นางสนมแพทย์อัจฉริยะบทที่ 662 เกลียด พวกคนในราชวงศ์ตงหลิงช่างไร้ใจยิ่งนัก

Now you are reading นางสนมแพทย์อัจฉริยะ Chapter บทที่ 662 เกลียด พวกคนในราชวงศ์ตงหลิงช่างไร้ใจยิ่งนัก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทุกคนในใต้หล้าล้วนแต่รู้เรื่องนี้ดีว่าเฟิ่งจ้านได้ตกตายอยู่ในสนามรบ นั่นเพราะเขาสละชีวิตของตนเพื่อประเทศชาติ ถึงแม้ว่าในการรบครั้งนั้นตงหลิงจะต้องพ่ายแพ้ แต่ทว่าในหน้าที่ของแม่ทัพเช่นเขา การได้ตกตายอยู่ในสนามรบ นับเป็นเกียรติอย่างหาที่สุดมิได้แล้ว แต่ผู้ใดจะไปรู้กันว่า เฟิ่งจ้านจะตายอย่างไรความอยุติธรรมเช่นนี้

ในปีนั้น ตงหลิงกำบลังทำศึกกับหนานหลิงได้ไม่นาน เฟิ่งจ้านจึงได้เป็นแม่ทัพจับศึกในครานั้น ทว่า เป็นเพราะข้อมูลที่ได้รับมาผิดพลาด จึงทำให้เฟิ่งจ้านตกอยู่ในวงล้อมของหนานหลิง เฟิ่งจ้านรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ที่ผิดปกติได้ในทันที จึงเริ่มสงสัยแล้วว่า ภายในตงหลิงมีหนอนบ่อนไส้ของหนานหลิงอยู่ เพื่อต้องการให้ตงหลิงแตกพ่ายในครานี้

เนื่องจากมิรู้ว่าผู้ที่ทรยศของฝั่งตงหลิงคือผู้ใด เฟิ่งจ้านจึงมิกล้าสืบค้นด้วยความโจ่งแจ้งนัก จึงได้ส่งคนไปส่งข่าวขอความช่วยเหลือ เนื่องจากกลัวว่าตนเองอาจจะถูกคนในเงามืดลอบสังหารหรืออาจจะดักฟังข้อมูลการรายงานของเขาเอาได้ จึงได้แอบส่งนายทหารคนสนิทของตนกลับไปส่งข่าวแทน เพื่อรายงานสถานการณ์ให้ฝ่าบาทได้รับฟัง พร้อมทั้งให้ฝ่าบาทนำกำลังเสริมมาช่วยตน

สัญชาตญาณของเฟิ่งจ้านนับว่าไม่ผิดนัก ในคราแรกมีผู้คิดคบเข้าร่วมกับหนานหลิงจริง ๆ เนื่องจากต้องการให้แม่ทัพที่อายุน้อยเช่นเขาตายคาสนามรบ ทว่า เฟิ่งจ้านสงสัยทุกคนที่อยู่รอบกายของเขา แต่หาได้สนใจผู้ที่เขาภักดีที่สุดเช่นองค์จักรพรรดิของแว่นแคว้นไม่

เนื่องจากความล่าช้าของจักรพรรดิ เฟิ่งจ้านที่มิทันได้รั้งรอจนทัพเสริมมาถึง เฟิ่งจ้านก็ได้ตายคาสนามรบไปแล้ว

หากว่าฝ่าบาทได้รับข่าวที่ส่งไปในยามปกติแล้ว และได้รีบส่งกำลังเสริมมาในทันทีละก็ นับว่ามีเวลาที่จะทำศึกต่อเหลือเฟือ มิคาดคิดเลยว่า การที่เฟิ่งจ้านจะรีบส่งข่าวด่วนมาให้ถึงหน้าประตูพระราชวังเช่นนั้น กลับส่งไม่ถึงมือฝ่าบาทเสียได้ เฟิ่งจ้านที่รั้งรอทัพเสริมมานั้น ยามที่มาถึงเฟิ่งจ้านก็ได้สิ้นใจคาสนามรบได้เพียงสามวัน ทัพเสริมถึงเพิ่งจะมาถึง

เมื่อทัพเสริมมาถึงนั้น ร่างของเฟิ่งจ้านก็ไม่เหลืออยู่แล้ว

ยามที่เฟิ่งจ้านส่งข่าวด้วยกลับไปนั้น ทางซานตงตระกูลหลูได้ส่งนางสนมที่มีนามว่าหูจีเข้ามา เมื่อฝ่าบาทได้พบเพียงครั้งแรกนั้น ก็รู้สึกพอพระทัยยิ่งนัก พร้อมทั้งเรียกนางเข้ามาปรนนิบัติ เป็นสามวันสามคืน โดยที่มิยอมทรงงาน ไม่สนใจบ้านเมือง หลงใหลแต่เพียงนางสนมหูจีเท่านั้น

หลังจากผ่านไปได้สามวัน ฝ่าบาทจึงได้ออกมาจากวังหลัง เมื่อพระองค์เห็นข่าวด่วนของเฟิ่งจ้านนั้น ก็หาได้สนใจอันใดไม่ เฟิ่งจ้านนับได้ว่าเป็นแม่ทัพไร้พ่าย มากมายกลยุทธ์ในการรบ ไม่ว่าจะมีโอกาสได้รับชัยชนะน้อยเพียงใด เฟิ่งจ้านก็สามารถคว้าชัยนั้นกลับมาได้เสมอ นับว่าทั่วแคว้นแดนทั้งเก้าจะหาแม่ทัพที่ดีเช่นเฟิ่งจ้านนั้น มีโอกาสน้อยมากเลยทีเดียว

ในคราก่อนนั้น เฟิ่งจ้านเคยทำการขอกำลังเสริมไปหลายครั้งแล้ว ทว่า กองกำลังเสริมมักจะมาช้ายิ่งนัก อีกทั้งเขายังมิได้รับแรงสนับสนุนใด ๆ อีกด้วย แต่เฟิ่งจ้านก็อดทนมาโดยตลอด แต่ในครั้งนี้ กองกำลังเสริมมาช้าไปถึงสามวัน ฝ่าบาทหาได้รู้สึกว่ามันอันตรายไม่ อีกทั้งยังมิรู้สึกผิดสำหรับการกระทำของตนเองเลยแม้แต่น้อย เพียงกล่าวออกมาประโยคหนึ่งว่า “ปิดเรื่องนี้ให้มิด พร้อมกับป่าวประกาศออกไปว่า จดหมายของเฟิ่งจ้านเพิ่งมาถึงเมื่อครู่”

ภายใต้เจตนารมณ์ของฝ่าบาทที่คิดจะปกปิดข้อผิดพลาดของตนเองนั้น จึงทำให้เรื่องนี้ร้อยคนนักที่จะรู้ ฝ่าบาทใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ ในการจัดการพระราชกรณียกิจของบ้านเมือง พร้อมกับรวมตัวหารือกับเหล่าขุนนางในหัวข้อเรื่องข้อความของเฟิ่งจ้านที่ “เพิ่งจะ” ส่งมาถึงเมื่อครู่นี้ พร้อมทั้งสั่งจัดทัพเสริมหนึ่งแสนนายให้ลงไปช่วยในทันที

หลังจากที่จัดการพระราชกรณียกิจเสร็จแล้วนั้น ฝ่าบาทก็พลันกลับไปที่วังหลังเพื่อไปหานางสนมเช่นเดิม หลงใหลนารีละเลยบ้านเมือง มีเหล่าขุนนางไม่น้อยเลย ที่ส่งฎีกาเพื่อเตือนฝ่าบาทให้คิดถึงเรื่องบ้านเมืองเป็นใหญ่ หากแต่ฝ่าบาทหาได้คิดสนใจไม่ แม้แต่ซู่ชินอ๋องที่ออกมาเกลี้ยกล่อม ฝ่าบาทก็หาได้สนใจไม่

ทว่า เป็นเพราะเรื่องราวของเฟิ่งจ้าน ทำให้ฝ่าบาทมิกล้าออกจากวังหลังเป็นเวลาหลายวัน อีกทั้งฝ่าบาทจะใช้เวลาเพียงเล็กน้อย เพื่อมาสะสางฎีกาและพระราชกรณียกิจต่าง ๆ แทน

เรื่องราวของเฟิ่งจ้านนั้น ฝ่าบาทหาได้คิดสนใจไม่ เนื่องจากว่าเรื่องราวนี้ เป็นเฟิ่งจ้านที่แอบดำเนินการ จึงทำให้ผู้ที่รู้เรื่องนี้มีอยู่ไม่มากนัก อีกทั้งพระองค์เองก็ได้จัดการสะสางเรื่องราวไปเรียบร้อยแล้ว จึงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าจดหมายที่เฟิ่งจ้านส่งมาถึงมีข้อมูลเช่นไรอยู่บ้าง ทั้งยังไม่มีผู้ใดกล้าต่อว่าฝ่าบาท หลงใหลนารีจนทำเรื่องผิดพลาดต่อกองทัพอีกด้วย

ทว่า ไม่ว่าจะปกปิดเช่นไรก็ไม่มีผล เนื่องจากว่าทัพเสริมที่ล่าช้านั้น ยามที่ไปถึง กองทัพของเฟิ่งจ้านก็ถูกตีจนแตกพ่ายไปเสียแล้ว บนสนามรบล้วนแต่ไม่มีผู้ใดเหลือรอดชีวิต ร่างของทุกคนล้วนแต่ถูกม้าศึกเหยียบย่ำจนเละไม่มีชิ้นดี

ฝ่าบาทโมโหยิ่งนัก ทั้งยังเอาแต่ถือโทษโกรธเคืองเฟิ่งจ้าน ทั้งยังสั่งลดตำแหน่งแม่ทัพของทัพเสริมลง เพื่อทำโทษที่เขาเดิมทัพด้วยความล่าช้า ทุกคนล้วนแต่มีความผิดทั้งหมด เหลือเพียงองค์จักรพรรดิเท่านั้น ที่ไร้ซึ่งความผิด การที่เฟิ่งจ้านนำทัพพ่ายแพ้จนถึงแก่ชีวิตตนเองนั้น เขาย่อมไม่เหลือแม้แต่เกียรติยศอันใดกลับมา

แม่ทัพมากมายที่เสียชีวิตลงไป พร้อมทั้งเฟิ่งจ้านที่เสียชีวิตบนสนามรบนั้น ไม่มีผู้ใดค้นพบความผิดปกติเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะมีคนไม่น้อยที่รู้สึกถึงความผิดปกติในเรื่องนี้ นั่นก็เป็นเพราะการตายของเฟิ่งจ้าน และยังมีเรื่องโกรธเกรี้ยวขององค์จักรพรรดิที่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปยุ่งอีก ขุนนางคนใดมิใช่พวกประจบสอพลอบ้าง ถึงแม้ว่าจะรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปสะสาง พร้อมทั้งปล่อยให้มันครุมเครืออยู่เช่นนั้นต่อไป

นับว่าครุมเครือยิ่งนัก!

ถึงแม้จะเอ่ยว่า การตายของเฟิ่งจ้านไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงความผิดขององค์จักรพรรดิ ทว่า ภายในใจของฝ่าบาทก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย เป็นเวลานานเลยทีเดียว ที่ฝ่าบาทมิกล้าโปรดปรานสนมคนใดเช่นหูจีอีกเลย ทว่า ใต้หล้าล้วนแต่หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง แม้ว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้ หากแต่ซู่ชินอ๋องรู้ดีว่าเฟิ่งจ้านตายเช่นไร ทว่า

เขาไม่สามารถช่วยเหลือคนตาย พร้อมทั้งป่าวประกาศความไร้คุณธรรมของฝ่าบาทออกไปได้ ไม่เพียงแต่เรื่องนี้ไม่อาจป่าวประกาศออกไป อีกทั้งพระองค์ยังช่วยฝ่าบาทเก็บเรื่องนี้เป็นความลับต่อไปอีกด้วย อีกทั้ง

ถึงแม้จะนำเรื่องจริงออกมาตีแผ่แล้วอย่างไร ฝ่าบาทจำเป็นต้องรับผิดชอบการตายของขุนนางเพียงคนเดียวด้วยหรือ?

แน่นอนว่ามิต้อง

ไม่มีผู้ใดกล่าวว่าฝ่าบาทกระทำผิด คนพวกนี้สามารถกล่าวได้ว่าเป็นความผิดของผู้อื่น เช่นหูจีร่ายมนตร์ใส่ฝ่าบาท เหล่าข้าราชบริพารที่อยู่ในวังหลังช่วยกันปกปิดเรื่องนี้ให้ ฝ่าบาทไม่ทราบเรื่องนี้ ฝ่าบาทเพียงแค่ต้องมนตร์เท่านั้น

ฉะนั้นซู่ชินอ๋องถึงได้พูดว่าการตายของเฟิ่งจ้านช่างอยุติธรรมยิ่งนัก แม่ทัพอายุน้อยที่ฝีมือก้าวไกลกลับต้องมาจบชีวิตอย่างน่าอนาถเพียงเพราะนางสนมนางหนึ่ง อีกทั้งยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ข้อเท็จจริงเหล่านี้อีก ดังนั้น ผู้คนจึงเอาแต่ร่ำรือกันไปว่า เฟิ่งจ้านนำทัพล้มเหลว พร้อมทั้งพากองทัพทั้งหมดไปถึงแก่ความตาย

ทว่า เรื่องการตายของเฟิ่งฮูหยินนั้น!

เฟิ่งชิงเฉินอยากจะบอกว่า ฮองเฮาช่างคู่ควรกับองค์จักรพรรดิตงหลิงเสียจริง จิตใจชั่วช้าเลวระยำเหมือนกันยิ่งนัก จะมาเรียกว่าเฟิ่งฮูหยินช่วยเหลือฮองเฮาจนถึงความตายได้อย่างไรกัน เรื่องนี้หาได้เป็นอย่างที่ทุกคนเข้าใจไม่

มารดาของนางหาได้ตายเพราะช่วยเหลือฮองเฮาไม่ แต่เป็นเพราะโดนฮองเฮาทำร้ายจนถึงคราวตายต่างหาก มารดาของนางหาได้เอาตัวไปรับดาบให้นางไม่ เป็นฮองเฮาที่ลากมารดาของนางให้มารับดาบแทน

มารดาของนาง ยามที่รับดาบแทนฮองเฮานั้น หาได้ถึงคราวตายไม่ แต่เป็นเพระาฮองเฮากลัวเรื่องนี้จะถูกเผยแพร่ออกไป พร้อมทั้งจะโดนตราหน้าว่านางไร้คุณธรรม ไม่เหมาะสมที่จะเป็นมารดาของแผ่นดิน จึงได้ผลักมารดาของนางตกหน้าผา เพื่อที่จะได้สร้างเรื่องขึ้นมาว่า เพื่อช่วยฮองเฮา มารดาของนางถึงกับต้องตกหน้าผาตาย อีกทั้งยังเป็นการปิดปากไม่ให้ผู้ใดแพร่งพรายเรื่องนี้อีกด้วย

แม้ว่าแหจะผืนใหญ่เพียงใด ก็มิได้หมายความว่าจะไม่มีจุดรั่ว ฮองเฮาที่คิดว่าตนเองสามารถปิดปากทุกคนหมดแล้วนั้น พระนางมิคิดว่านางกำนัลอายุมากที่อยู่ข้างกาย ที่ตกใจจนตกจนหมดสติ พร้อมทั้งตกหน้าผาเช่นมารดาของนาง

นับว่านางกำนัลผู้นี้โชคดียิ่งนัก ยามที่นางตกลงไป พลันถูกกิ่งไม้ที่ยืนออกมาขวางเอาไว้ นางจึงยังมิถึงคราวตาย แต่ทว่ามารดาของนางหาได้โชคดีเช่นนั้นไม่ ด้วยร่างที่โดนดาบฟันมานั้น ยามที่ตกลงไปในหน้าผาย่อมไม่มีลมหายใจเหลือแล้ว

ยามที่นางกำนัลตามหาร่างของมารดานางพบนั้น ร่างของมารดาของนางก็ได้โดนสัตว์ป่ากัดแทนจนไม่เหลือแล้ว แม้ว่านางกำนัลผู้นั้นจะหวาดกลัวมากก็ตาม แต่ทว่านางก็รู้สึกเห็นใจยิ่งนัก จึงได้ไปตามหาถ้ำ พร้อมทั้งขุดหลุมฝั่งร่างของมารดาของนางไว้ที่นั่นแทน

นางกำนัลผู้นั้น นำของใช้ของมารดาที่มีค่าออกมาจนหมด เหลือไว้แต่เพียงป้ายหยกเพียงอันเดียวที่เป็นสื่อตัวแทนของนางเอาไว้

โครงกระดูกเหล่านั้น มิต้องไปตรวจหาเลย อย่างไรก็ต้องเป็นโครงกระดูกของมารดาของนางอย่างแน่นอน นางไม่เหลือความหวังอีกแล้ว นางเคยคิดว่า หากนางมิพบร่างของบิดามารดาตนเอง พวกเขาก็ยังคงไม่ตาย

“ฮือฮือฮือ ราชวงศ์ตงหลิง พวกเจ้ามันรังแกผู้คนเกินไปแล้ว ทำไม ทำไม ชีวิตของพวกเจ้าก็คือของพวกเจ้า แล้วชีวิตของบิดามารดาข้าเล่า มันมิใช่ชีวิตคนหรือ พวกเจ้าที่ไร้คุณธรรมแล้วอย่างไร เหตุใดต้องเอาชีวิตของบิดามารดาของข้า ไปปกปิดความผิดของพวกเจ้าด้วย ทำไมกัน!”

ยามที่เสด็จอาเก้าเดินเข้ามานั้น ก็พลันเห็นเฟิ่งชิงเฉินนอนราบอยู่บนโต๊ะ พร้อมทั้งร่ำไห้ออกมาแล้ว การมาถึงของเสด็จอาเก้านั้น เฟิ่งชิงเฉินหาได้รับรู้ไม่

เสด็จอาเก้าที่เห็นเช่นนั้น พลันรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก เฟิ่งชิงเฉินที่มักระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ แม้แต่การที่เขาเดินเข้ามาในห้องเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็หาได้รู้สึกตัวไม่ ดูเหมือนว่า เฟิ่งชิงเฉินจะเสียใจมากยิ่งนัก

เขาต้องโทษตัวเองที่มาช้าเกินไป!

ยามที่ได้ยินคนของฝ่าบาทมาส่งข่าวภายในคุกนั้น เขาอดมิได้ที่จะต้องแสดงพลังของตนเองต่อเหล่าผู้คุมในศาลราชวงศ์เลยทีเดียว พร้อมทั้งจัดการกับคนที่มาส่งข่าวของจักรพรรดิแล้วก็พุ่งตรงมาที่นี่เลย

เขาเข้าใจได้เป็นอย่างดี ว่าท่านแม่ทัพเฟิ่งกับฮูหยินเฟิ่งนั้นมีน้ำหนักภายในใจของเฟิ่งชิงเฉินมากเพียงใด สำหรับเฟิ่งชิงเฉินแล้วนั้น การตายของพวกเขาทั้งสอง เป็นสิ่งที่นางรู้สึกสะเทือนจิตใจมากที่สุด การที่เย่เย่นำร่างของพวกเขามาเปิดเผยต่อหน้าเช่นนี้ นับว่าเป็นการสร้างความอับอายจนเฟิ่งชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะฆ่าเขาเลยทีเดียว

เฟิ่งชิงเฉินที่กำลังสั่นเทาไปด้วยอารมณ์โกรธปนความเศร้าใจนั้น เสด็จอาเก้าจึงได้วางมือไปบนร่างกายของนาง พร้อมทั้งเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างกายในทันที เพื่อที่จะดึงนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด”ชิงเฉิน อย่าร้องเลย!”

เจ้ายังมีข้า ยังมีข้าอยู่ตรงนี้!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *