อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 56 เรื่องราวในอดีต

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 56 เรื่องราวในอดีต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไม่ใช่ว่าเขาไม่โกรธที่มู่หยางหลิงทำอะไรโดยไม่การปรึกษาหารือกันก่อน เพียงแต่ว่า พอได้เห็นแววตาอันสดใสของลูกสาว กับแววตาที่ไร้เดียงสาของลูกชาย ความโมโหและความโกรธภายในใจมันก็พลันหายไปหมด

แต่แล้วมู่หยางหลิงก็ถามสิ่งที่นางสงสัยอยู่ในใจขึ้นมา “ท่านพ่อ สรุปแล้วตระกูลมู่ของเราทำข้อตกลงอะไรไว้กับหมู่บ้านหลินซานหรือ?”

มู่ฉือเหลือบมองลูกชายที่กำลังนั่งโยกไปโยกมา แล้วชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ตัวเล็ก “ไปเอาเก้าอี้มานั่งนี่มา”

มู่หยางหลิงจึงเดินไปหยิบเก้าอี้ตัวเล็กมา 2 ตัว แล้วนั่งลงตรงหน้ามู่ฉือกับน้องชาย

แล้วมู่ฉือก็ตอบคำถามเมื่อซักครู่ ด้วยสีหน้าที่ยังมึนงงอยู่ “ทีแรกพ่อกะจะให้พวกเจ้าโตขึ้นกว่านี้ก่อนแล้วค่อยบอก เพราะพ่อกลัวว่าถ้าบอกไปตอนนี้พวกเจ้าจะรู้สึกโกรธเคืองชาวบ้านกันไปเปล่า ๆ แล้วมันอาจจะทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างแย่ลงไปอีกได้ แต่ดู ๆ ไป ตอนนี้พวกเจ้าก็สมกับเป็นเชื้อสายตระกูลมู่แล้วนะ จิตใจของพวกเจ้ามีเมตตาและรู้จักช่วยเหลือผู้อื่นตั้งแต่ยังเด็ก แค่นี้พ่อก็ภูมิใจแล้วล่ะ”

มู่หยางหลิงได้ฟังคำชมจากพ่อก็รู้สึกเขินจนหน้าแดง แล้วจู่ ๆ เสียงหลุดขำของซู่หว่านเหนียงก็แทรกขึ้น และมีเพียงเสี่ยวปั๋วเหวินที่ยังนั่งจ้องหน้าพ่อของเขาด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิ

“ขอพูดอะไรอย่างนึงนะ อย่าสอนอะไรไม่ดีให้กับลูกก็พอ” ซู่หว่านเหนียงกล่าว แล้วคร่ำครวญต่อว่า “ในเมื่อมันถึงเวลาที่จะต้องบอกความจริง เจ้าก็บอกลูกไปให้หมดเลยเถอะ วันหน้าลูก ๆ ของเราจะได้ไม่มีอะไรคาใจอีก”

มู่ฉือรู้ว่านางหมายถึงเรื่องของฟางหลิวซื่อ ผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นป้าเล็กของเขา ความสัมพันธ์ของมู่ฉือกับญาติคนอื่น ๆ นั้นราบรื่นมาโดยตลอด แต่กับฟางหลิวซื่อเนี่ย แม้แต่หน้าของนาง เขายังไม่อยากจะมองเลย และไม่ต้องพูดถึงของฝากของขวัญวันขึ้นปีใหม่เลยนะ ไม่เคยส่งให้กันหรอก

มู่ฉือลูบหัวลูกชาย พลางพูดต่อว่า “เรื่องมันยาวน่ะ ถ้าให้เล่าจริง ๆ มันก็คงจะต้องเริ่มตั้งแต่สมัยปู่ของพวกเจ้านั่นหละ” มู่ฉือหันมามองหน้าลูกสาว “อาหลิง เจ้ารู้ไหม ว่าเจ้ามีหน้าตาและนิสัยเหมือนกับปู่ของเจ้ามาก แล้วพอจะนึกออกบ้างแล้วหรือยังว่าปู่ของเจ้าเป็นคนเช่นไร?”

มู่หยางหลิงอ้าปากค้าง

“ในสมัยที่ปู่ของพวกเจ้ามาลงหลักปักฐานอยู่ที่หมู่บ้านหลินซานเนี่ยนะ สร้างความฮือฮาไปทั่วทั้ง 8 เมือง 10 ลี้เลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงสาวน้อยสาวใหญ่ที่ยังโสดอยู่เลยนะ แม้แต่หญิงที่มีครอบครัวแล้วยังติดใจปู่ของเจ้าเลย” แล้วมู่ฉือก็มองหน้ามู่หยางหลิงด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “แต่เสียดายอยู่อย่างนึง แม้ว่าหน้าตาของเจ้าจะเหมือนปู่มาก แต่ผิวของเจ้าเนี่ย ไม่ได้ครึ่งนึงของปู่เจ้าเลย เจ้าตากลมตากแดดหน่อยนึงก็คล้ำลงแล้ว แต่ปู่เจ้านี่สิ ผิวขาวเป็นยองใย ลมร้อนแดดจ้าแค่ไหนผิวของเขาก็ยังขาวผ่อง”

มู่หยางหลิงพูดอะไรไม่ออก แล้วจากนั้นก็ยกมือขึ้นจับหน้าตัวเอง พลันคิดว่า นี่ผิวหน้าของนางแย่มากขนาดนั้นเลยเรอะ? ตอนนี้นางอายุได้ 9 ขวบแล้ว แม้ว่าผิวของนางจะดำคล้ำไปนิด แต่ผิวหน้าก็ยังเรียบเนียน มองไม่เห็นรูขุมขนเลยนะ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสวยขนาดไหน เพราะนางก็ส่องกระจกดูตัวเองอยู่ทุกวัน

เสี่ยวปั๋วเหวินมองหน้าพี่สาว แล้วหันไปมองหน้าพ่อ สลับไปมาอย่างนั้นอยู่พักนึงก่อนจะพูดขึ้นว่า “งั้นท่านพ่อก็หน้าไม่เหมือนท่านปู่น่ะสิ ท่านพ่อหน้าเหมือนท่านย่าใช่หรือไม่ขอรับ?”

มู่หยางหลิงยังคงอึ้งอยู่ “……ข้าหน้าเหมือนท่านปู่จริง ๆ หรือนี่”

ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า ปู่ของมู่หยางหลิงที่มีนามว่า มู่เหยียน เนี่ย รูปร่างหน้าตาหล่อเหลามาก ทันทีที่เขาก้าวเข้ามาในหมู่บ้านหลินซานนั้น

สาวน้อยสาวใหญ่ในหมู่บ้านหลินซานกับหมู่บ้านใกล้เคียงล้วนใจละลายไปตาม ๆ กัน รวมไปถึงแม่นางหลิวคนรอง ซึ่งก็คือย่าของมู่หยางหลิงและแม่นางหลิวสาม ซึ่งก็คือย่าเล็ก

แต่สุดท้าย มู่เหยียนก็เข้าสู่ขอแม่นางหลิวคนรอง และนี่ก็เป็นเหตุให้แม่นางหลิวสามไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ยังดีที่มู่เหยียนก็เป็นคนที่มีข้อบกพร่องอยู่บ้าง

เพราะถึงแม้ว่าเขาจะมีรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาภูมิฐาน แต่เขาเป็นคนที่ไม่มีพ่อแม่หรือญาติพี่น้องหลงเหลืออยู่เลย กล่าวได้ว่า เขาอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด ที่อยู่อาศัยก็มีเพียงกระท่อมหลังคามุงจากตรงเชิงเขาหลังเดียวนั้น อีกทั้งยังไม่มีที่ไร่ที่นาอะไรไว้ทำกินอีกด้วย ภายหลังแม่นางหลิวสามจึงตัดสินใจแต่งงานกับคนตระกูลฟางแทน แต่คนตระกูลฟางนี่ก็เป็นคนดีคนหนึ่งนะ แถมหน้าตาฐานะยังดีอีกด้วย

แต่ถึงยังไง แม่นางหลิวสามก็ยังมีอคติต่อแม่นางหลิวคนรองกับมู่เหยียนอยู่เหมือนเดิม

ทีแรกนางก็ไม่ได้หึงหวงมู่เหยียนจนออกนอกหน้าอะไร แต่พอผ่านไปซักพัก นางก็คิดทำการบางอย่างให้เหมือนเป็นการดูหมิ่นความอับจนของมู่เหยียน โดยนางได้กว้านซื้อที่ดินตรงตีนเขา และปลูกบ้านอิฐ 5 หลังทับตรงที่ผืนนั้นให้เป็นเรือนหอของนางกับสามี

และเมื่อนางได้เห็นว่า ชีวิตหลังแต่งานของแม่นางหลิวคนรองกับมู่เหยียนนั้นดูมีความสุขมากมายซะเหลือเกิน ความอิจฉาริษยาเล็ก ๆ ของแม่นางหลิวสามก็กลายเป็นความเกลียดชังที่เข้ากระดูกดำ

แต่ความรักของชายตระกูลมู่ที่มีต่อภรรยานั้น มันก็มากมายเป็นปกติของคนตระกูลนี้อยู่แล้ว หลังจากที่ทั้งคู่ได้อยู่กินกันฉันสามีภรรยา มู่เหยียนก็ไม่ให้ภรรยาของเขาออกไปทำงานนอกบ้านอีกเลย เขาเพียงแต่ขอให้นางอยู่ดูแลบ้านช่องห้องหับและรดน้ำใส่ปุ๋ยผักในสวนเล็ก ๆ ข้างบ้านเท่านั้น

สองพี่น้องที่ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านหลินซานแห่งนี้แห่งเดียวกัน และต้องเจอหน้ากันแทบทุกวันทุกคืน ความเกลียดชังนั้นจึงกัดกินหัวใจของแม่นางหลิวสามจนไม่เหลือชิ้นดี จากเด็กสาววัย 25 ปีในตอนนั้น กลับกลายเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคนวัย 30 ในไม่กี่ปี แต่แม่นางหลิวคนรองที่แก่กว่าแม่นางหลิวสาม 1 ปีนั้น กลับมีหน้าตาที่ดูเหมือนเด็กสาววัย 20 ต้น ๆ

จนกระทั่งแม่นางหลิวคนรองได้ให้กำเนิดมู่ฉือ แม่นางหลิวสามจึงค่อย ๆ ได้สติกลับมาอีกครั้ง

ตอนที่มู่ฉือเพิ่งเกิดมานั้น หน้าตาของเขาดูไม่ค่อยเหมือนชาวหูเท่าไหร่นัก แต่เขาเป็นเด็กที่มีการเจริญเติบโตไวกว่าเด็กทั่วไป พอเขาอายุได้ 5 ขวบ มือเท้าของเขากลับดูเหมือนมือเท้าของเด็กอายุ 7 ขวบ และดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็เริ่มจะไม่ค่อยเหมือนพ่อกับแม่

เมื่อแม่นางหลิวสามรู้เข้า ก็สร้างข่าวลือขึ้นมาให้ชาวบ้านหลินซานเอาไปพูดกันสนุกปาก ว่านางสงสัยมาตั้งแต่แรกแล้ว ว่าแม่นางหลิวคนรองต้องไปขโมยเด็กที่ไหนมาแน่ เพราะมู่ฉือหน้าตาไม่เหมือนพ่อกับแม่ของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

แต่มู่เหยียนก็ไม่โต้ตอบอะไรกับใครทั้งสิ้น เขาคิดแค่ว่ามู่ฉือเป็นเด็กที่วิเศษสำหรับเขา เพราะแม่ของมู่ฉือเป็นหญิงงาม ที่งามทั้งกายทั้งใจ และตอนนี้นางก็ได้ให้กำเนินลูกชายของเขามาแล้ว ดังนั้นเรื่องที่แม่นางหลิวสามจะไปพูดต่อว่าเขาโตเร็วเกินไว หรืออะไรยังไงนั้น เขาไม่สนใจเลย

อีกอย่าง มู่ฉือมีหน้าตาที่ละม้ายคล้ายกับพ่อของมู่เหยียนมาก และนั่นก็ทำให้เขามั่นใจว่าสายเลือดชาวหูยังมีอยู่ในตัวของเขา มู่เหยียนกับภรรยาไม่สนใจคำติฉินนินทาของคนในหมู่บ้านหลินซาน จนกระทั่งแม่นางหลิวสามยอมแพ้ และเลิกปลุกปั่นเรื่องนี้ไปได้ในเวลาต่อมา

และด้วยความที่สงครามระหว่างชาวหูกับชาวฮั่นในสมัยก่อนนั้นยืดยาวอยู่หลายปีมาก จนทำให้ชาวหูกับชาวฮั่นได้พบกันและหันมาแต่งงานกันเองเยอะพอสมควร ในทีแรกตระกูลหลิวเองก็โมโหมู่เหยียนอยู่เหมือนกัน ที่เขาปกปิดว่าตนนั้นว่ามีเชื้อสายชาวหู แต่ต่อมาตระกูลหลิวก็เริ่มยอมรับในตัวมู่เหยียน เนื่องจากทัศนคติและจิตใจที่ดีงามของเขา

แต่แม่นางหลิวสามก็ยังไม่ยอมปล่อยให้เรื่องมันจบลงง่าย ๆ นางมักจะยุยงเด็ก ๆ และคนในหมู่บ้านให้ไปรังแกมู่ฉือกับแม่นางหลิวคนรองอยู่บ่อย ๆ

แต่มู่ฉือมีวรยุทธที่แก้กล้าพอควร ดังนั้นเด็ก ๆ ที่เข้ามารุมรังแกเขา ก็แทบจะทำอะไรเขาไม่ได้เลย หนำซ้ำยังโดนมู่ฉือเล่นงานกลับไป จนวิ่งหนีกลับบ้านกันแทบไม่ทัน ทีแรกพ่อแม่ของเด็กพวกนั้นก็ไม่ได้ถือสาหาความอะไรมู่ฉือ แต่พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อยขึ้นเรื่อย ๆ บวกกับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านมักจะใส่ร้ายมู่ฉือ ว่าเขาเป็นคนเริ่มรังแกพวกเด็ก ๆ ก่อน พวกผู้ใหญ่จึงเริ่มสงสัยว่ามู่ฉือจะต้องมีสายเลือดชาวหูอยู่ในตัวแน่ ๆ เพราะมู่ฉือดูจะเป็นเด็กที่มีนิสัยดุร้าย และชอบรังแกผู้อื่น

แต่มู่ฉือกับแม่กลับไม่เคยเอาเรื่องที่เด็ก ๆ พวกนี้รังแกเขาสองคนแม่ลูกมาใส่ใจเลยซักครั้ง รู้ตัวอีกที บ้านตระกูลมู่ก็ถูกคนทั้งหมู่บ้านหลินซานเนรเทศออกมานอกหมู่บ้านแล้ว

ในตอนนั้น มู่ฉืออายุได้เพียงแค่ 7ขวบ และเขาก็กลายเป็นคนไม่มีเพื่อนไปเลยนับจากนั้น ส่วนมากเขาจะติดตามมู่ฉือเพื่อเข้าป่าไปล่าสัตว์ หรือไม่ก็นั่งเล่นก้อนหินดินทรายอยู่หน้าบ้าน

มีเพียงหลิวถิงกับน้อง ๆ ของเขา ที่ยังออกมาเล่นกับมู่ฉืออยู่บ้าง แต่พอกลับเข้าหมู่บ้านหลินซานไป พวกเขาก็ต้องถูกเด็ก ๆ คนอื่นในหมู่บ้านบีบคั้นด้วยอิทธิพลคนหมู่มากอีก

จนหลิวต้าเฉียนกับหลิวเอ้อเฉียนค้นพบความผิดปกติของเรื่องนี้ และแอบสืบทราบมาว่า ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ มาจากน้องนางหลิวสามนั่นเอง แต่เรื่องนี้เป็นความขัดแย้งภายในของตระกูลหลิว พวกเขาจึงเรียกตัวสองสามีภรรยาตระกูลมู่มาพูดคุย แล้วจากนั้นก็เรียกตัวแม่นางหลิวสามมาดุด่า พร้อมทั้งออกคำสั่ง ห้ามไม่ให้นางยุ่งกับตระกูลมู่อีก

แม่นางหลิวสามดูออกว่าท่านแม่ของนางไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้อยู่เหมือนกัน

หลังจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลมู่กับตระกูลหลิวก็เริ่มห่างเหิน จนกระทั่งภัยพิบัติทางสงครามเมื่อ 15 ปีก่อนเริ่มประทุขึ้น

ช่วงฤดูหนาวเมื่อ 15 ปีก่อน ทางตอนเหนือได้รับผลกระทบจากพายุหิมะอย่างหนัก และในขณะเดียวกันนั้น มีชายชาวหูกลุ่มนึงลักลอบข้ามชายแดนลงไปทางตอนใต้ของประเทศจีน หนำซ้ำยังปล้นสะดมมาตลอดทางที่พวกมันขี่ม้าผ่านไปด้วย แต่ในระหว่างนั้น ชายผู้หนึ่งที่มีนามว่าหยวนเจียจวินก็ไล่ตามพวกมันมาติด ๆ และสามารถขับคนพวกนั้นออกจากต้าโจวได้ แต่ก็ยังมีชาวหูบางส่วนที่หลบหนีจากการไล่ล่านั้นไปได้ อีกทั้งยังมีมากกว่า 40 คนที่หลบหนีเข้ามายังหมู่บ้านหลินซาน

หมู่บ้านหลินซานในสมัยนั้น มีหนุ่ม ๆ สาว ๆ วัยรุ่นอยู่กันค่อนข้างเยอะ แต่คนที่ใจกล้าพอจะต่อสู้กับพวกโจรเหล่านั้นมีเพียงแค่หยิบมือเดียว ชาวบ้านนับ 348 ชีวิตจาก 48 ครัวเรือน เกือบจะเอาชีวิตกันไม่รอดถ้าไม่ได้มู่เหยียนเข้ามาช่วย มู่เหยียนซุ่มยิงธนูใส่โจรพวกนั้นจนกลุ่มโจรต้องหนีตายกันเข้าไปในหุบเขา

มู่เหยียนจึงสั่งให้มู่ฉือนำทางชาวบ้านทุกคนเข้าไปหลบในป่า ส่วนตัวมู่เหยียนก็จะนำทัพเด็กหนุ่มที่พร้อมจะต่อสู้ด้วยกันนั้น เข้าหุบเขาไปตามล่าพวกโจรต่อ

แต่คนที่ออกแรงมากที่สุดก็มีเพียงมู่เหยียน กับแม่นางหลิวที่ถือมีดอีโต้เพียงเล่มเดียวตามเข้าไปฟันพวกโจรไม่ยั้ง โดยไม่คิดถึงชีวิตตัวเอง สุดท้าย มู่เหยียนถูกหามกลับออกมา ด้วยบาดแผลตามร่างกายทั้งหมด 17 แผล กับลมหายใจเฮือกสุดท้าย แต่พวกโจรนับ 21 คนได้ตายตกไปตามกันด้วยน้ำมือของมู่เหยียนเพียงคนเดียว

เขาพยายามเก็บลมหายใจที่เริ่มจะโรยรินนั้นไว้ เพื่อที่จะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาสามคนพ่อแม่ลูกเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจากนั้นมู่เหยียนก็ค่อย ๆ สิ้นใจ เดิมทีแม่นางหลิวคนรองก็ได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย แต่มันเทียบไม่ได้กับความสูญเสียที่เกิดขึ้นในตอนท้ายของเรื่อง คืนนั้นทั้งคืน นางกอดศพของสามีไว้แน่นไม่ยอมปล่อย จนในที่สุดนางก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวและตายตามสามีไป

มู่ฉือสูญเสียพ่อและแม่ของเขาไปในคืนเดียว และนั่นก็ทำให้มู่ฉือรู้สึกเกลียดคนในหมู่บ้านหลินซานที่ทั้งขี้ขลาดและไร้ความสามารถ เพราะสำหรับมู่ฉือแล้วนั้น หากถึงเวลาที่ต้องต่อสู้เพื่อแลกกับชีวิต เขาจะไม่ลังเลและไม่รีรอความช่วยเหลือจากใครเลย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 56 เรื่องราวในอดีต

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 56 เรื่องราวในอดีต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไม่ใช่ว่าเขาไม่โกรธที่มู่หยางหลิงทำอะไรโดยไม่การปรึกษาหารือกันก่อน เพียงแต่ว่า พอได้เห็นแววตาอันสดใสของลูกสาว กับแววตาที่ไร้เดียงสาของลูกชาย ความโมโหและความโกรธภายในใจมันก็พลันหายไปหมด

แต่แล้วมู่หยางหลิงก็ถามสิ่งที่นางสงสัยอยู่ในใจขึ้นมา “ท่านพ่อ สรุปแล้วตระกูลมู่ของเราทำข้อตกลงอะไรไว้กับหมู่บ้านหลินซานหรือ?”

มู่ฉือเหลือบมองลูกชายที่กำลังนั่งโยกไปโยกมา แล้วชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ตัวเล็ก “ไปเอาเก้าอี้มานั่งนี่มา”

มู่หยางหลิงจึงเดินไปหยิบเก้าอี้ตัวเล็กมา 2 ตัว แล้วนั่งลงตรงหน้ามู่ฉือกับน้องชาย

แล้วมู่ฉือก็ตอบคำถามเมื่อซักครู่ ด้วยสีหน้าที่ยังมึนงงอยู่ “ทีแรกพ่อกะจะให้พวกเจ้าโตขึ้นกว่านี้ก่อนแล้วค่อยบอก เพราะพ่อกลัวว่าถ้าบอกไปตอนนี้พวกเจ้าจะรู้สึกโกรธเคืองชาวบ้านกันไปเปล่า ๆ แล้วมันอาจจะทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างแย่ลงไปอีกได้ แต่ดู ๆ ไป ตอนนี้พวกเจ้าก็สมกับเป็นเชื้อสายตระกูลมู่แล้วนะ จิตใจของพวกเจ้ามีเมตตาและรู้จักช่วยเหลือผู้อื่นตั้งแต่ยังเด็ก แค่นี้พ่อก็ภูมิใจแล้วล่ะ”

มู่หยางหลิงได้ฟังคำชมจากพ่อก็รู้สึกเขินจนหน้าแดง แล้วจู่ ๆ เสียงหลุดขำของซู่หว่านเหนียงก็แทรกขึ้น และมีเพียงเสี่ยวปั๋วเหวินที่ยังนั่งจ้องหน้าพ่อของเขาด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิ

“ขอพูดอะไรอย่างนึงนะ อย่าสอนอะไรไม่ดีให้กับลูกก็พอ” ซู่หว่านเหนียงกล่าว แล้วคร่ำครวญต่อว่า “ในเมื่อมันถึงเวลาที่จะต้องบอกความจริง เจ้าก็บอกลูกไปให้หมดเลยเถอะ วันหน้าลูก ๆ ของเราจะได้ไม่มีอะไรคาใจอีก”

มู่ฉือรู้ว่านางหมายถึงเรื่องของฟางหลิวซื่อ ผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นป้าเล็กของเขา ความสัมพันธ์ของมู่ฉือกับญาติคนอื่น ๆ นั้นราบรื่นมาโดยตลอด แต่กับฟางหลิวซื่อเนี่ย แม้แต่หน้าของนาง เขายังไม่อยากจะมองเลย และไม่ต้องพูดถึงของฝากของขวัญวันขึ้นปีใหม่เลยนะ ไม่เคยส่งให้กันหรอก

มู่ฉือลูบหัวลูกชาย พลางพูดต่อว่า “เรื่องมันยาวน่ะ ถ้าให้เล่าจริง ๆ มันก็คงจะต้องเริ่มตั้งแต่สมัยปู่ของพวกเจ้านั่นหละ” มู่ฉือหันมามองหน้าลูกสาว “อาหลิง เจ้ารู้ไหม ว่าเจ้ามีหน้าตาและนิสัยเหมือนกับปู่ของเจ้ามาก แล้วพอจะนึกออกบ้างแล้วหรือยังว่าปู่ของเจ้าเป็นคนเช่นไร?”

มู่หยางหลิงอ้าปากค้าง

“ในสมัยที่ปู่ของพวกเจ้ามาลงหลักปักฐานอยู่ที่หมู่บ้านหลินซานเนี่ยนะ สร้างความฮือฮาไปทั่วทั้ง 8 เมือง 10 ลี้เลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงสาวน้อยสาวใหญ่ที่ยังโสดอยู่เลยนะ แม้แต่หญิงที่มีครอบครัวแล้วยังติดใจปู่ของเจ้าเลย” แล้วมู่ฉือก็มองหน้ามู่หยางหลิงด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “แต่เสียดายอยู่อย่างนึง แม้ว่าหน้าตาของเจ้าจะเหมือนปู่มาก แต่ผิวของเจ้าเนี่ย ไม่ได้ครึ่งนึงของปู่เจ้าเลย เจ้าตากลมตากแดดหน่อยนึงก็คล้ำลงแล้ว แต่ปู่เจ้านี่สิ ผิวขาวเป็นยองใย ลมร้อนแดดจ้าแค่ไหนผิวของเขาก็ยังขาวผ่อง”

มู่หยางหลิงพูดอะไรไม่ออก แล้วจากนั้นก็ยกมือขึ้นจับหน้าตัวเอง พลันคิดว่า นี่ผิวหน้าของนางแย่มากขนาดนั้นเลยเรอะ? ตอนนี้นางอายุได้ 9 ขวบแล้ว แม้ว่าผิวของนางจะดำคล้ำไปนิด แต่ผิวหน้าก็ยังเรียบเนียน มองไม่เห็นรูขุมขนเลยนะ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสวยขนาดไหน เพราะนางก็ส่องกระจกดูตัวเองอยู่ทุกวัน

เสี่ยวปั๋วเหวินมองหน้าพี่สาว แล้วหันไปมองหน้าพ่อ สลับไปมาอย่างนั้นอยู่พักนึงก่อนจะพูดขึ้นว่า “งั้นท่านพ่อก็หน้าไม่เหมือนท่านปู่น่ะสิ ท่านพ่อหน้าเหมือนท่านย่าใช่หรือไม่ขอรับ?”

มู่หยางหลิงยังคงอึ้งอยู่ “……ข้าหน้าเหมือนท่านปู่จริง ๆ หรือนี่”

ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า ปู่ของมู่หยางหลิงที่มีนามว่า มู่เหยียน เนี่ย รูปร่างหน้าตาหล่อเหลามาก ทันทีที่เขาก้าวเข้ามาในหมู่บ้านหลินซานนั้น

สาวน้อยสาวใหญ่ในหมู่บ้านหลินซานกับหมู่บ้านใกล้เคียงล้วนใจละลายไปตาม ๆ กัน รวมไปถึงแม่นางหลิวคนรอง ซึ่งก็คือย่าของมู่หยางหลิงและแม่นางหลิวสาม ซึ่งก็คือย่าเล็ก

แต่สุดท้าย มู่เหยียนก็เข้าสู่ขอแม่นางหลิวคนรอง และนี่ก็เป็นเหตุให้แม่นางหลิวสามไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ยังดีที่มู่เหยียนก็เป็นคนที่มีข้อบกพร่องอยู่บ้าง

เพราะถึงแม้ว่าเขาจะมีรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาภูมิฐาน แต่เขาเป็นคนที่ไม่มีพ่อแม่หรือญาติพี่น้องหลงเหลืออยู่เลย กล่าวได้ว่า เขาอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด ที่อยู่อาศัยก็มีเพียงกระท่อมหลังคามุงจากตรงเชิงเขาหลังเดียวนั้น อีกทั้งยังไม่มีที่ไร่ที่นาอะไรไว้ทำกินอีกด้วย ภายหลังแม่นางหลิวสามจึงตัดสินใจแต่งงานกับคนตระกูลฟางแทน แต่คนตระกูลฟางนี่ก็เป็นคนดีคนหนึ่งนะ แถมหน้าตาฐานะยังดีอีกด้วย

แต่ถึงยังไง แม่นางหลิวสามก็ยังมีอคติต่อแม่นางหลิวคนรองกับมู่เหยียนอยู่เหมือนเดิม

ทีแรกนางก็ไม่ได้หึงหวงมู่เหยียนจนออกนอกหน้าอะไร แต่พอผ่านไปซักพัก นางก็คิดทำการบางอย่างให้เหมือนเป็นการดูหมิ่นความอับจนของมู่เหยียน โดยนางได้กว้านซื้อที่ดินตรงตีนเขา และปลูกบ้านอิฐ 5 หลังทับตรงที่ผืนนั้นให้เป็นเรือนหอของนางกับสามี

และเมื่อนางได้เห็นว่า ชีวิตหลังแต่งานของแม่นางหลิวคนรองกับมู่เหยียนนั้นดูมีความสุขมากมายซะเหลือเกิน ความอิจฉาริษยาเล็ก ๆ ของแม่นางหลิวสามก็กลายเป็นความเกลียดชังที่เข้ากระดูกดำ

แต่ความรักของชายตระกูลมู่ที่มีต่อภรรยานั้น มันก็มากมายเป็นปกติของคนตระกูลนี้อยู่แล้ว หลังจากที่ทั้งคู่ได้อยู่กินกันฉันสามีภรรยา มู่เหยียนก็ไม่ให้ภรรยาของเขาออกไปทำงานนอกบ้านอีกเลย เขาเพียงแต่ขอให้นางอยู่ดูแลบ้านช่องห้องหับและรดน้ำใส่ปุ๋ยผักในสวนเล็ก ๆ ข้างบ้านเท่านั้น

สองพี่น้องที่ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านหลินซานแห่งนี้แห่งเดียวกัน และต้องเจอหน้ากันแทบทุกวันทุกคืน ความเกลียดชังนั้นจึงกัดกินหัวใจของแม่นางหลิวสามจนไม่เหลือชิ้นดี จากเด็กสาววัย 25 ปีในตอนนั้น กลับกลายเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคนวัย 30 ในไม่กี่ปี แต่แม่นางหลิวคนรองที่แก่กว่าแม่นางหลิวสาม 1 ปีนั้น กลับมีหน้าตาที่ดูเหมือนเด็กสาววัย 20 ต้น ๆ

จนกระทั่งแม่นางหลิวคนรองได้ให้กำเนิดมู่ฉือ แม่นางหลิวสามจึงค่อย ๆ ได้สติกลับมาอีกครั้ง

ตอนที่มู่ฉือเพิ่งเกิดมานั้น หน้าตาของเขาดูไม่ค่อยเหมือนชาวหูเท่าไหร่นัก แต่เขาเป็นเด็กที่มีการเจริญเติบโตไวกว่าเด็กทั่วไป พอเขาอายุได้ 5 ขวบ มือเท้าของเขากลับดูเหมือนมือเท้าของเด็กอายุ 7 ขวบ และดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็เริ่มจะไม่ค่อยเหมือนพ่อกับแม่

เมื่อแม่นางหลิวสามรู้เข้า ก็สร้างข่าวลือขึ้นมาให้ชาวบ้านหลินซานเอาไปพูดกันสนุกปาก ว่านางสงสัยมาตั้งแต่แรกแล้ว ว่าแม่นางหลิวคนรองต้องไปขโมยเด็กที่ไหนมาแน่ เพราะมู่ฉือหน้าตาไม่เหมือนพ่อกับแม่ของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

แต่มู่เหยียนก็ไม่โต้ตอบอะไรกับใครทั้งสิ้น เขาคิดแค่ว่ามู่ฉือเป็นเด็กที่วิเศษสำหรับเขา เพราะแม่ของมู่ฉือเป็นหญิงงาม ที่งามทั้งกายทั้งใจ และตอนนี้นางก็ได้ให้กำเนินลูกชายของเขามาแล้ว ดังนั้นเรื่องที่แม่นางหลิวสามจะไปพูดต่อว่าเขาโตเร็วเกินไว หรืออะไรยังไงนั้น เขาไม่สนใจเลย

อีกอย่าง มู่ฉือมีหน้าตาที่ละม้ายคล้ายกับพ่อของมู่เหยียนมาก และนั่นก็ทำให้เขามั่นใจว่าสายเลือดชาวหูยังมีอยู่ในตัวของเขา มู่เหยียนกับภรรยาไม่สนใจคำติฉินนินทาของคนในหมู่บ้านหลินซาน จนกระทั่งแม่นางหลิวสามยอมแพ้ และเลิกปลุกปั่นเรื่องนี้ไปได้ในเวลาต่อมา

และด้วยความที่สงครามระหว่างชาวหูกับชาวฮั่นในสมัยก่อนนั้นยืดยาวอยู่หลายปีมาก จนทำให้ชาวหูกับชาวฮั่นได้พบกันและหันมาแต่งงานกันเองเยอะพอสมควร ในทีแรกตระกูลหลิวเองก็โมโหมู่เหยียนอยู่เหมือนกัน ที่เขาปกปิดว่าตนนั้นว่ามีเชื้อสายชาวหู แต่ต่อมาตระกูลหลิวก็เริ่มยอมรับในตัวมู่เหยียน เนื่องจากทัศนคติและจิตใจที่ดีงามของเขา

แต่แม่นางหลิวสามก็ยังไม่ยอมปล่อยให้เรื่องมันจบลงง่าย ๆ นางมักจะยุยงเด็ก ๆ และคนในหมู่บ้านให้ไปรังแกมู่ฉือกับแม่นางหลิวคนรองอยู่บ่อย ๆ

แต่มู่ฉือมีวรยุทธที่แก้กล้าพอควร ดังนั้นเด็ก ๆ ที่เข้ามารุมรังแกเขา ก็แทบจะทำอะไรเขาไม่ได้เลย หนำซ้ำยังโดนมู่ฉือเล่นงานกลับไป จนวิ่งหนีกลับบ้านกันแทบไม่ทัน ทีแรกพ่อแม่ของเด็กพวกนั้นก็ไม่ได้ถือสาหาความอะไรมู่ฉือ แต่พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อยขึ้นเรื่อย ๆ บวกกับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านมักจะใส่ร้ายมู่ฉือ ว่าเขาเป็นคนเริ่มรังแกพวกเด็ก ๆ ก่อน พวกผู้ใหญ่จึงเริ่มสงสัยว่ามู่ฉือจะต้องมีสายเลือดชาวหูอยู่ในตัวแน่ ๆ เพราะมู่ฉือดูจะเป็นเด็กที่มีนิสัยดุร้าย และชอบรังแกผู้อื่น

แต่มู่ฉือกับแม่กลับไม่เคยเอาเรื่องที่เด็ก ๆ พวกนี้รังแกเขาสองคนแม่ลูกมาใส่ใจเลยซักครั้ง รู้ตัวอีกที บ้านตระกูลมู่ก็ถูกคนทั้งหมู่บ้านหลินซานเนรเทศออกมานอกหมู่บ้านแล้ว

ในตอนนั้น มู่ฉืออายุได้เพียงแค่ 7ขวบ และเขาก็กลายเป็นคนไม่มีเพื่อนไปเลยนับจากนั้น ส่วนมากเขาจะติดตามมู่ฉือเพื่อเข้าป่าไปล่าสัตว์ หรือไม่ก็นั่งเล่นก้อนหินดินทรายอยู่หน้าบ้าน

มีเพียงหลิวถิงกับน้อง ๆ ของเขา ที่ยังออกมาเล่นกับมู่ฉืออยู่บ้าง แต่พอกลับเข้าหมู่บ้านหลินซานไป พวกเขาก็ต้องถูกเด็ก ๆ คนอื่นในหมู่บ้านบีบคั้นด้วยอิทธิพลคนหมู่มากอีก

จนหลิวต้าเฉียนกับหลิวเอ้อเฉียนค้นพบความผิดปกติของเรื่องนี้ และแอบสืบทราบมาว่า ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ มาจากน้องนางหลิวสามนั่นเอง แต่เรื่องนี้เป็นความขัดแย้งภายในของตระกูลหลิว พวกเขาจึงเรียกตัวสองสามีภรรยาตระกูลมู่มาพูดคุย แล้วจากนั้นก็เรียกตัวแม่นางหลิวสามมาดุด่า พร้อมทั้งออกคำสั่ง ห้ามไม่ให้นางยุ่งกับตระกูลมู่อีก

แม่นางหลิวสามดูออกว่าท่านแม่ของนางไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้อยู่เหมือนกัน

หลังจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลมู่กับตระกูลหลิวก็เริ่มห่างเหิน จนกระทั่งภัยพิบัติทางสงครามเมื่อ 15 ปีก่อนเริ่มประทุขึ้น

ช่วงฤดูหนาวเมื่อ 15 ปีก่อน ทางตอนเหนือได้รับผลกระทบจากพายุหิมะอย่างหนัก และในขณะเดียวกันนั้น มีชายชาวหูกลุ่มนึงลักลอบข้ามชายแดนลงไปทางตอนใต้ของประเทศจีน หนำซ้ำยังปล้นสะดมมาตลอดทางที่พวกมันขี่ม้าผ่านไปด้วย แต่ในระหว่างนั้น ชายผู้หนึ่งที่มีนามว่าหยวนเจียจวินก็ไล่ตามพวกมันมาติด ๆ และสามารถขับคนพวกนั้นออกจากต้าโจวได้ แต่ก็ยังมีชาวหูบางส่วนที่หลบหนีจากการไล่ล่านั้นไปได้ อีกทั้งยังมีมากกว่า 40 คนที่หลบหนีเข้ามายังหมู่บ้านหลินซาน

หมู่บ้านหลินซานในสมัยนั้น มีหนุ่ม ๆ สาว ๆ วัยรุ่นอยู่กันค่อนข้างเยอะ แต่คนที่ใจกล้าพอจะต่อสู้กับพวกโจรเหล่านั้นมีเพียงแค่หยิบมือเดียว ชาวบ้านนับ 348 ชีวิตจาก 48 ครัวเรือน เกือบจะเอาชีวิตกันไม่รอดถ้าไม่ได้มู่เหยียนเข้ามาช่วย มู่เหยียนซุ่มยิงธนูใส่โจรพวกนั้นจนกลุ่มโจรต้องหนีตายกันเข้าไปในหุบเขา

มู่เหยียนจึงสั่งให้มู่ฉือนำทางชาวบ้านทุกคนเข้าไปหลบในป่า ส่วนตัวมู่เหยียนก็จะนำทัพเด็กหนุ่มที่พร้อมจะต่อสู้ด้วยกันนั้น เข้าหุบเขาไปตามล่าพวกโจรต่อ

แต่คนที่ออกแรงมากที่สุดก็มีเพียงมู่เหยียน กับแม่นางหลิวที่ถือมีดอีโต้เพียงเล่มเดียวตามเข้าไปฟันพวกโจรไม่ยั้ง โดยไม่คิดถึงชีวิตตัวเอง สุดท้าย มู่เหยียนถูกหามกลับออกมา ด้วยบาดแผลตามร่างกายทั้งหมด 17 แผล กับลมหายใจเฮือกสุดท้าย แต่พวกโจรนับ 21 คนได้ตายตกไปตามกันด้วยน้ำมือของมู่เหยียนเพียงคนเดียว

เขาพยายามเก็บลมหายใจที่เริ่มจะโรยรินนั้นไว้ เพื่อที่จะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาสามคนพ่อแม่ลูกเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจากนั้นมู่เหยียนก็ค่อย ๆ สิ้นใจ เดิมทีแม่นางหลิวคนรองก็ได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย แต่มันเทียบไม่ได้กับความสูญเสียที่เกิดขึ้นในตอนท้ายของเรื่อง คืนนั้นทั้งคืน นางกอดศพของสามีไว้แน่นไม่ยอมปล่อย จนในที่สุดนางก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวและตายตามสามีไป

มู่ฉือสูญเสียพ่อและแม่ของเขาไปในคืนเดียว และนั่นก็ทำให้มู่ฉือรู้สึกเกลียดคนในหมู่บ้านหลินซานที่ทั้งขี้ขลาดและไร้ความสามารถ เพราะสำหรับมู่ฉือแล้วนั้น หากถึงเวลาที่ต้องต่อสู้เพื่อแลกกับชีวิต เขาจะไม่ลังเลและไม่รีรอความช่วยเหลือจากใครเลย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+