นางสนมแพทย์อัจฉริยะบทที่ 272 ตบหน้า, เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่หญิงสาวที่อ่อนแอ

Now you are reading นางสนมแพทย์อัจฉริยะ Chapter บทที่ 272 ตบหน้า เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่หญิงสาวที่อ่อนแอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พี่สาวทั้งสอง ชิงเฉินไปพบเหนียงเหนียงด้วยสภาพแบบนี้ เกรงว่าคงจะเสียมารยาท” เฟิ่งชิงเฉินนำมือขึ้นมาเช็ดบนใบหน้า ในมือนั้นเต็มไปด้วยเลือด ส่วนที่เสื้อผ้าของนาง?

ไม่ต้องพูดจะดีกว่า พูดออกมามีแต่จะยิ่งน่าอาย ยุ่งมาตลอดทั้งวัน บนเสื้อผ้านั้นเต็มไปด้วยฝุ่น องค์จักรพรรดิก็ไม่อนุญาตให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนมาเข้าพบ อยู่ในตำหนักไท่เหอก็มีเหงื่อออก เฟิ่งชิงเฉินคนนี้ก็มีแต่กลิ่นเหม็นเหงื่อ

ไม่แปลกที่องค์จักรพรรดิไม่อนุญาตให้นางอยู่ที่ตำหนักไท่เหอต่อ สภาพของนางในตอนนี้ไม่มีทางที่จะไปพบใครได้จริงๆ

นางกำนัลทั้งสองหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดที่หน้าอย่างรังเกียจ “โชคดีที่กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงมีความกรุณา ไม่เช่นนั้นเจ้าในสภาพแบบนี้คงจะถูกลงโทษในความผิดฐานที่ไม่ให้เกียรติ ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปล้างตัว”

เฟิ่งชิงเฉินกล่าวขอบคุณซ้ำๆ เห้อ……หมอผ่าตัดไม่ว่าไปที่ไหนก็ไม่ได้รับการต้อนรับจากคนอื่น บวกกับนางที่ช่างน่าเวทนา จะมีสักกี่คนกัน คนที่ได้ข้ามเวลามาแล้วไม่ได้ทำงานที่เจริญรุ่งเรือง และไม่ได้เป็นที่รักของผู้คน คนที่น่าเวทนาเหมือนนางคาดว่าคงจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ความโศกเศร้าได้เข้าครอบงำนางไปแล้ว

เฟิ่งชิงเฉินเดินตามหลังของนางกำนัลทั้งสอง ไปยังห้องเล็กๆแห่งหนึ่ง หลังจากที่ได้ล้างเนื้อล้างตัวก็เปลี่ยนเป็นชุดที่สะอาด

เซี่ยกุ้ยเฟยถามหานางมีเรื่องอะไร นางรู้อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้หวังจิ่นหลิงก็เคยได้พูดขึ้นมาว่า เซี่ยกุ้ยเฟยเข้ามาอยู่ในวังมานานหลายปีแต่ก็ยังไม่เคยตั้งครรภ์มาโดยตลอด ตระกูลเซี่ยอนุญาตให้ฮูหยินรอง หาทางรักษาให้นาง โดยต้องการตรวจสอบความแข็งแรงของนางก่อน หลังจากนั้นจึงจะให้เซี่ยกุ้ยเฟยทำการรักษา

ภาวะมีบุตรยากและโรคทางนรีเวชอื่นๆ โดยพื้นฐานแล้วไม่สามารถมองออกด้วยสายตา เฟิ่งชิงเฉินนำกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะมาด้วย

เซี่ยกุ้ยเฟยไม่เหมือนกับฮูหยินรองเซี่ย นางไม่ต้องการเข้าร่วมเรื่องการต่อสู้ท้ายวัง อาการป่วยของเซี่ยกุ้ยเฟยนี้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่สามารถรักษาได้ แต่ว่า……นางดีใจมากที่ได้ช่วยคนอื่นเพื่อการขัดขวางฮองเฮา การที่เซี่ยกุ้ยเฟยมีลูก คนที่จะกังวลที่สุดก็คือฮองเฮา

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฟิ่งชิงเฉินได้เข้ามาในวัง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางมีเวลาว่างจนได้สังเกตทิวทัศน์ในวังหลวงอย่างละเอียด

นางนึกว่าที่ของตระกูลหวังและตระกูลเซี่ยนั้นหรูหราและงดงามมากพอแล้ว แต่เมื่อได้เข้ามาในวิหารจาวเยี่ยนของเซี่ยกุ้ยเฟยแล้ว นางถึงได้รู้ว่าอะไรคือสวรรค์ อะไรคือพื้นดิน

นางคิดว่าการที่นางนำกระจกเคลือบเงามาทำเป็นหน้าต่างนั้นฟุ่มเฟือยแล้ว แต่ที่ของเซี่ยกุ้ยเฟยนี้เอาผ้าไหมเงือกมาติดไว้ที่ตรงหน้าต่างโดยตรง ทั้งรับแสงและรับลม ดีกว่ากระจกเคลือบเงาเป็นหมื่นเท่า

นางคิดว่าการที่นางใช้ไม้กฤษณามาทำเป็นพื้นมันนั้นสิ้นเปลืองแล้ว แต่ที่ของเซี่ยกุ้ยเฟยนี้ปูหยกไปที่พื้นโดยตรงและเพื่อป้องกันการลื่นก็ได้มีการแกะสลักบนแผ่นหยกเป็นรูปดอกไม้

นางคิดว่าการที่นางใช้โคมไฟไข่มุกในการส่องสว่างนั้นก็น่าทึ่งแล้ว แต่ในวิหารของเซี่ยกุ้ยเฟย โคมไฟในวิหารทุกดวงล้วนเป็นโคมไฟไข่มุกทั้งหมด

……

ทุกสิ่งทุกอย่างในวิหารจาวเยี่ยนล้วนงดงามและหรูหรา เมื่อได้เดินเข้ามาที่นี่ ทุกคนต่างก็ต้องรู้สึกลังเลที่จะเดินกลับออกไป แม้แต่สิ่งของชิ้นเล็กๆที่จัดแสดงบนชั้นวางแต่ละชิ้นก็ล้วนเป็นของที่งดงามอย่างยิ่ง

เฟิ่งชิงเฉินพูดไม่ออก มองไปที่นางกำนัลที่นำทางอยู่ด้านหน้าด้วยสายตาที่ดำเงา ในดวงตาของนางมีประกายของรอยยิ้มที่ไร้ความรู้สึก

อารมณ์ของเฟิ่งชิงเฉินเปลี่ยนไปทันที เหมือนคนที่เกิดและเติบโตอยู่เฉพาะในพื้นที่ของตนเอง ไม่เคยได้ออกมาเห็นโลกกว้าง เมื่อได้เห็นสิ่งของทั้งหมดภายในวิหารจาวเยี่ยน นางก็แทบจะก้าวเท้าไม่ออก

หลังจากที่ได้นำทางมาแล้ว นางกำนัลก็ยิ่งดูถูกเหยียดหยามเฟิ่งชิงเฉินมากขึ้นไปอีก “โชคดีนะที่เป็นคุณหนูจวนขุนนาง ช่างเป็นคนที่ไม่มีประสบการณ์ชีวิต ไม่มีการศึกษาเอาเสียเลย”

นางกำนัลทั้งสองไม่ได้เห็นเฟิ่งชิงเฉินอยู่ในสายตา ทั้งเหน็บแนมและเยาะเย้ยเฟิ่งชิงเฉินมาตลอดทั้งทาง แน่นอนว่าในตอนนี้ก็ไม่ได้ลดเสียงลงแต่อย่างใด พวกนางกำลังพูดให้เฟิ่งชิงเฉินได้ยินด้วยนั่นเอง

พวกนางคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินจะยังคงแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเหมือนเช่นเดิม คาดไม่ถึงว่าจู่ๆเฟิ่งชิงเฉินก็หยุดเดิน

นางรอเวลานี้มานานแล้ว!

ก่อนหน้านี้ไม่ว่านางกำนัลทั้งสองจะเยาะเย้ยนางอย่างไร นางก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ เป็นเพราะนางรู้ดีว่า ถ้าหากนางทะเลาะหรือตบตีกับอีกฝ่ายขึ้นมา คนที่จะโชคร้ายก็คือตัวนางเสียเอง

แต่ในตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว นางได้มาถึงวิหารจาวเยี่ยน ที่วิหารแห่งนี้มีคนของเซี่ยกุ้ยเฟยและอยู่ในสายตาของคนอื่นๆด้วย

นางกำนัลทั้งสองคนต้องได้รับการอนุญาตมาจากเซี่ยกุ้ยเฟยในการที่จะทำเช่นนี้ เซี่ยกุ้ยเฟยเชิญให้นางมาทำการรักษาให้ แต่ก็ปล่อยให้นางกำนัลทั้งสองมาดูถูกนาง ดังนั้นอย่าโทษว่านางไม่เกรงใจแล้วกัน

“พี่สาวทั้งสอง……” เฟิ่งชิงเฉินพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและลากหางเสียงยาว บนใบหน้าของนางมีรอยยิ้มแต่ในสายตานั้นไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความอบอุ่น

นางกำนัลทั้งสองตกใจจนต้องก้าวถอยไปข้างหลัง “เจ้า เจ้าจะทำอะไร?”

ในวังหลวง ผู้หญิงที่สะเพร่าและชอบทำตามอำเภอใจนั้นไม่น่ากลัว ผู้หญิงที่อารมณ์ร้อนก็ยังไม่น่ากลัว ผู้หญิงที่น่ากลัวที่สุดในวังหลวงแห่งนี้ก็คือคนที่อดทนและอดกลั้นไม่ค่อยเก่ง แต่มีรอยยิ้มบนใบหน้า และดูเป็นผู้หญิงที่เข้ากับคนง่ายและดูอารมณ์ไม่ฉุนเฉียวอย่างเฟิ่งชิงเฉิน

“พี่สาวทั้งสองพูดเล่นแล้ว ข้าจะสามารถทำอะไรได้ แต่อยากจะถามพี่สาวทั้งสองคนว่า โทษของการพูดไร้สาระในวังหลวงคืออะไร? และโทษของการทะเลาะเบาะแว้งกับลูกสาวของข้าราชการในวังหลวงคืออะไร?” สองประโยคสุดท้ายนั้นเสียงดังมากจนทำให้นางกำนัลทั้งสองตกใจ จนต้องก้าวออกมาข้างหน้า คิดอยากจะปิดปากเฟิ่งชิงเฉิน “เจ้าใช้เสียงให้เบาหน่อย ที่นี่คือด้านนอกห้องนอนของเหนียงเหนียง เจ้าอยากทำให้เหนียงเหนียงตกใจหรืออย่างไร แล้วอย่าหาว่าข้าไม่สั่งสอนเจ้าแล้วกัน”

คำพูดเหล่านี้ดูเหมือนเป็นคำขู่แก่เฟิ่งชิงเฉิน แต่ในความเป็นจริงแล้วคือพวกนางกำลังกลัว
ถึงแม้ว่าเหนียงเหนียงจะต้องการสั่งสอนเฟิ่งชิงเฉิน ให้นางรู้ว่าใครเป็นบ่าวใครเป็นนาย แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่เด็กสาวที่จะถูกผู้คนบังคับได้ง่ายอีกต่อไปแล้ว

ในตอนนี้นางคือคุณหนูคนโตของจวนขุนนางผู้ภักดี เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยองค์ชายคนโตของตระกูลหวังเอาไว้ ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ แล้วกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงต้องการจะปกป้องพวกนาง คนอื่นๆ ก็คงจะไม่เห็นด้วย

“ใครเอะอะโวยวายอะไรอยู่ข้างนอก ไม่รู้หรือว่าเหนียงเหนียงกำลังพักผ่อนอยู่ ไม่รู้จักทำตามกฎ พวกเจ้าเพิ่งเข้าวังหลวงเป็นวันแรกหรือ?” นางกำนัลอาวุโสของวิหารจาวเยี่ยนเดินออกมา สายตาที่ดุดันมองมาที่เฟิ่งชิงเฉิน

มีทั้งคำดูถูก ดูหมิ่น และคำเตือน ในสายตาของนาง

เฟิ่งชิงเฉินยืนด้วยท่าทางที่สง่า ปล่อยให้อีกฝ่ายมองมาที่นาง โดยปราศจากความเขินอาย และนางไม่ได้มองความเจริญและร่ำรวยของที่แห่งนี้เหมือนเช่นเดิมอีกแล้ว

วิหารจาวเยี่ยนนั้นหรูหราและร่ำรวยอย่างแท้จริง แต่สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องอะไรกับนางล่ะ

เซี่ยกุ้ยเฟยอาจจะคิดว่านางได้อยู่ที่วิหารจาวเยี่ยนแห่งนี้ แล้ววิหารแห่งนี้เป็นของนางหรือ?

ต้องรู้ก่อนว่า ในวังหลวงแห่งนี้มีผู้หญิงอยู่มากมายดังสายน้ำ เซี่ยกุ้ยเฟยอาจจะภาคภูมิใจที่ได้อยู่ที่นี่ แต่กับเฟิ่งชิงเฉิน นางไม่ได้คิดว่านี่จะเป็นเรื่องที่น่าคุยโม้โอ้อวด

แม้ว่าที่วิหารจาวเยี่ยนจะหรูหราแต่ก็มีนายหญิงอยู่มากมาย แต่ที่จวนเฟิ่งของนางแม้ว่าจะเรียบง่าย แต่ก็มีนางเป็นนายหญิงเพียงคนเดียว

“ท่านป้าเหวินจู เป็นคุณหนูเฟิ่ง คุณหนูเฟิ่งไม่เข้าใจกฎในวังหลวง เมื่อเข้ามาในวิหารจาวเยี่ยนแล้วยังเสียงดังโวยวาย ข้าน้อยเตือนแล้วแต่คุณหนูเฟิ่งก็ยังไม่หยุด” อะไรคือการพูดโกหกโดยไร้ยางอาย ก็คงจะเป็นนางกำนัลคนนี้ เมื่อพูดเสร็จนางกำนัลอีกคนก็พูดคล้อยตามขึ้นมา ทั้งเจ้าตัวและพยานต่างก็ได้เตรียมพร้อมมาอย่างดีแล้ว

เมื่อเหวินจูได้ฟัง ก็ยิ้มและกล่าวขึ้นมาในทำนองเดียวกันว่า “คุณหนูเฟิ่ง ที่นี่คือวังหลวง ไม่ใช่สถานที่เช่นตลาด คงต้องขอให้คุณหนูเฟิ่งช่วยเก็บนิสัยที่ใช้เมื่ออยู่ข้างนอกไปด้วย เมื่อเข้ามาในวังหลวงแล้วก็ต้องทำตามกฎของวังหลวง”

นางกล่าวโทษเฟิ่งชิงเฉิน โดยที่ไม่ให้โอกาสเฟิ่งชิงเฉินได้แก้ต่างเลยสักนิด

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *