อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 28 ย่าใหญ่โกรธจัด

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 28 ย่าใหญ่โกรธจัด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หม่าหลิวซื่อลากแขนหลานสาวคนโตจ้ำอ้าวกันกลับบ้าน พอถึงบ้านก็ได้กลิ่นหอมเย้ายวนที่ไม่คุ้นจมูกสักเท่าไหร่

ทันทีที่มาถึงหน้าบ้าน หม่าหลิวซื่อก็สะดุดเข้ากับกลิ่นหอมเย้ายวนอยู่ครู่หนึ่ง ทันทีที่นางผลักประตูบ้านเข้าไป นางก็เจอกับหม่าซิ่วหลานที่วิ่งออกมาจากห้องครัวด้วยความดีใจ “ท่านย่า พี่สาวมาเยี่ยมพวกเรา แถมยังมีเนื้อมาให้พวกเราได้กินกันอีกด้วย” หม่าซิ่วหลานพยายามพูดประโยคหลังให้เสียงต่ำลง

แม้ว่าหม่าซิ่วหลานจะยังเด็ก แต่นางก็รู้จักระแวดระวัง ไม่พูดอะไรเสียงดังมากเกินไป เพราะกลัวว่าคนนอกบ้านได้ยินเข้าแล้วจะพากันมาเบียดเบียนพวกนางอีก

หม่าซิ่วหลานวิ่งไปจับแขนพี่สาวแท้ ๆ ของนาง “ท่านพี่ ลูกพี่ลูกน้องเอาลูกอมมาให้พวกเรากินด้วยนะ”

มู่หยางหลิงได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว จึงเดินออกมาดู ก็พบว่าเป็นย่าใหญ่กับลูกพี่ลูกน้องของนางอีกคน “ย่าใหญ่ พวกท่านกลับมากันแล้วหรือ?” มู่หยางหลิงยิ้มถาม

“อาหลิง?” หม่าหลิวซื่อตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงตัวมู่หยางหลิงออกมาให้พ้นหน้าห้องครัว “เจ้าเด็กคนนี้ ใยเจ้าถึงได้เข้าครัวทำกับข้าวเองล่ะหื้อ? ข้าควรจะต้องดูแลเจ้าสิ ถึงจะถูก”

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะย่าใหญ่ กับข้าวก็ทำเสร็จหมดแล้ว ข้ากำลังจะยกออกมาพอดีเลยจ้ะ”

หม่าหลิวซื่อมองเข้าไปในครัว ก็เห็นหม้อซุปที่มีเนื้อไก่เกือบล้นหม้อตั้งอยู่บนเตา นางผงะไปพร้อม ๆ กับตาที่แดงก่ำ “พ่อของเจ้าช่างมีน้ำใจ”

มู่หยางหลิงกลัวการต้องเห็นคนร้องไห้เป็นที่สุด นางจึงรีบยกกับข้าวเดินผ่านไป และพูดขึ้นต่อว่า “พวกท่านคงจะหิวกันแล้ว รีบล้างมือก่อนเถอะจ้ะ จะได้มากินข้าวกัน น้องสาว ยกข้าวจากในครัวออกมาตั้งได้เลยนะ”

หม่าซิ่วหลานตอบรับ แล้วหันมาดันตัวพี่สาวของนาง “ท่านพี่ รีบไปล้างมือเร็วเข้า ข้าจะไปยกข้าวมาให้”

หม่าซิ่วหงพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนมองมู่หยางหลิงตาไม่กะพริบ พอน้องสาวของนางดันตัวเข้า จึงเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา

หม่าหลิวซื่อเข้าไปในครัว ก็พบกับไก่ป่าที่ถูกถอนขน และล้างจนสะอาดแช่อยู่ในถังไม้ พอหันไปตรงหน้าต่างก็เห็นกระต่ายป่าอีก 2 ตัวแขวนอยู่ นางจึงอดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “ใยเจ้าถึงเอาเนื้อสัตว์มาให้พวกข้าเยอะขนาดนี้ เราสามคนกินกันไม่หมดหรอก อีกอย่างเจ้าก็ลำบากหามันมาด้วย เจ้าควรจะเอากลับไปเก็บไว้กินกันในครอบครัวสิ ถึงจะถูก คราวหน้าคราวหลังไม่ต้องเอามาแล้วนะ ถ้ามีเยอะจนกินไม่หมดก็น่าจะเอาไปขาย จะได้เอาเงินส่วนนั้นไปซื้ออาหารอย่างอื่นแก็บไว้กินอีก……”

หม่าซิ่วหงได้ยินดังนั้น ก็หันมามองมู่หยางหลิงด้วยสีหน้าประหลาดใจ

มู่หยางหลิงเองก็สัมผัสได้ถึงท่าทีของหม่าซิ่วหงที่แปลกประหลาด นางจึงยิ้มทักทาย “เจ้าคงจะเป็นน้องใหญ่สินะ พ่อข้าบอกว่า ข้าแก่กว่าเจ้าอยู่ 2 เดือน เจ้าก็คงจะต้องเรียกข้าว่าพี่สาวแล้วสิ”

หม่าซิ่วหงทำตัวไม่ถูก จึงยิ้มให้ก่อนจะพูดขึ้นแค่ว่า “พี่สาว” จากนั้นนางก็รีบก้มหน้าล้างมือต่อ

มู่หยางหลิงขานรับ ก่อนจะเดินไปตักข้าวใส่ถ้วย

ทั้ง 4 คนนั่งล้อมโต๊ะกินข้าวด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย แล้วจู่ ๆ หม่าหลิวซื่อก็คีบไก่ใส่ถ้วยให้มู่หยางหลิงรัว ๆ “กินเยอะ ๆ นะ เจ้ากำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโตเลย……”

มู่หยางหลิงจึงหันไปมองลูกพี่ลูกน้องอีกสองคนที่นั่งผอมแห้งแรงน้อยอยู่ข้าง ๆ “ย่าใหญ่ ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ” นางย่นจมูกแล้วพูดต่อ “ครอบครัวของข้าอาจจะมีทรัพย์สินเงินทองไม่มากนัก แต่เนื้อสัตว์พวกนี้ที่บ้านข้ายังมีให้กินได้ตลอด เพราะฉะนั้นพวกท่านกินกันให้เต็มที่เถอะนะ” พูดจบนางก็คีบเนื้อในถ้วยให้น้องสาวสองคนข้าง ๆ “พวกเจ้ากินเข้าสิ แม่ข้ามักจะบอกว่าฝีมือของข้าไม่ค่อยดี พวกเจ้าลองชิมดูหน่อย ข้าจะได้รู้ว่ามันขาดตกบกพร่องตรงไหนบ้าง”

หม่าหลิวซื่อหัวเราะขึ้นในลำคอ “เจ้ามีฝีมือนะ เพียงแต่ฝีมือของแม่เจ้าเป็นเลิศต่างหากล่ะ”

ส่วนหม่าซิ่วหลาน พอกินเข้าไปได้สองสามคำ ก็พูดขึ้นต่อว่า “พี่สาวทำกับข้าวได้อร่อยมากเลย”

หม่าซิ่วหงก้มหน้ากินจนเงยหน้าไม่ขึ้น เหมือนว่ากับข้าวพวกนี้จะถูกปากนางเสียแล้ว และด้วยความที่หม่าซิ่วหงเป็นเด็กไม่ค่อยพูด พอได้ยินน้องสาวพูดดังนั้นนางก็ทำเพียงแค่พยักหน้าเห็นด้วยรัว ๆ

ซุปหม้อนี้ ทำเอามู่หยางหลิงกินข้าวเข้าไปได้ตั้ง 2 ถ้วย แต่นางจะคีบกินแค่พวกมันฝรั่งกับผักดองเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะนางตั้งใจให้ย่าหลานทั้งสามคนได้กินเนื้อสัตว์ให้เยอะ ๆ เข้าไว้

ขณะเดียวกันหม่าหลิวซื่อก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย เพราะเห็นว่าเด็กคนนี้มีนิสัยชอบเห็นใจและขี้เกรงใจคนอื่นมากเกินไป

ส่วนลูกพี่ลูกน้องอีกสองคนก็กินกันจนเกลี้ยง และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่หม่าซิ่วหงกับหม่าซิ่วหลานได้กินอิ่มโดยไม่ต้องรอให้ถึงวันงานเทศกาลเลยด้วย สองพี่น้องกินข้าวกันจนอิ่มพุงกางและเริ่มนั่งไม่เป็นท่า

หม่าหลิวซื่อลุกขึ้นเก็บโต๊ะ ทำความสะอาดจนเสร็จ จากนั้นนางก็ไปหยิบกระต่ายสองตัวที่แขวนอยู่ตรงหน้าต่าง ขึ้นไปตากไว้ใต้ชายคาบ้าน เพื่อกันไม่ให้คนนอกมาขโมยไป

นางยืนดูในครัวอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีของดีอะไรให้มู่หยางหลิงหอบกลับบ้านได้เลย ทันใดนั้นหลานสาวคนเล็กก็เดินเข้ามาในครัว “ท่านย่า พี่สาวบอกว่า แม่ของนางชอบกินผักดองฝีมือท่านมาก”

ดวงตาของหม่าหลิวซื่อเปล่งประกายขึ้นในทันที หลานสะใภ้ของนางเป็นหญิงมาจากตระกูลที่ดี นางคงจะทำของกินประเภทนี้ไม่เป็นแน่นอน เพราะฉะนั้น ผักดองนี่แหละ จะเป็นของฝากที่ดีได้แน่ ๆ

แต่จริง ๆ แล้วผักดองก็เป็นเพียงแค่ของราคาถูกที่หาซื้อได้ทั่วไป หม่าหลิวซื่อเองก็รู้สึกไม่ค่อยดีนักถ้าจะมอบสิ่ง ๆ นี้ตอบแทนให้ อีกอย่าง ถ้าจะให้มู่หยางหลิงแบกกลับไปเท่าจำนวนที่นางอยากจะให้นั้น มู่หยางหลิงจะแบกกลับไปไหวหรือ?”

หม่าหลิวซื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจได้ว่าพอหมดฤดูเก็บเกี่ยวนี้แล้ว นางจะเอารังไหมที่เลี้ยงไว้ไปส่งเป็นของฝากให้หลานสะใภ้ ทั้งที่รังไหมพวกนั้น เดิมทีนางตั้งใจจะเก็บเอาไว้ขายเป็นทุนค่าแต่งหน้าแต่งตัวให้กับหลานสาวทั้งสองในงานแต่งของพวกนางในภายภาคหน้า

“อาหลิง นอกจากผักดองนี่ แม่เจ้ายังชอบกินอะไรอีกหรือไม่? ข้าจะได้เอาใส่ห่อให้เจ้าเพิ่ม”

มู่หยางหลิงยิ้มตอบ “ขอแค่เป็นของดองของเปรี้ยว แม่ข้าก็ชอบหมดแหละจ้ะ” มู่หยางหลิงนั่งยอง ๆ อยู่ข้างหม่าหลิวซื่อ พอเห็นผักดองที่ถูกหยิบขึ้นมาจากโหลก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “ย่าใหญ่ ท่านทำผักดองอร่อยมาก แถมยังทำถั่วดองเป็นอีกต่างหาก แม่ข้ายังทำของพวกนี้ไม่เป็นเลย”

ผักดองและถั่วดองฝีมือหม่าหลิวซื่อนั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ เพราะตอนที่มู่หยางหลิงกินข้าวอยู่นั้น นางก็คีบกินแต่พวกผักดองจนแทบจะวางตะเกียบไม่ลงเลยทีเดียว

แม้ว่าซู่หว่านเหนียงจะทำกับข้าวเก่ง แต่ของกินพื้นบ้านอย่างนี้นางกลับทำไม่เป็นเลยซักอย่าง ไม่ว่าจะหัดทำไปกี่สิบรอบ นางก็ยังทำออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร

ดังนั้น ที่บ้านตระกูลมู่จึงไม่มีของพวกนี้อยู่ติดบ้านเลย บางทีที่มีให้กินบ้าง ก็จะมาจากการที่เอาของป่าไปแลกกับคนในหมู่บ้านเดียวกันนั่นแหละ

หม่าหลิวซื่อเอาข้าวของต่าง ๆ นา ๆห่อด้วยกระดาษจนเสร็จสรรพ แต่พอนางหันไปดูรูปร่างของมู่หยางหลิง นางก็ต้องหยิบของหนักบางอย่างออกมาบ้าง เพราะนางกลัวว่ามู่หยางหลิงจะแบกไม่ไหว นางยังเขียนหมายเลขกำกับไว้บนหีบห่อก่อนจะใส่ลงในตะกร้าของมู่หยางหลิงด้วย “เจ้ายังเด็กอยู่มาก วันนี้เจ้าแบกของกลับบ้านไปเท่านี้ก่อน คราวหน้าให้พ่อเจ้ามาแบกผักดองกับถั่วดองไปอีก 2 กระบอกนะ”

หม่าหลิวซื่อยินดีมอบให้ด้วยความเต็มใจ แต่ว่าชาวไร่อย่างนางนั้น ไม่ค่อยจะได้กินของดี ๆ อย่างคนอื่นเขาหรอก ขนาดทำกับข้าวยังต้องประหยัดน้ำมันเลย ทุกครั้งที่ทำกับข้าวก็จะใช้น้ำเป็นส่วนใหญ่ ตามด้วยน้ำมันอีก 2-3 หยดพอให้มีความมันช่วยเสริมเท่านั้น มีก็แต่ผักดองที่ยังสามารถทำกินเองได้ และชาวไร่ส่วนใหญ่ก็จะทำผักดองเก็บไว้กินกันเกือบทุกบ้าน แต่บ้านตระกูลหม่านั้นค่อนข้างยากจน ก็จะไม่ได้มีผักดองเก็บไว้มากมายเท่าบ้านอื่น

และแน่นอนว่ามู่หยางหลิงก็ไม่ได้อยากเอากลับบ้านไปเยอะขนาดนั้น มิฉะนั้นคราวหน้านางอาจจะหมดข้ออ้างเพื่อจะเอาของมาฝากย่าใหญ่อีกเป็นแน่ นางจึงตอบไปว่า “แค่นี้ก็พอแล้วจ้ะ กลัวว่าเอากลับไปมากเกินจะกินไม่ทัน เสียของอีก ข้ารู้มาว่าผักดองพวกนี้ถ้าโดนลมโดนอะไรมากไปก็จะไม่อร่อยแล้ว”

“จริงด้วย ถ้าอย่างนั้นพอกลับถึงบ้าน เจ้าก็ให้แม่เอาตะเกียบกวน ๆ มันหน่อยนะ มันจะได้เข้าเนื้อกัน แล้วถ้ากินไม่พอก็ค่อยมาเอาอีกนะ” พูดถึงแค่นี้ นางก็บ่นขึ้นมาต่อว่า “พ่อเจ้าก็เหลือเกินจริง ๆ เจ้าเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง แต่เขากลับวางใจให้เจ้าเดินทางมาไกลเพียงลำพังอย่างนี้ได้ คราวหน้าให้เขามาเองเลยนะ เด็กผู้หญิงเดินมาคนเดียวเนี่ย อันตรายเกินไป”

มู่หยางหลิงหัวเราะออกมาก่อนจะพูดต่อว่า “ไม่ไกลเลยจ้ะ ข้าเดินข้ามเขามา แล้วข้าก็เดินเร็วด้วยนะจ้ะ แค่ 45 นาทีก็ถึงแล้ว ถ้าเดินมาตามถนนใหญ่ต้องใช้เวลาเกือบตั้ง 2 ชั่วโมงแหนะ”

หม่าหลิวซื่อได้ยินดังนั้นก็โกรธจนตัวแข็ง “นี่พ่อเจ้าให้ข้ามเขามาเองงั้นรึ? บ้าไปแล้ว เจ้าอายุแค่ 9 ขวบเองนะ ในหุบเขานั่นมีสัตว์ดุร้ายมากมาย พ่อเจ้าไม่กลัวบางเลยเรอะ ว่าลูกสาวจะถูกหมาป่าเล่นงานเอา?” พูดจบนางก็จับมู่หยางหลิงหันซ้ายหันขวา ตรวจดูตามร่างกาย พอเห็นว่าไม่มีบาดแผลอะไร นางก็ค่อย ๆ ถอนหายใจออกมาแล้วลุกขึ้นยืน “ไป ย่าใหญ่จะไปส่งเจ้ากลับบ้านเอง เราจะเดินกลับทางถนนใหญ่กัน ทางบนหุบเขาลูกนั้นใครเขาใช้กันล่ะสมัยนี้? มีแค่ผู้ใหญ่วัยกลางคนเท่านั้นแหละที่ยังกล้าใช้อยู่ แถมส่วนใหญ่เขายังต้องพาเพื่อนรวมกลุ่มกันไปอีก 2-3คนด้วยนะ พ่อเจ้าเนี่ย ไว้ใจไม่ได้จริง ๆ เลย ให้ลูกสาวเดินทางคนเดียวแบบนี้ได้อย่างไรกัน”

แม้ว่าถ้าข้ามเขาเบื้องหน้านี้ไป ก็จะเป็นหางเขาของเขาฉูซานแล้ว และสัตว์ป่าดุร้ายน้อยใหญ่ก็ไม่ได้มีมากเท่ากับเขตป่าทึบของเขาฉูซาน แต่ทว่า ในเวลากลางดึกก็มักจะมีเสียงหมาป่าเห่าหอนอยู่บ่อย ๆ เด็ก ๆ ในหมู่บ้านจึงถูกสั่งห้ามไม่ให้เดินทางเข้าหุบเขานี้โดยเด็ดขาด

หม่าหลิวซื่อนึกไม่ออกจริง ๆ ว่ามู่ฉือนั้นเป็นคนใจเด็ดขนาดไหน ถึงได้ยอมให้ลูกสาวเดินข้ามเขาลูกนี้มาคนเดียว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด