อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 22 โกรธจัด

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 22 โกรธจัด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฉีซิวหย่วนเป็นนายพลชั้นที่ 4 ของกองพันทหาร และเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองทัพตะวันตกอีกด้วย

ค่ายทหารตะวันตกตั้งอยู่ในจังหวัดซิงโจว ซึ่งอยู่ถัดลงมาจากจังหวัดซิงหยวน โดยที่รอบนอกของซิงโจวจะห้อมล้อมไปด้วยอำเภอซุนเจิ้ง และกองทัพตะวันตกก็จะตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอำเภอพอดี ความรับผิดชอบของกองทัพตะวันตกก็คือต้องคอยรักษาความปลอดภัยให้กับพื้นที่ทั้งหมดในเมืองซิงทั้งหลาย และเนื่องจากเขตปกครองของซิงโจวบางส่วนอยู่ในอำเภอซุนเจิ้งด้วย ทางกองทัพจึงจำเป็นต้องแบ่งกองกำลังออกเป็น 3 กลุ่มเพื่อรักษาความปลอดภัยได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น

ที่ต้องมีกองกำลังประจำอยู่ ก็เพราะว่าหน่วยงานทางราชการของอำเภอซุนเจิ้งนั้นตั้งอยู่ทางตะวันออกของตัวอำเภอ แต่สำนักงานจังหวัดซิงโจวดันตั้งอยู่ทางเหนือของอำเภอซุนเจิ้ง จึงทำให้กองกำลังทหารเพียงหน่วยเดียวของพวกเขาที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้นั้นไม่สามารถดูแลพื้นที่ทางตอนเหนือได้ตลอด

และถึงแม้ว่าฉีซิวหย่วนอยากจะพาเด็กหนุ่มทั้งสองคนกลับกองทัพตะวันตกไปด้วยกันมากแค่ไหน แต่ด้วยทางกองทัพตอนนี้แทบไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดใดเหลืออยู่เลย ฉีซิวหย่วนเองก็ไม่อยากให้น้องชายของเขาต้องมาลำบากไปด้วย เขาจึงพาน้องชายทั้งสองกลับไปอยู่ที่จวนหลังนึงในอำเภอซุนเจิ้งก่อน และเมื่อเด็กหนุ่มทั้งสองมาถึง พวกเขาก็พากันไปจัดแจงที่หลับที่นอนกันทันที ส่วนฉีซิวหย่วนก็เรียกคนสนิทเข้าไปพบที่หอสมุดทันทีที่มาถึง

ตระกูลฉีนั้นเป็นเพียงครอบครัวเล็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดหลินอัน ฉีเฟิงผู้เป็นพ่อ ก็เป็นเพียงผู้ช่วยราชเลขาธิการชั้นที่สี่ของกองตรวจการ ส่วนฉีซิวหย่วนเองในตอนนี้ ก็อยู่ในตำแหน่งที่สูงพอ ๆ กับพ่อของเขาแล้วด้วย และนอกจากเขาสองคนพ่อลูกแล้วนั้น ก็ไม่มีชายใดในตระกูลฉีที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงเท่านี้อีกแล้ว

ถึงแม้ว่าข้าราชการในสมัยนี้จะดูสูงส่งกว่าการเป็นนายทหาร แต่ก็ยังไม่มีใครแยกออกว่าตำแหน่งไหนสำคัญกว่ากัน ระหว่างผู้บังคับบัญชาระดับสี่ที่ควบคุมกองทัพทหาร กับผู้ช่วยราชเลขาธิการอันดับสี่ของกองตรวจการประจำวังหลวง

ฉีซิวหย่วนสามารถเลื่อนขั้นได้อย่างรวดเร็วหลังจากที่เขาสำเร็จการศึกษาวิชาการทหาร เนื่องจากตัวเขานั้นเคยดำรงตำแหน่งองครักษ์ประจำกายขององค์จักรพรรดิมาแล้ว บวกกับท่านอาของเขายังเป็นผู้บังคับบัญชาการกองทหารในตอนนั้นด้วย อีกทั้งความไม่รักตัวกลัวตายของฉีซิวหย่วน ที่เขายอมพลีชีพร่วมรบในสงครามอย่างไม่เกรงกลัวความตายเพื่อจะสั่งสมประสบการณ์ และนั่นทำให้เขาได้รับการเลื่อนขั้นจากชั้นที่ 6 ขึ้นมาเป็นชั้นที่ 4 ได้ภายในระยะเวลาแค่ 2 ปี

ส่วนความไม่ลงรอยกันระหว่างฉีซิวหย่วนกับพ่อของเขานั้น คนสนิทของฉีซิวหย่วนต่างก็รู้กันดี เนื่องจากฉีซิวหย่วนเดินทางข้ามชายแดนไปตั้งแต่อายุ 16 โดยไม่พึ่งพาคนในครอบครัวเลยแม้แต่คนเดียว จนกลายเป็นที่ชื่นชมของคนหลาย ๆ คน และด้วยความที่ตระกูลฉีนั้นเป็นตระกูลที่ฝักใฝ่ในเรื่องเรียนกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จึงทำให้ความไม่เอาไหนเรื่องเรียนและคิดอยากจะเข้าร่วมกับกองทัพทหารของฉีซิวหย่วนนี้เป็นที่ไม่พอใจอย่างมากต่อวงศ์ตระกูล ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน แม้ว่ายศศักดิ์ของเขาจะเทียบเท่ากับพ่อของเขาแล้ว แต่เขาก็ยังละอายทุกทีที่จะพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา

แล้วความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยลงรอยกันของเขากับพ่อ ก็กำลังเกิดขึ้นกับเขาและฉีเฮ่าหรานในตอนนี้

เหตุเกิดจากเขาได้รับสารมาว่า น้องชายของเขาทิ้งการเรียนแล้วหนีออกมาจากบ้าน แถมยังพาลูกพี่ลูกน้องซึ่งก็คือฟ่านจื่อจินหนีมาด้วย

ในตอนนั้นฉีซิวหย่วนโมโหมาก แต่ถึงแม้ว่าฉีเฮ่าหรานจะซุกซน แต่เขาก็ยังรู้จักเอาตัวรอด ต่างกับฟ่านจื่อจินที่ค่อนข้างจะอ่อนโยนจิตใจดี และด้วยความที่ทั้งสองคนเป็นแบบนี้ ก็ง่ายต่อการถูกบีบให้หนีออกบ้านมาได้ นึกไม่ออกเหมือนกันนะ ว่าใครที่ทำให้น้องชายของเขาหนีออกจากบ้านมาแบบนี้ได้

จากความโมโหก็เปลี่ยนมาเป็นความกังวล เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในตอนนี้ ที่พวกโจรพากันตระเวนไปทั่วทุกหนแห่ง ชาวบ้านธรรมดา ๆ ต่างก็เริ่มมีจิตใจแข็งกร้าวขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องตัวเองจากความรุนแรงที่จะเข้ามาถึงตัว และเด็กอายุ 12 อย่างเฮ่าหรานกับจื่อจินที่ไม่เคยห่างไกลบ้านเกิด แม้แต่ซาลาเปาลูกนึงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีราคาเท่าใด นั่นทำให้ซิวหย่วนเป็นกังวลมากเสียจนต้องส่งทหารไปค้นหาตัวน้องชายทั้งสองทั่วทั้งตอนใต้ในทันทีที่ทราบข่าว

ยามที่น้องชายเริ่มออกจากบ้านไป นอกจากท่านอาแล้ว เห็นจะมีแค่เขานี่แหละที่จะต้องออกตามหาเฮ่าหราน ฉีซิวหย่วนออกตามหาน้องชายโดยการสอบถามผู้คนตลอดทาง แต่ก็ไร้วี่แววของเด็กทั้งสองคนอย่างน่าประหลาดใจ

ตลอดระยะเวลา 2 ปี ฉีซิวหย่วนไม่ได้เจอหน้าน้องชายของเขาเลย แต่เขาก็ยังได้รับจดหมายจากน้องชายอยู่ทุก ๆ เดือน ทุกครั้งที่ฉีเฮ่าหรานเขียนจดหมายมา เขามักจะบ่นอยู่ตลอดว่าแก้มตุ่ย ๆ ทั้งสองข้างของเขาเนี่ย มันทำให้เขาดูแย่ในสายตาเพื่อน ๆ จนทำให้เพื่อน ๆ มักจะพากันล้อเขาอยู่บ่อย ๆ ฉีซิวหย่วนได้อ่านก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงแก้มตุ่ยทั้งสองข้างของเฮ่าหรานที่มีมาแต่เกิด

แต่เมื่อได้พบหน้าน้องชายในครั้งนี้ แก้มตุ่ยทั้งสองข้างของเฮ่าหรานมันเหือดแห้งไปหมดแล้ว แถมร่างกายยังผอมโซ หน้าตาซีดเซียวอีกด้วย ถ้าไม่ติดว่าฉีซิวหย่วนรักษาหน้าตาของตัวเองแล้วล่ะก็ มีหวังคงน้ำตาแตกตั้งแต่ที่ได้เจอหน้าเฮ่าหรานแล้วล่ะ

แต่ในเมื่อฉีซิวหย่วนได้พบหน้าน้องชายแล้ว เขาก็รู้สึกโล่งใจและไม่กดดันอะไรตัวเองอีก ลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามาทำให้ซื่อเจี้ยนกับคนสนิทของเขาอีกหลาย ๆ คนที่มารวมตัวกันนั้นรู้สึกหนาวจนต้องหดคอ

“ส่งจดหมายไปหาเจียงเจ๋อ บอกเขาว่าไม่ต้องกลับมา ให้เขารีบไปตรวจดูว่าตอนนี้ที่หลินอันเกิดอะไรขึ้น สืบหาดูว่าชายสี่กับจื่อจินหนีออกจากบ้านด้วยเหตุอันใด?” ฉีซิวหย่วนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เย็นชา เขาจะต้องสืบหาให้รู้แจ้งว่าการที่น้องชายของเขาหนีออกมานั้น มันเป็นเพราะอะไรกันแน่ และในเมื่อเด็กหนุ่มทั้งสองก็มีแผนที่ติดอยู่กับตัว แถมร่องรอยการหลบหนีมาตลอดทางนั้นยังเห็นได้ชัดเจนอีก แต่มันเป็นไปได้ยังไงที่ทางตระกูลอู๋หาตัวพวกเขาไม่เจอ?

“ไม่ได้หรอก” หรงซวนกล่าวขึ้น “ซิวหย่วน เจียงเจ๋อมีตำแหน่งขุนนาง และผู้บัญชาการทหารก็เข้าสู่เมืองหลวงไม่ได้ถ้าไม่มีคำสั่ง ถ้าหากว่าถูกพบเข้า หายนะมาถึงตัวพวกเราแน่ เรียกตัวเขากลับมาก็พอ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นในหลินอัน พวกเราก็ถามจากชายสี่กับจื่อจิน ถามไปตรง ๆ เลยว่าทำไมคนของตระกูลฉีไม่มีใครหาตัวพวกเขาพบ” หรงซวนหัวเราะขึ้นมาก่อนจะพูดต่อว่า “แต่นี่ยังไม่ชัดเจนอีกงั้นหรือ? ว่าแม่เลี้ยงของเจ้าไม่ได้อยากออกตามหาตัวน้องชายเจ้ากลับไปน่ะ”

ฉีซิวหย่วนขมวดคิ้วแน่น “นางมีศักดิ์เป็นเพียงแค่ท่านป้าของข้าเท่านั้น”

“อ้อ ใช่ ๆ เป็นแค่ป้า มิใช่แม่เลี้ยง” หรงซวนรีบแก้คำทันที “ถ้าอย่างนั้นก็เรียกพวกเจียงเจ๋อกลับมาเถอะ เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็เจอตัวน้องชายของเจ้าแล้ว แล้วคุณชายสี่ก็อยากฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ด้วยมิใช่หรือ? ให้เจียงเจ๋อกลับมาฝึกปรือวิชาให้กับเขาเสียเลยสิ”

ฉีซิวหย่วนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับหรงซวน “ถ้าอย่างนั้นก็เรียกตัวเจียงเจ๋อกลับมาเลย อ้อ จิ้นอวี๋ เจ้าไม่ต้องเรียกเขาว่าคุณชายสี่หรอก พวกเขาอายุน้อยกว่าเจ้า เจ้าเรียกชื่อพวกเขาได้เลย หรือไม่ก็เรียกเจ้าสี่กับเจ้าสอง”

หรงซวน มีชื่อเล่นว่า จิ้นอวี๋ เขาเป็นกุนซือของกองทัพตะวันตก ติดตามฉีซิวหย่วนมาตลอดตั้งแต่หลินอันจนถึงที่นี่ และยังเป็นคนสนิทของฉีซิวหย่วนอีกด้วย

ฉีเฮ่าหรานจะเป็นลูกชายคนที่สี่ของบ้าน ฉีซิวหย่วนก็คือพี่ชายคนโต ส่วนพี่คนรองกับพี่คนที่สามนั้นเป็นลูกของเมียน้อยพ่อ ที่ในตอนนี้ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาเป็นเมียที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว อีกทั้งยังวางมาดเป็นฮูหยินใหญ่ของบ้านอีกด้วย

“วันนี้ที่โรงเตี๊ยม ข้าไปได้ยินมาว่า ช่วงนี้เป็นช่วงเก็บเกี่ยวธัญพืชแท้ ๆ แต่ราคาเส้นหมี่ในร้านขายข้าวสารกลับพุ่งสูงขึ้นเสียได้” ฉีเฮ่าหรานกล่าว

องครักษ์ของฉีซิวหย่วน นามว่าโม่สยง ขมวดคิ้วแน่น “หรือว่าผลการเก็บเกี่ยวในปีนี้ไม่ดีขอรับ?”

“เป็นไปไม่ได้” หรงซวนขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะพูดต่อว่า “ข้าได้ไปเยี่ยมเยียนตามที่ต่าง ๆ มาบ้างแล้ว ข้าก็เห็นว่าพืชผลออกรวงดี แถมสภาพอากาศก็เป็นใจอีกด้วย ผลการเก็บเกี่ยวจะไม่ดีได้อย่างไรกัน?”

ฉีซิวหย่วนจึงหันหน้าไปทางฝ่ายพลาธิการของกองทัพ นามว่าเหอหมิง “แล้วพวกธัญพืชที่เราต้องการจะซื้อล่ะ พวกเขาขายให้เราในราคาเท่าไหร่?”

“ข้าว 1 เกวียน เท่ากับ1ตำลึงเงิน กับอีก1ก้วน ราคาต่ำกว่าท้องตลาดทั่วไปอยู่ 2 ก้วนขอรับ”

“จ้าวกวงเห็นด้วยกับเรื่องนี้แล้วงั้นหรือ?” ฉีซิวหย่วนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ จ้าวกวง คือหัวหน้าฝ่ายพลาธิการของกองทัพตะวันตก

“ขอรับ ตอนนี้ทำได้เพียงแค่รอเบี้ยเลี้ยงกองทหารจากกองกลาง จากนั้นทางเราถึงจะเข้าไปซื้อได้ขอรับ”

แล้วความเย็นยะเยือกก็แผ่ซ่านผ่านดวงตาของฉีซิวหย่วน เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวทันทีว่า “ร้านขายข้าวสารให้ราคาตั้ง 1 ตำลึง 3 ก้วน แต่ตอนเก็บเกี่ยว พวกชาวบ้านได้ค่าธัญพืชจากพวกนายหน้ากันไปแค่ 4 ก้วนกับอีก20 อีแปะเนี่ยนะ”

สีหน้าของทุกคนในที่นั้นเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะหันมามองหน้ากัน “นี่ พวกเรากำลังถูกตลบหลังอย่างนั้นหรือ?”

หรงซวนขมวดคิ้วแน่น “เราต้องสืบหาความจริงเรื่องนี้ให้ได้ เพราะพวกเรายังต้องอยู่ในซิงโจวกันอีกนาน ถ้าหากเรากระทำการใดที่ไปกดดันชาวบ้านเข้า มันจะเกิดการก่อกบฏขึ้นภายหลังได้ แล้วพวกเรานี่แหละ ที่จะลำบาก”

“เห็นด้วยขอรับ” เหอหมิงกล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ตอนนี้พวกเราเองก็ไม่มีพืชผลมากพอที่จะแจกจ่ายให้กับชาวบ้านแล้ว หนำซ้ำยังรับเคราะห์แทนพวกคนชั่วอีกด้วย”

ฉีซิวหย่วนพยักหน้าเห็นด้วย “เรื่องนี้ขอให้ทุกคนช่วยกันนะ เพราะถึงอย่างไรเราก็ต้องหาซื้อเสบียงเข้ามาตุนไว้ในกองทัพเพื่อแจกจ่ายอยู่แล้ว และไหน ๆ ตอนนี้ก็เป็นฤดูเก็บเกี่ยวอยู่พอดี เหอหมิง เจ้าไปช่วยซื้อธัญพืชต่าง ๆ มาจากพวกชาวไร่นะ ไม่ต้องกดราคาพวกเขา ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะขายให้เราในราคาที่เหมาะสมแน่นอน”

เดิมทีเหอหมิงคิดจะฉวยโอกาสซื้อธัญพืชจากชาวไร่ในราคาต่ำ แต่เมื่อเห็นว่าผู้บังคับบัญชาของเขาไม่อยากจะทำร้ายชาวไร่ตาดำ ๆ เขาจึงทำได้เพียงแค่พยักหน้าตอบรับ “ท่านนายพลโปรดวางใจ ข้าน้อยจะทำให้ดีที่สุดขอรับ”

จากนั้นฉีซิวหย่วนก็พูดต่อว่า “ข้าจำได้ว่าจ้าวกวงเป็นทายาทของคหบดีในพื้นที่ ซึ่งก็คือตี๋จือแห่งตระกูลจ้าว จิ้นอวี๋ เจ้าไปสืบประวัติเขาผู้นี้มาหน่อย ข้าไม่เชื่อว่าเขาผู้นี้จะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”

จิ้นอวี๋รู้ว่าฉีซิวหย่วนเริ่มสงสัยในตัวจ้าวกวงแล้ว และเมื่อได้ยินดังนั้นเขาจึงพยักหน้าตอบรับทันที

การแจกจ่ายงานเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อเสร็จกิจ ฉีซิวหย่วนก็เดินออกไปยังสวนหลังบ้านทันที

ส่วนฉีเฮ่าหรานกับฟ่านจื่อจินที่หลับใหลกันไปนานหลายชั่วโมง ก็ตื่นขึ้นมาด้วยความหิวโหย

เนื่องจาก พวกเขาต้องเดินทางมาถึงที่นี่ตั้งแต่หลังมื้อเที่ยงของวัน พอมาถึงที่จวน ก็นอนพักผ่อนกันจนเพลิน จวบจนตอนนี้ก็เป็นเวลาที่ฟ้ามืดพอดี ท้องของพวกเขาจึงเริ่มส่งเสียงเรียกหาอาหารกันโครกคราก พอบิดขี้เกียจกันจนได้ที่ เด็กหนุ่มทั้งสองก็ลุกขึ้นหาของกินทันที

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด