อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 30 ความเศร้าโศกในใจ

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 30 ความเศร้าโศกในใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พอมู่หยางหลิงเห็นว่าหม่าหลิวซื่อไม่ขัดข้องเรื่องที่นางจะเดินข้ามเขากลับบ้าน นางก็ถอนหายใจโล่งอกได้เสียที นางแบกมัดรวงข้าวเดินไปอย่างไวด้วยความเบิกบานใจ จนหม่าหลิวซื่อแทบจะเดินตามไม่ทัน

พอหม่าหลิวซื่อเห็นมู่หยางหลิงรีบเดินไปด้วยความรวดเร็ว มันก็ทำให้นางรู้สึกใจหายใจคว่ำขึ้นมา เพราะนางกลัวว่ามัดรวงข้าวพวกนั้นจะหล่นทับตัวมู่หยางหลิงไปเสียก่อน

หม่าหลิวซื่อกับหม่าซิ่วหงรีบเดินตามมู่หยางหลิงด้วยรอยยิ้มที่เปื้อนความประหลาดใจอยู่เนือง ๆ

แล้วมู่หยางหลิงก็แบกมัดรวงข้าวเข้ามาในยุ้งฉาง ท่ามกลางสายตาชาวบ้านที่กำลังยืนนวดข้าวเปลือกกันอยู่ ทุกคนในที่นั้นพากันอ้าปากค้างเมื่อเห็นมู่หยางหลิงแบกมัดรวงข้าวเข้ามาเอง

หม่าหลิวซื่อจึงรีบเดินนำมู่หยางหลิงไปยังพื้นที่เก็บข้าวของครอบครัว แต่แล้วนางก็ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อพื้นที่ในยุ้งฉางทั้งหมดล้วนเต็มไปด้วยกองข้าวเปลือกของชาวบ้านคนอื่น ๆ รวมถึงพื้นที่ของครอบครัวนางเองด้วย

นางจึงหันหลังกลับไปหามู่หยางหลิงแล้วพูดว่า “เจ้าวางลงก่อนเถิด ข้าจะไปถามดูว่ากองนี้เป็นของผู้ใด”

หม่าจางซื่อที่ยืนอยู่แถวนั้นก็หันมาทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ป้าสะใภ้สี่ กองข้าวนั่นน่ะ เป็นของพวกโหย่วฉาย พวกเขาบอกว่า ในเมื่อท่านยังปล่อยว่างไว้อยู่ พวกเขาจึงขอใช้ก่อนน่ะจ้ะ”

ทีแรกหม่าหลิวซื่อยังยิ้มออกอยู่บ้าง แต่พอได้ยินว่าเป็นของหมาโหย่วฉาย สีหน้าของนางก็เย็นชาลงทันที เพราะถ้าเป็นคนอื่นมาใช้พื้นที่ของนาง นางก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว เพราะส่วนใหญ่หม่าหลิวซื่อเองก็แทบจะไม่ได้ขนข้าวเข้ามาไว้ในยุ้งฉางเลย และถึงแม้ว่าจะปล่อยว่างไว้ยังไง มันก็ยังว่างอยู่เหมือนเดิมตลอด แต่ถ้าพวกโหย่วฉายมาใช้พื้นที่นี้ของนาง นางยอมไม่ได้จริง ๆ เพราะสาเหตุที่ลูกชายของหม่าหลิวซื่อต้องตาย ก็เป็นเพราะหมาโหย่วฉาย ทั้งสองบ้านตัดขาดกันมานานร่วม 2 ปีเต็ม แต่วันนี้เขากลับมาเบียดเบียนที่ในยุ้งฉางของนางไปได้

แล้วความอัปยศอดสู ความคับแข้นใจ รวมถึงความเก็บกดที่สั่งสมมานานก็เริ่มปะทุขึ้นหน้าหม่าหลิวซื่อ

หม่าหลิวซื่อหันมาพูดกับมู่หยางหลิงว่า “เด็กดี เจ้าช่วยย่าเอาข้าวเปลือกพวกนี้หอบไปทิ้งทีนะ ย่ากลัวว่ามันจะแปดเปื้อนที่ของบ้านเราน่ะ”

ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ ต่างก็รู้ดีถึงความสัมพันธ์ของคนสองบ้านนี้ อีกทั้งพวกเขายังเห็นว่าหมาโหย่วฉายนั้นกลั่นแกล้งหม่าหลิวซื่อมากเกินไปแล้ว ทำให้ไม่มีผู้ใดคิดจะห้ามปรามหม่าหลิวซื่อเลยในตอนนี้

แต่ทันใดนั้นก็มีบุคคลผู้หนึ่งพูดขึ้นว่า “ใยถึงให้คนต่างถิ่นมากลั่นแกล้งคนหมู่บ้านเดียวกันได้เล่า?” ชายผู้นั้นก็คือคนที่สนิทกับหมาโหย่วฉายนั่นเอง

หม่าจางซื่อได้ยินดังนั้นก็เข้ามาประสมโรงทันที “จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูกนะ นั่นเป็นหลานสาวคนนึงของป้าสะใภ้สี่ อีกอย่าง ถ้าไม่ให้คนในครอบครัวของเขาจัดการ จะมีใครหน้าไหนในหมู่บ้านที่กล้าพูดแทนนางได้บ้าง? แล้วยิ่งไปกว่านั้น นางก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้นเอง”

ชายผู้นั้นเงียบปากไปทันทีเพราะเถียงไม่ออก

แน่นอนว่าหลานสะใภ้ย่อมมีสิทธิที่จะออกปากออกเสียงแทน อีกอย่าง ชายผู้นั้นก็ไม่มีสิทธิจะมาพูดอย่างนี้จริง ๆ เพราะแทนที่เขาจะเห็นใจคนที่ลำบากกว่าตน แต่เขากลับช่วยคนสนิทโดยไม่รู้ดีรู้ชั่วไปได้ และถึงแม้ว่าจะมีคนหวังช่วยหมาโหย่วฉาย แต่สุดท้ายเขาก็ต้องล้มเลิกความพยายามลงเมื่อเห็นว่ามู่หยางหลิงเองก็ยังเด็ก อีกทั้งยังถือว่าเป็นคนในครอบครัวของหม่าหลิวซื่อด้วย นางย่อมมีสิทธิที่จะช่วยทวงความเป็นธรรมคืนให้แก่หม่าหลิวซื่ออย่างแน่นอน

ชาวบ้านในยุ้งฉางอีกหลายคนพากันถอนหายใจโล่งอกไป

เพราะพักพวกของหมาโหยวฉายนั้นมีเยอะมาก ถึงแม้ว่าหมาโหย่วฉายจะทำเรื่องไม่ดีไว้อย่างไร พักพวกของเขาก็พร้อมที่จะออกหน้าเข้าช่วยเสมอ จนทำให้ไม่มีชาวบ้านคนไหนกล้าเข้ามาช่วยหม่าหลิวซื่อเลยสักครั้ง หม่าหลิวซื่อเองก็ไม่ได้มีกำลังกาย กำลังคนมากพอที่จะไปต่อล้อต่อเถียงด้วยได้ แถมหลานแท้ ๆ ของนางก็เป็นผู้หญิงหมด ถ้าหากว่ามีลูกหลานเป็นชายเพิ่มมาอีกสักคน ก็คงจะพอสู้ได้บ้าง

มู่หยางหลิงเห็นสีหน้าท่าทางที่โกรธจัดของหม่าหลิวซื่อ บวกกับสองพี่น้องที่ยืนกำหมัดแน่น ตาแดงก่ำอยู่ข้าง ๆ นางก็รู้ได้ทันทีเลยว่า คนที่มาชิงตัดหน้าใช้พื้นที่ของหม่าหลิวซื่อ จะต้องเป็นศัตรูของหม่าหลิวซื่อแน่ ๆ

มู่หยางหลิงจึงไม่รอช้า นางวางมัดรวงข้าวลงกับพื้น แล้วเดินไปหอบข้าวเปลือกกองนั้นขึ้นมา “ย่าใหญ่ ให้ข้าไปทิ้งไว้ตรงไหนดีจ้ะ?”

“ข้าไม่รู้หรอกนะ ว่าข้าวเปลือกกองนี้มันเป็นของของใคร แต่ทำไมมันถึงทั้งเหม็นทั้งสกปรกเยี่ยงนี้นะ? รีบยกออกไปทิ้งข้างถนนเลยนะหลาน อย่าให้ตกหล่นแม้แต่เม็ดเดียว!”

เมล็ดข้าว ถือได้ว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ของชาวนาเลยทีเดียว ถ้าหากว่าโยนลงบนถนน มันก็จะกระเด็นกระดอนไปทั่ว มานั่งเก็บกันทีนึงก็ต้องใช้เวลา ใช้แรงกันทั้งวัน มู่หยางหลิงคิด ๆ แล้วก็ลังเลอยู่เหมือนกัน

แต่ทันใดนั้นเอง หม่าหลิวซื่อกับหม่าซิ่วหงก็เข้าไปกอบข้าวเปลือกในกองนั้นโยนออกไปบนถนน

มู่หยางหลิงชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจากนั้นนางก็รีบโยนข้าวเปลือกในมือออกไปบนถนนตามคำสั่งทันที ข้าวเปลือกพวกนั้นลอยขึ้นก่อนจะกระจายไปทั่วพื้นถนนตรงนั้น

และการกระทำนี้ก็ช่วยลดความโมโหในใจของหม่าหลิวซื่อกับหม่าซิ่วหงลงไปได้ นางสองคนรีบเดินเข้ามาที่กองข้าวเปลือกนั่น แล้วกอบขึ้น โยนออกไปบนถนนอีกรอบ

แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงชายแก่ผู้หนึ่งโพล่งขึ้นมาด้วยความทนดูต่อไม่ได้ “หยุดเดี๋ยวนี้นะ เมล็ดข้าวพวกนั้นเป็นน้ำพักน้ำแรง เป็นชีวิตของชาวนาอย่างเราเลยนะเว้ย!”

“ถุย!” หม่าหลิวซื่อถ่มน้ำลายใส่หน้าชายแก่ผู้นั้น แล้วนางก็ตอกกลับด้วยสีหน้าแดงฉานว่า “เป็นชีวิตงั้นเรอะ? ชีวิตของข้าโดนพวกมันทำลายจนตายไปแล้วไงล่ะ ข้ากับหลานสาวถึงต้องอยู่อย่างทุกข์แค้นแบบทุกวันนี้ แล้วตอนนี้มันยังกล้ามาหยามข้าเยี่ยงนี้อีก เจ้าก็จะช่วยพวกมันกลั่นแกล้งข้าอีกคนใช่หรือไม่? ว่ายังไง? ข้าจะบอกอะไรเจ้าไว้อย่างนะ หม่าต้าจง ข้าไม่กลัวตายหรอกโว้ย ถ้าข้าต้องตาย ข้าก็จะผูกคอตายอยู่หน้าประตูบ้านเจ้า เพราะที่ชีวิตของข้าต้องป่นปี้แบบนี้มันก็เป็นเพราะพวกเจ้านั่นแหละ เป็นเพราะพวกเจ้าเบียดเบียนเราสามคนย่าหลาน ข้าจะคอยดูสิ้ ว่าจะมีใครหน้าไหนยอมแต่งงานกับคนตระกูลหม่าอีกหรือไม่!”

หม่าหลิวซื่อตะโกนด่าชายผู้นั้นจนสุดเสียง ทำให้ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ต่างพากันอึ้งและเงียบกันหมด หม่าต้าจงผู้นั้นจึงถอยห่างออกจากหม่าหลิวซื่อทันที ส่วนตัวยุยงอย่างหม่าจางซื่อก็หดคอลงไปตาม ๆ กัน

ท่ามกลางความเงียบงันในยุ้งฉาง

ชาวบ้านทุกคนในนั้นจับจ้องไปที่หม่าหลิวซื่อเป็นตาเดียว และรู้ว่านางเป็นคนที่พูดจริงทำจริง เพราะนางเองก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วด้วย

คนที่เคยเป็นคนขี้กลัวอย่างหม่าหลิวซื่อ บัดนี้นางได้กลายเป็นคนที่เข้มแข็งมากที่สุดคนหนึ่งไปแล้ว

มู่หยางหลิงหรี่ตาลงแสดงถึงความกระจ่างแจ้งแก่ใจ ว่าหมาโหย่วฉายผู้นี้ จะต้องเป็นคนที่ทำให้น้องชายคนสนิทของท่านลุงตายแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นย่าใหญ่กับน้องสาวทั้งสองคนคงไม่มีปฏิกิริยาเยี่ยงนี้

พอรู้อย่างนี้ มู่หยางหลิงก็ไม่เกรงใจใครอีกแล้ว นางเดินเข้าไปกอบข้าวเปลือกของหมาโหย่วฉายโยนออกไปบนถนนต่อโดยไม่สนใจสายตาชาวบ้าน

เสียงข้าวเปลือกที่กระแทกลงบทพื้น มันสั่นสะท้านไปทั้งหัวใจของชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ พอพวกเขาหันมามองหม่าหลิวซื่อที่ยืนนิ่งด้วยสีหน้าเฉยชาอยู่กลางยุ้งฉางนั้น ชาวบ้านก็ต้องรู้สึกใจสั่นไปตาม ๆ กัน

คนสนิทของหมาโหย่วฉายรีบวิ่งกลับไปรายงานหมาโหย่วฉายตั้งแต่หม่าหลิวซื่อตะโกนออกคำสั่ง

แต่นั่นมันก็สายเกินไปแล้ว เพราะด้วยพละกำลังของมู่หยางหลิง ทำให้ข้าวเปลือกที่ถูกกองไว้เป็นเนินสูงอยู่ตอนแรกนั้นได้ถูกมู่หยางหลิงโกยไปทิ้งบนถนนจนเกลี้ยงในไม่กี่นาที

ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ล้วนใจเสียที่ต้องเห็นข้าวเปลือกถูกโยนทิ้งไปอย่างไร้ค่าเยี่ยงนั้น แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องชะงักลง เพราะมู่หยางหลิงวิ่งกอบวิ่งโกยไม่กี่ที ข้าวเปลือกพวกนั้นก็กระจายไปทั่วทุกสารทิศแล้ว ข้าวเปลือกกองใหญ่ที่นางอุ้มออกไปแต่ละรอบ ปกติแล้วเด็กอายุเท่านางจะทำกันไม่หวาดไม่ไหวหรอก แต่ปรากฏว่าเด็กคนนี้ทำได้อย่างง่ายดาย แม้แต่เด็กที่มีพละกำลังมากที่สุดในหมู่บ้านยังทำไม่ได้เท่านางเลย

และพื้นที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉากของหม่าหลิวซื่อก็ห่างจากถนนใหญ่มากพอสมควร มิฉะนั้นเด็ก ๆ คงไม่ต้องวิ่งขนข้าวเปลือกออกไปเททิ้งอย่างนั้นหรอก

หม่าหลิวซื่อมองข้าวเปลือกที่ถูกโยนกระจัดกระจายอยู่บนถนนใหญ่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย พลางหันกลับมาพูดกับหลานสาวว่า “ซิ่วหง อย่าลืมกวาดเศษที่เหลือออกไปทิ้งด้วยล่ะ เห็นแล้วรกหูรกตาย่า”

“จ้ะ” หม่าซิ่วหงกับหม่าซิ่วหลานรีบวิ่งไปขอยืมไม้กวาดจากคนแถวนั้นมาทันที จากนั้นพวกนางก็ช่วยกันกวาดเศษข้าวที่ยังเหลืออยู่บนที่ของครอบครัวออกไปนอกยุ้งฉาง

ชาวบ้านยืนมองด้วยความปวดใจ เพราะถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ข้าวเปลือกของพวกเขา แต่ด้วยความที่ทุกคนล้วนเป็นชาวนาเหมือนกัน ย่อมต้องรู้สึกปวดใจเป็นธรรมดา

หม่าหลิวซื่อรู้สึกสะใจยิ่ง “ถ้าเป็นของคนบ้านอื่นน่ะ ข้าก็ไม่ถือสาหาความอันใดหรอก เพราะข้าเองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรอยู่แล้ว แต่นี่มันเป็นของพวกหมาโหย่วฉาย ข้ายอมไม่ได้! มันฆ่าลูกชายกับลูกสะใภ้ของข้า ซ้ำยังฆ่าหลานชายของข้าอีก ยังไม่หมดแค่นี้นะ พวกมันยังไปเป่าหูผู้อาวุโสของตระกูลเพื่อแย่งชิงที่นาของข้าอีก แล้วตอนนี้ก็ยังจะมาเบียดเบียนที่เก็บข้าวในยุ้งฉางของข้า พวกมันกะจะให้พวกข้าอดตายกันหรือยังไง กะจะฆ่าแกงกันงั้นหรือ”

หม่าหลิวซื่อกอดหลานสาวทั้งสองคนไว้แล้วพูดทั้งน้ำตา “พวกเจ้าจะอยู่กันอย่างไร ถ้าข้าตายไปพวกเจ้าจะใช้ชีวิตกันต่อไปอย่างไร? ถ้าย่าต้องตาย ย่าจะไปผูกคอตายหน้าบ้านพวกมัน ครอบครัวเราจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตานะ ให้หม่าต้าฝูได้เบิกตาดูว่าพวกมันทำอะไรกับครอบครัวเราไว้บ้าง จะได้แจ่มแจ้งเสียที หม่าต้าฝู เจ้าคนอายุสั้น เจ้าเบิกตาดูเถิด ว่าพี่ ๆ น้อง ๆ ที่แสนดีของเจ้า บัดนี้ยังจะมาเบียดเบียนหลานสาวของเจ้าอีก ถ้าข้าตายไป สายเลือดอีกสองคนที่เหลือของเจ้าจะอยู่กันอย่างไร! เจ้าออกมาดูสิ! ลุกขึ้นจากหลุมมาดู!”

หม่าซิ่วหงกับหม่าซิ่วหลานกอดย่าไปร้องไห้ไป น้ำมูกน้ำตาไหลพราก

มู่หยางหลิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ทำอะไรไม่ถูก นางได้แต่ยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น……

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด