อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ 38 โมโห

Now you are reading อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ Chapter 38 โมโห at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่มู่หยางหลิงลงจากภูเขา ตะกร้าที่แบกอยู่ด้านหลังมีทั้งกระต่ายที่ตายแล้วและกระต่ายที่บาดเจ็บอยู่เต็มตะกร้า ส่วนกระต่ายที่มีชีวิตยังดิ้นออยู่ในกระสอบเป็นระยะ

บั๋วเหวินน้อยยืนเอามือไพล่หลังท่องหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มู่หยางหลิงเห็นเข้าก็โบกมือให้ เด็กน้อยก็วิ่งเตาะแตะเข้ามาหา

บั๋วเหวินน้อยขี้ตกใจ มู่หยางหลิงจึงไม่ได้ให้เขาเห็นกระต่ายที่มีเลือดในตะกร้า แต่กลับเปิดกระสอบให้น้องดูแทน "นี่เป็นกระต่ายที่พี่จับมาได้เจ้าชอบไหม ถ้าชอบก็เก็บไว้ตัวหนึ่งได้ "

ดวงตาของบั๋วเหวินน้อยเป็นประกาย "ตัวเดียวมันจะเหงามากนะ ขอสองตัวดีกว่า"

กระต่ายเลี้ยงเดือนเดียวก็อ้วนมากพอท่ีจะนำไปกินได้แล้ว ถึงตอนนั้นก็ค่อยเปลี่ยนตัวใหม่ให้แล้วกัน มู่หยางหลิงคิดก่อนพูดขึ้น : "เลี้ยงตัวเดียวพอ เจ้ายังต้องหาหญ้ามาให้มันกินอีกนะ เลี้ยงสองตัวเจ้าจะไม่ไหว"

"ก็ได้ " บั๋วเหวินน้อยเอียงหัวดูกระต่ายเล็กน้อยก่อนจะชี้ตัวที่ขาวที่สุดแล้วพูดว่า: “เอาตัวนี้ ตัวนี้น่ารักที่สุด"

มู่หยางหลิงจับหูและหิ้วมันออกมา ก่อนยัดมันเข้าไปในอ้อมแขนของน้องแล้วพูดว่า: "จับไว้ให้ดีนะ อย่าให้มันหนีไปได้ เดี๋ยวพี่ไปหาเชือกมามัดให้"

บั๋วเหวินน้อยพูดขึ้นอย่างมีความสุข: "ถ้าท่านพ่อกลับมา ข้าจะขอให้ท่านพ่อสานตะกร้าให้"

มู่หยางหลิงหัวเราะเยาะเสียงดัง “ พอเถอะ ท่านพ่อมีแต่จะฆ่ากระต่ายแล้วเอาไปกิน”

บั๋วเหวินน้อยอดไม่ได้ที่จะกอดกระต่ายไว้แน่น และมองไปที่พี่สาวด้วยแววตาน่าสงสาร

มู่หยางหลิงแตะจมูกของน้องเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขอโทษท่านพ่ออยู่ในใจ จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้: "ไปเถอะ ไปหาท่านลุงกัน ท่านลุงสานตะกร้าเป็น"

มู่หยางหลิงโยนตะกร้าที่แบกมาไว้ในบ้าน ก่อนจะถือกระสอบแล้วอุ้มน้องชายไปหาลุง

ซู่หว่านเหนียงที่กำลังนั่งปักผ้าอยู่ใต้ชายคา เห็นพวกเธอเข้าก็กำชับขึ้นว่า: "กลับมากันเร็วๆนะ ท่านพ่อเจ้าใกล้จะลงจากภูเขามาแล้ว"

“ เข้าใจแล้วค่ะแม่”

หลิวหลุนที่กำลังร้องไห้อยู่ในบ้าน นอนกลิ้งตัวไปมาพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงฟูมฟาย: "มันเป็นกระต่ายที่พี่หลิงให้ฉันมาเลี้ย ทำไมถึงใจร้ายกันแบบนี้ ทำไมถึงเอาไปกินได้?"

ท่านย่าหลิวก้าวข้ามเขาไปโดยไม่สนใจ ก่อนจะไปนั่งบนเก้าอี้เล็กๆ แล้วสับผักเลี้ยงหมูโดยไม่สนใจฟังเขา

หลิวหลุนร้องเสียงหนักกว่าเดิม หลิวจางซื่อภรรยาของหลิวซวงหัวเราะเยาะขึ้น พร้อมพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ: "อาหลุน เมื่อวานนี้เจ้าและพี่ๆ ไปบ้านป้ากัน ได้กินดื่มอิ่มหนำสำราญ แต่น้องของเจ้าอยู่ที่บ้านไม่ได้กินอะไรเลย ให้พวกเขาได้กินเนื้อกระต่ายหน่อยมันจะเป็นอะไรไป อีกอย่างเมื่อคืนเจ้าก็ได้กินด้วยไม่ใช่หรือ?”

ท่านย่าหลิวขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะวางมีดลง แล้วหันไปจ้องมองลูกสะใภ้ด้วยสายตาไม่พอใจแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า "พูดอะไรแบบนั้น เมื่อวานพวกอาถิงไปช่วยงานท่านป้าของพวกเขา แล้วเจ้าทำไมถึงไม่ให้อาหยางไปกับเขาด้วย? "

หลิวจ้าวซื่อหัวเราะเยาะด้วยเสียงเย็นชา ก่อนจะก้าวเข้าไปดึงตัวลูกชายลุกขึ้น “ก็จะอะไรได้ล่ะ? ไม่อยากให้ลูกตัวเองไปลำบากไง?”

หลิวจ้าวซื่อเห็นลูกชายฟูมฟายน้ำมูกน้ำตาเต็มหน้าก็รู้สึกโมโหขึ้นมา ใช้ฝ่ามือฟาดไปก้นของลูกชายแล้วพูดว่า "กินกระต่ายเจ้าตัวเดียวมันจะเป็นอะไรไป มีกระต่ายแล้วไม่กินจะเก็บไว้ให้มันออกลูกออกหลานหรือไง?"

"ข้าก็อยากเก็บเอาไว้ให้มันออกลูกออกหลานไง" หลิวหลุนพูดขณะที่ยังร้องไห้อยู่: "พี่หลิงรับปากแล้วว่าวันนี้จะให้กระต่ายตัวเมียข้าอีกตัว พวกท่านกินกระต่ายตัวผู้ของข้าแบบนี้ แล้วกระต่ายตัวเมียจะออกลูกได้ยังไง พอออกลูกไม่ได้ต่อไปเราจะมีเนื้อกระต่ายกินอีกได้ยังไง ? โอ้ยกระต่ายตัวผู้ที่น่าสงสารขอข้า: "พูดเสร็จก็นั่งลงบนพื้นเหมือนคุณย่าของเขา ก่อนจะกอดเข่านั่งและร้องไห้ฟูมฟายต่อไป

เด็กๆที่อยู่หน้าบ้านต่างพากันตกตะลึง หลิวถิงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเข้าไปเตะพี่ชายของเขาเบาๆ แล้วพูดว่า: "พอได้แล้ว ไม่ต้องร้องแล้ว เมื่อคืนเจ้าก็กินไปไม่ใช่น้อย ไว้วันหลังเราค่อยไปให้พี่อาหลิงช่วยจับให้ใหม่”

“ ห้ามไป!” หลิวต้าเฉียนย่นคิ้วเข้าหากันอย่างโมโห: “ ข้าเคยบอกแล้วว่าห้ามรับของของพี่หลิงเจ้าอีก เมื่อวานถึงข้าจะไม่ได้ว่าอะไรแต่ข้าก็เห็นอยู่ ก่อนหน้านี้พวกเจ้าเอาเปรียบลูกพี่ลูกน้องของพวกเจ้าแค่ไหนแล้ว? ข้าก็ว่าอยู่ว่าครึ่งปีมานี้ข้าไม่เห็นว่าเราจะมีเนื้อให้กินกันเลย แต่เจ้าสองคนกลับอ้วนขึ้นไม่น้อย สงสัยจะแอบไปขอของกินกับท่านอาเจ้าอีกแล้วใช่มั้ย”

หลิวต้าเฉียนพูดเสร็จก็หยิบไม้เรียวขึ้นมาเตรียมจะตี หลิวหลุนรีบกระโดดไปหลบอยู่หลังแม่ทันที

หลิวจ้าวซื่อสงสารลูกชายแต่ก็ไม่กล้าห้ามพ่อตา เธอจึงรีบอธิบายขึ้นว่า:“ ท่านพ่อพวกเขาไม่ได้ไปขอท่านอาเขาหรอก เด็กๆแค่ไปเล่นกับอาหลิง …”

ที่บอกว่าหลิวถิงและหลิวหลุนอ้วนนั้น อันที่จริงแล้วดูผอมจนเห็นแต่ซี่โครงแล้ว แต่ในสภาพที่อดยากแร้นแค้นแบบนี้ เห็นแค่ซี่โครงก็ถือว่า "อ้วน" แล้ว

ท่านย่าหลิวก็รู้สึกสงสารหลานชายเช่นกัน จึงก้าวเข้าไปห้ามไว้ ก่อนจะพูดว่า "พอเถอะ พอเถอะ พวกเขาไม่ได้ไปขอท่านอามาหรอก เจ้าเคยเห็นมู่ฉือเอาเนื้อมาให้พวกเราเหรอ แต่เป็นอาหลิง อาหลิงสงสารน้องๆจึงแอบให้มา”

ชาวบ้านต่างก็รู้ว่ามู่หยางหลิงชอบพาพวกเด็กๆไปย่างเนื้อกินกันที่หุบเขา บางครอบครัวก็สงสารลูกเลยทำเป็นไม่เห็นเมื่อลูกๆแอบไปย่างเนื้อกินกับเขาด้วย

"พวกเขาเป็นลูกหลานรุ่นหลังแล้ว จะไปรู้อะไรกับเรื่องของผู้ใหญ่เราที่แก่จนจะเข้าโลงอยู่แล้ว? เจ้าคิดว่ามู่ฉือจะไม่รู้เหรอ? ที่เขาไม่ว่าอะไรเพราะเขาใจดีต่างหาก" ท่านย่าหลิวเช็ดน้ำตาเล็กน้อย "อาหลิงก็เป็นเด็กดี ถ้าเจ้ามาตีเด็กๆแบบนี้ ก็จะไม่ทำให้ลูกพี่ลูกน้องเขามีปัญหากันไปด้วย? ถ้ายังจะตีอีก เจ้าก็ต้องอธิบายเรื่องนี้กับเด็กๆให้ชัดเจน "

หลิวต้าเฉียนอ้ำอึ้งไปเล็กน้อย เรื่องแบบนี้จะให้เขาพูดยังไง? พูดไปแล้วเด็กๆจะเข้าใจได้หรือ?

หลิวต้าเฉียนกลับไปที่บ้านด้วยความโมโห

หลิวจ้าวซื่อถอนหายใจอย่างโล่งใจ แต่หลิวจางซื่อกลับกลอกตาไปมา เธอแต่งเข้ามาที่นี่ตอนหลัง จึงไม่รู้เรื่องราวก่อนหน้านี้ ตอนแรกเธอก็เคยคิดจะเอาเปรียบตระกูลมู่อยู่บ้างเหมือนกัน แต่เพราะเหตุนี้เธอเกือบถูกไล่ออกจากบ้าน หลังจากนั้นท่านพ่อและท่านแม่สามีก็พูดเตือนเธออยู่เรื่อยๆ จนเธอไม่กล้าพูดอะไรเกี่ยวกับเนื้อของตระกูลมู่อีก ที่ว่าอยากจะยืมบ้างหรือแลกเปลี่ยนสิ่งของบ้างก็ไม่เคยคิดอีกเลย

ลูกสะใภ้ของครอบครัวอื่นๆในหมู่บ้านก็เหมือนกัน จะถูกเตือนเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่เพิ่งแต่งงานเข้ามา ดังนั้นแม้ว่าตระกูลมู่จะร่ำรวยกว่าทุกคนในหมู่บ้าน แต่ก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่อง และถ้าพวกเขามีปัญหาอะไรผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านก็จะช่วยคุยให้

อย่างครั้งก่อนผู้ใหญ่จากกรมตรวจสอบภาษีครัวเรือนในเมืองเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับรายได้และทรัพย์สินของแต่ละครอบครัว ผู้เฒ่าต่างๆในหมู่บ้านต่างพากันช่วยปกปิดข้อมูลของครอบครัวตระกูลมู่ให้

มีเนื้อกินทุกวันและกินข้าวสวยกินทุกมื้อ นานๆจะกินโจ๊กทีหนึ่ง จะเป็นครอบครัวยากจนได้ยังไง?

แต่คำพูดพวกนี้หลิวจางซื่อทำได้แค่สงสัยในใจ ไม่กล้าจะพูดมันออกมา

หลิวหลุนถูกท่านปู่ว่าเข้าให้ ก็ไม่กล้าร้องไห้ฟูฟายอีก เขานั่งลงบนพื้นและเช็ดน้ำตา เป็นภาพที่มู่หยางหลิงเข้ามาเห็นพอดี รู้สึกว่าหลิวหลุนน่าสงสารเหลือเกิน

"เกิดอะไรขึ้นเหรอ?"

เมื่อหลิวจ้าวซื่อเห็นมู่หยางหลิงเข้าก็ยิ้มขึ้นอย่างดีใจ: "อาหลิงมานี่เร็ว รีบเข้ามา รีบเข้ามา อาหลุนยังร้องไห้อยู่เลย เดี๋ยวเจ้าพาน้องออกไปเล่นด้วยกันนะ"

ดวงตาของเด็กๆต่างพากันจ้องไปยังกระต่ายที่อยู่ในอ้อมแขนของบั๋วเหวินน้อย หลิวหยุ่นวัยหกขวบก็วิ่งเข้าไปจ้องมองกระต่ายน้อยในอ้อมแขนของบั๋วเหวินครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองหน้ามู่หยางหลิงด้วยดวงตาใสซื่อพร้อมพูดว่า: " ท่านพี่หลิงข้าก็อยากได้กระต่ายตัวน้อยเหมือนกัน "

เมื่อเห็นแม่สามีขมวดคิ้ว หลิวจ้าวซื่อก็รีบก้าวเข้าไปดึงตัวลูกสาวมาตีก้นทีหนึ่งแล้วพูดว่า "พูดอะไร! พี่เจ้าจับกระต่ายมาก็เพื่อนำไปไปขายและแลกเป็นอาหารนะ"

มู่หยางหลิงพูดขึ้นยิ้มๆ " ท่านป้า ข้ามาหาลุงใหญ่ค่ะ ไม่ทราบว่าท่านลุงอยู่มั้ยคะ "

"อยู่ เดี๋ยวข้าเข้าไปตามให้นะ " หลิวจางซื่อเดินเข้าไปตามพ่อตาในบ้าน

"ท่านย่าหลิวข้าจับกระต่ายที่ยังมีชีวิตอยู่ได้รังหนึ่ง ในนั้นมีตัวเมียด้วย ข้าจึงนำมันมาให้อาหลุน"

ท่านย่าหลิวยิ้มและพูดขึ้น "ไม่ต้องแล้ว กระต่ายตัวผู้ถูกพวกข้ากินไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะมีกระต่ายตัวเมียอีก เจ้ามาหาท่านลุงมีอะไรเหรอ?"

มู่หยางหลิงมองไปที่หลิวหลุนด้วยความประหลาดใจ เธอไม่คิดว่ากระต่ายตัวนั้นจะอยู่ได้ไม่ทันข้ามคืนแบบนี้ แต่พอเห็นดวงตาแดงช้ำของเขาแล้วก็เข้าใจในทันใด

หลิวหยุ่นมองเธอตาใสแจ๋วและกระซิบเบาๆว่า: "ท่านพี่ให้กระต่ายฉันตัวหนึ่งเถอะ"

อันที่จริงมู่หยางหลิงไม่ชอบหลิวหยุ่นมากนัก เนื่องด้วยเธอเด็กขี้แยและเอาแต่ใจ แต่เห็นว่าเธอยังเด็กอายุแค่หกขวบเท่านั้น มู่หยางหลิงจึงอย่าคิดอะไรมาก ในเมื่อให้พวกหลิวหลุนได้แล้ว ถ้าไม่ให้หลิวหยุ่นและหลิวหยางด้วยก็คงไม่ดี อีกอย่างเด็กๆอาจจะทะเลาะกันด้วย

"ได้ซิ ข้ามาที่นี่ก็เพราะอยากมาแลกเปลี่ยนของกับท่านลุง ถ้าท่านปู่ของพวกเจ้าตกลช่วยข้า ข้าก็จะให้กระต่ายกับเจ้านะ" ต้องพูดแบบนี้ท่านลุงถึงจะยอมให้พวกเขารับกระต่ายได้

หลิวต้าเฉียนเดิอออกมาจากบ้านยิ้มๆ "อาหลิวเจ้ามีอะไรให้ลุงช่วยเหรอ?"

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด