเผ่าก็จะถูกคนอื่นเขารังแกอยู่บ่อยๆ

เพื่อฝึกฝนให้ท่านปู่สามารถดำรงอยู่ในชนเผ่าได้ท่านปู่ทวดได้รวบรวมความลับของการต่อสู้ไว้มากมาย และยังได้คิดสร้างกังฟูมวยชุดหนึ่งให้ท่านปู่เพื่อให้เหมาะสมกับรูปร่างและแรงของท่านปู่โดยเฉพาะ แต่น่าเสียดายหลังจากที่ท่านปู่ฝึกฝนจนสำเร็จแล้วสามารถเป็นได้แค่นักรบชนชั้นกลางของชนเผ่าหู

หากนิสัยใจคอของท่านปู่โหดเหี้ยมเหมือนคนชนเผ่าท่านปู่ทวดก็คงจะหมดห่วงไปแล้ว แต่ท่านปู่ดันมีนิสัยเหมือนท่านย่าทวด สำหรับชนเผ่าหูนี่คือหายนะของท่านปู่หากไม่มีการปกป้องของท่านปู่ทวด ในอนาคตชีวิตของท่านปู่ลูกชายเพียงคนเดียวของท่านปู่ทวดนั้นจะต้องเจอกับอะไรบ้างและยากลำบากแค่ไหน ซึ่งท่านปู่ทวดไม่อาจทนดูได้อย่างแน่นอน

ดังนั้นหลังจากท่านย่าทวดเสียชีวิตด้วยอาการป่วยจึงทำให้ท่านปู่ทวดได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างมาก นักรบผู้กล้าของชนเผ่าอย่างท่านปู่ทวดนี้จึงได้แบ่งทรัพย์สินส่วนใหญ่ให้กับลูกชายเพียงคนเดียวของท่าน แล้วขับไล่ท่านปู่ออกไปจากชนเผ่าเพื่อให้ท่านปู่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่กลุ่มชาวฮั่น

นักรบผู้กล้าอย่างท่านปู่ทวดเชื่อว่าลูกชายที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนชาวฮั่นและยังมีกังฟูมวยติดตัว การดำรงชีวิตไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร อย่างน้อยไม่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของชนเผ่า

แล้วท่านปู่ของมู่หยางหลิงก็เดินทางลงยังทิศใต้จนได้มาตั้งรกรากที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ ในจังหวัดซิงหยวนเมืองซิงโจวอำเภอหมิงสุ่ยที่เชิงหมู่บ้านหลินซานเล็กๆ ในชนบทของชีหลี แล้วในที่สุดก็ได้แต่งงานกับท่านย่าแล้วได้ให้กำเนิดมู่ฉือท่านพ่อของเธอ

เมื่อมาตั้งรกรานในถิ่นฐานของชาวฮั่นลูกชายมู่ฉือกลับมีความแข็งแกร่งที่ท่านปู่เคยใฝ่ฝันและปรารถนามาโดยตลอด นี้ทำให้ท่านปู่ของเธอรู้สึกว่าโชคชะตาชีวิตกำลังกลั่นแกล้งท่านอยู่แน่ๆ เพราะรูปร่างหน้าตาของลูกชายมู่ฉือนั้นได้คลายคลึงกับคนชาวหูอย่างหมดจด รวมถึงความสามารถความแข็งแกร่งที่ถูกซ่อนอยู่ในสายเลือด ทำให้พวกเขาทั้งครอบครัวได้รับการรังเกียจจากหมู่บ้านเล็กน้อยนี้

แม้แต่ญาติพี่น้องและคนในครอบครัวของท่านย่าก็ยังไปมาหาสู่กันน้อยลง แต่ท่านปู่ของมู่หยางหลิงก็ไม่เคยคิดที่จะย้ายถิ่นฐาน เพราะทั้งหมดนี้เพื่อความสะดวกและผลการหลบหนีในท้ายที่สุดแล้วก็จะไปตกอยู่ที่ลูกหลาน ท่านไม่ต้องการให้ลูกหลานต้องมาทนทุกข์และเจ็บปวดใจกับเรื่องพวกนี้ ท่านได้ถ่ายทอดคำพูดเหล่านี้ให้กับมูฉือ หวังให้มู่ฉือได้ถ่ายทอดให้มู่หยางหลิงต่อ ให้ถ่ายทอดสู่ลูกหลานว่าเวลาเจอปัญหาหรือความยากลำบากใดๆอย่าหลบหนีหรือท้อถอยอย่ายอมแพ้ง่ายๆ เพราะการหลบหนีของพวกเขาจะส่งผลไปยังลูกหลานของพวกเขา แล้วจะทำให้พวกเขานั้นทุกข์ทรมาณเจ็บปวดใจไปตลอดชีวิต

บางทีท่านปู่อาจจะพูดถูกเพราะแม้ว่ามู่หยางหลิงจะเกิดมาพร้อมกับความสามารถพรสวรรค์พิเศษนี้ แต่น้องชายของเธอไม่ได้มีแววเปล่งประกายหรือโดดเด่นอะไรเหมือนมู่หยางหลิง อย่างน้อยตอนนี้มู่ปั๋วเหวินที่มีอายุห้าขวบก็เหมือนเด็กผู้ชายทั่วไปไม่ได้รับการสืบทอดความแข็งแกร่งจากท่านปู่ทวด ถ้าตอนนั้นท่านปู่ได้พาพวกเขาย้ายกลับไปที่ชนเผ่าหูพวกเขาอาจจากไม่ได้มีชีวิตที่ดีเช่นนี้ก็ได้

ต้องรู้ว่ารูปร่างหน้าตาของเธอกับน้องชายไม่ได้แปลกจากคนชาวฮั่นเลย ได้ยินท่านพ่อบอกว่าพวกเธอนั้นคลายคลึงกับท่านปู่มาก ซึ่งท่านปู่นั้นคลายคลึงกับท่านย่าทวดที่เป็นคนชาวฮั่น

ความแข็งแกร่งและแรงของมู่หยางหลิงนั้นมากกว่ามู่ฉือมาก เพื่อฝึกให้เธอสามารถควบคุมพรสวรรค์และแรงกำลังของตัวเองจะได้ไม่ทำให้ตัวเธอและคนอื่นๆได้รับบาดเจ็บ มู่ฉือได้สอนกังฟูมวยให้เธอตั้งแต่อายุห้าขวบนั้นคือตอนที่ท่านปู่ทวดสอนท่านปู่แล้วท่านปู่ทวดได้จดบันทึกไว้บนหนังแพะเพื่อให้ท่านปู่ได้ฝึกฝนต่อ

แม้ว่านักรบผู้กล้าของชนเผ่าอย่างท่านปู่ทวดจะขับไล่ลูกชายออกจากชนเผ่า แต่ท่านก็ยังมีความปรารถนาที่จะสืบทอดความสามารถพิเศษนี้ให้ลูกหลานต่อๆไป เขาไม่เพียงแต่ให้ความลับการต่อสู้ทั้งหมดที่เขาเก็บรวบรวมมาเท่านั้น แต่ยังจดบันทึกกังฟูมวยทั้งหมดที่ตัวท่านได้ฝึกฝนมามอบให้ท่านปู่ได้เอาติดตัวมาด้วย

บอกว่าเป็นทักษะการต่อสู้แต่จริงๆแล้วล้วนเป็นกังฟูมวยของชนเผ่าต่างๆ ที่ว่าเป็นความลับของการต่อสู้แต่จริงๆแล้วล้วนเป็นกระบวนท่าที่ง่ายๆและธรรมดามากไม่มีกำลังภายในใด ๆ ซึ่งทำให้มู่หยางหลิงที่คาดหวังอย่างมากนั้นผิดหวังไม่น้อย

นอกเหนือจากการฝึกฝนกังฟูมวยที่มู่ฉือพ่อของเธอสอนแล้ว มู่หยางหลิงมักจะใช้วิธีการฝึกฝนทหารหน่อยรบพิเศษในอดีตชาติมาฝึกฝนตัวเองด้วย ทำให้การใช้หมัดมือของเธอนั้นไม่มีปัญหาใดๆเลย แต่ตอนนี้เธอเป็นเพียงนักล่าตัวเล็กๆเท่านั้นซึ่งทำให้เธอไม่ได้ใช้มันอยู่แล้ว ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่บ้านเมืองกำลังวุ่นวายมู่หยางหลิงก็ไม่ได้หวังว่าสักวันจะต้องใช้มัน

พ่อลูกสองคนได้ทำการมัดหมูป่าไว้กับรถเข็นแล้วจัดการมัดสัตว์ป่าต่างๆที่มีขนาดเล็กไว้ที่เอวของตัวเอง ส่วนมู่ฉือนั้นก็เข็นรถเข็นไปยังหมู่บ้านชีหลี่เชียง

จากหมู่บ้านเดินไปในตัวตำบลต้องใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ไปกลับอย่างเร็วพวกเขาจะต้องใช้เวลาประมาณสามชั่วโมง

ซึ่งคนในหมู่บ้านนั้นชอบไปจ่ายตลาดในตอนเช้าๆ มีเพียงพ่อลูกสองคนนี้เท่านั้นที่ชอบไปในเวลานี้เพราะระหว่างทางจะได้ไม่ต้องเจอผู้คน

แม้ว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงที่บ้านเมืองวุ่นวายแต่ที่หมู่บ้านชีหลี่เชียงยังคงคึกคักมาก ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการปกครองที่ไม่คุมเข้มของเหล่าข้าราชการ ทำให้พวกนักธุระกิจและช่างเหล็กยังสามารถเข้าออกได้ตามสบาย การค้าขายที่ตลาดจึงได้คึกคักมากขึ้นและพัฒนาขึ้นด้วย

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มู่หยางหลิงได้เข้ามาในตัวตำบล เธอจึงสังเกตมองไปรอบๆแล้วพูดกับมู่ฉือว่า " ท่านพ่อ ไม่งั้นข้าจะเอาของพวกนี้ไปตั้งแผงขายก่อนส่วนท่านพ่อก็เข็นหมูป่านี้ไปที่ร้านอาหารโรงเตี้ยม "

" ไปด้วยกันนั้นแหละเผื่อว่าเจ้าของร้านอาจจะสนใจสัตว์ป่าตัวเล็กๆพวกนี้ด้วย " มู่ฉือพูด " ในตัวตำบลมีครอบครัวที่มีฐานะดีไม่น้อย พวกเราลองไปเสี่ยงโชคดูที่ร้านอาหารถ้าไม่ได้จริงๆค่อยไปตั้งแผงขายก็แล้วกัน "

มู่หยางหลิงคิดๆแล้วก็ใช่อยู่จึงเดินตามมู่ฉือไปที่ใจกลางของตำบล ร้านอาหารโรงเตี้ยมและโรงเหล้าที่ดีที่สุดตั้งอยู่ในใจกลางของตำบลทั้งหมด

ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารโรงเตี้ยมหรือโรงเหล้าล้วนชอบสัตว์ป่าของพวกเขามาก เพราะความสามารถของเธอกับมู่ฉือไม่ได้ต่างกันมากนัก เวลาเข้าป่าน้อยมากที่จะออกมามือเปล่าดังนั้นทำให้การส่งสัตว์ป่าของพวกเธอค่อนข้างที่ตรงสม่ำเสมอ มู่ฉือได้มีการค้าขายส่งสัตว์ป่ากับพวกเขามานานห้าปีแล้ว ขอแค่ได้สัตว์ป่ามาก็จะให้พวกร้านอาหารและโรงเหล้าเลือกก่อน ที่เหลือถึงจะเอาไปตั้งแผงขายที่ตลาด

เนื่องจากมีร้านอาหารต้องการเป็นจำนวนมากจึงเรียงลำดับให้โรงเหล้าเป็นคนเลือกก่อน

ร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในใจกลางตำบลชื่อว่าหอเพียวเซียงเถ้าแก่ใหญ่ของร้านมีสกุลว่าหลิว เป็นขุนนางหลวงหนึ่งในสามของตำบล ผู้จัดการร้านมีสกุลว่าจาง โรงเหล้าที่ใหญ่ที่สุดชื่อหอจุ้ยเซียวเถ้าแก่ใหญ่ของร้านมีสกุลว่าจ้าวเป็นขุนนางหลวงอีกคนหนึ่ง ผู้จัดการร้านของเขาเป็นหลานชายของเถ้าแก่ร้านเอง และขุนนางหลวงคนสุดท้ายเปิดโรงเตี้ยมชื่อว่าโรงเตี้ยมเยว์ไหล เถ้าแก่ใหญ่ชื่อซุนเยว์ ผู้จัดการมีสกุลว่าเฉียน

เพราะพวกเธอได้ทำการค้าขายสัตว์ป่ากับสามเจ้านี้มานาน มู่หยางหลิงได้ติดตามพ่อมาที่ตัวตำบลตั้งแต่อายุหกขวดเพื่อทำการค้าขายสัตว์ป่าที่ล่าได้พวกนี้ มู่ฉือได้ทำการแนะนำให้เธอรู้อย่างละเอียดก่อนหน้านั้นแล้ว

จุดประสงค์ที่แท้จริงก็คือเพื่อให้มู่หยางหลิงจดจำเอาไว้ให้ดีอย่าไปรุกรานคนพวกนี้ เพราะที่ตำบลนี้สามคนนี้เป็นบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุด แม้แต่ผู้นำหรือผู้ใหญ่ของอำเภอหมิงสุ่ยก็ต้องให้เกียรติพวกเขา

มู่ฉือเข็นรถเข็นไปหยุดอยู่ที่ประตูหลังของร้านอาหารหอเพียวเซียง พนักงานร้านอาหารเปิดประตูแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม " ลุงมู่ ลุงมาส่งสัตว์ป่าแล้วเหรอ " เมื่อเห็นหมูป่าที่อยู่บนรถเข็นของเขาถึงกับตกใจไม่น้อย " ยังไม่ตายเหรอ "

มู่ฉือยิ้ม และพยักหน้า “ โชคดีที่ยังไม่ตายเพราะตกลงไปที่หลุมกับดัก ก็เห็นว่าผู้หลักผู้ใหญ่ที่นี้ชอบกินอาหารสดๆและช่วงนี้อากาศก็ร้อนด้วย ก็เลยไม่อยากฆ่าที่บ้าน”

“ อันนี่ดี ผู้จัดการร้านต้องชอบแน่ๆ ลุงรอเดี๋ยวหนึ่งนะ ข้าจะไปเรียกผู้จัดการมาเดี๋ยวนี้ ” พนักงานวิ่งไปข้างหลังอย่างรีบร้อน พร้อมกับพึมพำในปาก “ ช่างใจกล้าจริงๆ แม้แต่หมูป่าตัวเป็นๆยังกล้าจับ “ ต้องรู้ว่าหมูป่าดุร้ายมากแค่ไหนมันไม่ได้เชื่องเหมือนหมูบ้าน ถ้าไปทำให้มันโมโหเข้าจริงๆอาจโดนขวิดหรือเหยียบตายก็ได้

เดิมทีผู้จักการอยู่ที่หน้าร้านกำลังจะบอกให้รองผู้จักการจัดหาสัตว์ป่าเตรียมไว้ใช้ภายหลังหน่อย เมื่อได้ยินว่ามีหมูป่าตัวเป็นๆก็ทิ้งลูกคิดที่อยู่ในมือออกแล้ววิ่งตามมาทันที

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด