นางสนมแพทย์อัจฉริยะบทที่ 515 ปลูกถ่าย การตามหาความเป็นอมตะ

Now you are reading นางสนมแพทย์อัจฉริยะ Chapter บทที่ 515 ปลูกถ่าย การตามหาความเป็นอมตะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 515 ปลูกถ่าย การตามหาความเป็นอมตะ
“จะไม่แตกต่างกันได้อย่างไร นี่คือความก้าวหน้าทางการแพทย์ จากนี้จะเห็นได้ว่าสามารถขยายไปได้อีกมากมาย อย่างเช่นเปลี่ยนหัวใจ เปลี่ยนตับ เปลี่ยนปอด เพียงแค่มันประสบความสำเร็จ รอจนแก่แล้วเปลี่ยนหัวใจและปอดของคนหนุ่มสาวจะสามารถยืดอายุให้ยืนยาวได้ แม้จะไม่ได้เป็นอมตะแต่ก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายสิบหรือแม้กระทั่งหลายร้อยปี”

ดวงตาของหมอเทวดาเปล่งประกายแรงกล้า เขาไม่ได้สังเกตเลยว่าเฟิ่งชิงเฉินมีสีหน้าเปลี่ยนไปแล้วและยังพูดต่อไปอย่างจริงจัง “เฟิ่งชิงเฉิน เมื่อเห็นเจ้ารักษาตาของหวังจิ่นหลิงและขาของซีหลิงเทียนอวี่ ข้าก็รู้ว่าเจ้าศึกษาเรื่องนี้มาบ้าง กลับไปยังหุบเขาเสินอีกับข้า ที่นั่นมีผู้ป่วยจำนวนมากและยังมีคนให้เจ้าศึกษาอีกมาก เพียงแค่มันประสบความสำเร็จ พวกเราจะมีชื่อเสียงไปชั่วนิรันดร์”

“ไม่ได้ แบบนี้ไม่ได้…” ยิ่งเฟิ่งชิงเฉินฟังมากเท่าไหร่ ใบหน้าของนางก็ยิ่งน่าเกลียดมากขึ้นเท่านั้น ดวงตาของนางเบิกกว้าง สายตาที่มองหมอเทวดาก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความหวาดกลัว

“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าเป็นอะไรไป?” หมอเทวดาไม่เข้าใจ เขาจับมือของเฟิ่งชิงเฉินแต่กลับพบว่ามือของนางเย็นเยียบโดยไม่มีความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย

“อ๊า…” เฟิ่งชิงเฉินกรีดร้องและผลักหมอเทวดาแห่งหุบเขาเสินอีออก นางก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ เมื่อมองดูท่าทางของนางแล้วก็ราวกับว่านางจะได้รับความตกใจอย่างมาก

หมอเทวดางุนงง เขาไม่ได้พูดอะไรผิด แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับมีสีหน้าระแวดระวังและไม่กล้าก้าวมาข้างหน้า

เมื่อเสด็จอาเก้าเข้ามาก็เห็นเฟิ่งชิงเฉินซุกตัวอยู่ที่มุมห้องด้วยสีหน้าหวาดผวา ท่าทางเช่นนั้นราวกับว่านางได้รับความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก…

สีหน้าของเสด็จอาเก้าเปลี่ยนไปทันที เขารีบถลาเข้ามาอย่างรวดเร็วและโบกมือให้หมอเทวดาและกอดเฟิ่งชิงเฉินไว้ในอ้อมแขน ในช่วงหนึ่งเดือนที่เขาอาศัยอยู่ที่เรือนหลังเล็กในเขตตะวันตก ความสนใจสูงสุดของเสด็จอาเก้าก็คือการคว้าตัวเฟิ่งชิงเฉินเข้าสู่อ้อมแขน แต่น่าเสียดาย…

ผู้คนรอบตัวเฟิ่งชิงเฉินปกป้องเขาราวกับปกป้องจากหมาป่า บวกกับที่เขาหายดีแล้ว เขาก็ยุ่งกับงานราชการ หนึ่งเดือนที่อาศัยอยู่ในเรือเล็กซีชวีนั้นไม่มีโอกาสมากนักที่จะคว้าตัวเฟิ่งชิงเฉินเข้าสู่อ้อมกอด

แน่นอนว่าเขาฉวยโอกาสเป็นครั้งคราว เฟิ่งชิงเฉินราวกับก้อนน้ำแข็ง นางปล่อยให้เขากอดไว้โดยไม่พูดอะไรสักคำ เขาไม่เก่งในการเอาใจสตรีจึงไม่รู้ว่าเขาทำให้นางไม่พอใจตรงไหน ในหนึ่งเดือนมานี้ไม่มีความคืบหน้าใดๆ เลย

วันนี้ในที่สุดก็สามารถไล่ทุกคนออกไปได้และหาเวลาว่างมาหาเฟิ่งชิงเฉิน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเห็นฉากนี้

เฟิ่งชิงเฉินไม่เชิดหน้าขึ้นตามปกติ ยามที่เสด็จอาเก้ากอดนาง นางก็ซุกศีรษะของนางเข้าสู่อ้อมแขนของเสด็จอาเก้าและร้องไห้เบาๆ

“ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้อะไรเลย”

“อย่ากลัว อย่ากลัวไปเลย มีข้าอยู่ที่นี่” แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะดีใจที่เฟิ่งชิงเฉินมีท่าทีอ่อนลง แต่เขาเป็นห่วงนางมากกว่า ยามปกติเฟิ่งชิงเฉินจะไม่เป็นเช่นนี้ “เฟิ่งชิงเฉิน บอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น”

“ฮือๆๆ…” เฟิ่งชิงเฉินคว้าเสื้อผ้าของตงหลิงจิ่วแล้วร้องไห้โดยไม่พูดอะไร

เสด็จอาเก้าไม่กล้าถามคาดคั้นนางจึงได้แต่ถามหมอเทวดา แต่หมอเทวดาไว้หน้าเพียงเฟิ่งชิงเฉินและไม่ได้ไว้หน้าเสด็จอาเก้า อีกอย่างเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆ เฟิ่งชิงเฉินถึงได้ร้องไห้ออกมา เขาเพียงสะบัดแขนเสื้อพลางแค่นเสียงและเดินจากไป

เฟิ่งชิงเฉินร้องไห้จนหอบหายใจไม่ออก เสด็จอาเก้าได้แต่ปลอบใจนาง เขาอุ้มเฟิ่งชิงเฉินเข้าห้องและส่งสัญญาณให้สายลับให้พวกเขาคอยเฝ้าให้ดี อย่าให้ใครเข้ามาเด็ดขาด

ผ่านไปครึ่งเดือน ในที่สุดเขาก็มีโอกาสได้อยู่กับเฟิ่งชิงเฉินตามลำพัง ช่างไม่ง่ายเอาเสียเลย?

เสด็จอาเก้าวางเฟิ่งชิงเฉินลงบนเตียง บิดผ้าเช็ดหน้าและเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินอย่างงุ่มง่าม ภายในหนึ่งเดือน แผลเป็นที่คอของเฟิ่งชิงเฉินจางหายไปมาก จะต้องบอกว่ายาของหมอเทวดาแห่งหุบเขาเสินอีนั้นยอดเยี่ยมยิ่งนัก

เสด็จอาเก้าใช้นิ้วลูบแผล เมื่อเขาเห็นรอยแผลเป็นที่คอของเฟิ่งชิงเฉินก็ให้รู้สึกผิด เขาสาบานว่าไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใด เขาจะทำให้ผิวที่คอของเฟิ่งชิงเฉินกลับมาสมบูรณ์ดังเดิม

หลังจากร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง เฟิ่งชิงเฉินก็สงบลง นางพูดอย่างเขินอายเล็กน้อย “ขอโทษที ข้าเสียมารยาทไปหน่อย” น้อยนักที่นางจะร้องไห้ตามใจอยาก แต่คำพูดของหมอเทวดากระตุ้นความหวาดกลัวที่ซ่อนอยู่ลึกในใจนาง

“ต่อหน้าข้าไม่จำเป็นต้องกล่าวขอโทษ ตอนนี้บอกได้ไหมว่าทำไมเมื่อครู่นี้เจ้าถึงร้องไห้” เสด็จอาเก้านั่งที่ขอบเตียง มือใหญ่ของเขากอบกุมอยู่บนแก้มของเฟิ่งชิงเฉิน เอ่อ… รู้สึกเหมือนพ่อมาก อย่างน้อยเฟิ่งชิงเฉินก็คิดอย่างนั้น

อ่ะแฮ่ม เฟิ่งชิงเฉินปิดความเขินอายของนาง เมื่อได้ยินเสด็จอาเก้าพูดถึงเรื่องเมื่อครู่ นางก็รู้สึกหดหู่ เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าถ้าเสด็จอาเก้าต้องการสืบ เขาย่อมได้รู้เรื่องบทสนทนาระหว่างนางกับหมอเทวดา ดังนั้นนางจึงไม่ได้ปิดบังและเล่าให้เขาฟัง

“เจ้ากลัวว่าเจ้าจะกลายเป็นเครื่องมืออายุวัฒนะสำหรับราชวงศ์หรือ?” เสด็จอาเก้าจับประเด็นได้อย่างรวดเร็ว

ความคิดของหมอเทวดานั้นกล้าหาญมาก แต่หากทำได้สำเร็จ มันจะทำให้จักรพรรดิและผู้มีอำนาจบ้าคลั่งกันอย่างแน่นอน ยิ่งตำแหน่งสูงและมีอำนาจมากก็ยิ่งกลัวตายและอยากจะอายุยืนเป็นหมื่นๆ ปี

เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า น้ำตาของนางไหลออกมาด้วยความเศร้าที่อธิบายไม่ได้

นางเคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน มือของนางเปื้อนเลือดของผู้บริสุทธิ์

“วางใจเถอะ มีข้าอยู่ที่นี่จะไม่มีใครกล้าใช้เจ้าเป็นเครื่องมือ” เสด็จอาเก้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฟิ่งชิงเฉิน แต่ดูจากท่าทางของนางแล้ว นางน่าจะผ่านประสบการณ์บางอย่างมา มิฉะนั้นสายตาของเฟิ่งชิงเฉินคงจะไม่ซับซ้อนและเศร้าสร้อยขนาดนั้น

“แล้วท่านเล่า? ท่านไม่ต้องการที่จะมีชีวิตยืนยาวเป็นร้อยปีหรือ?” ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินล่องลอย รอยยิ้มที่มุมปากของนางนั้นว่างเปล่า

ในสมัยโบราณจะทำได้ถึงขั้นนั้นไม่ง่ายเลย แต่ในยุคปัจจุบันนั้นกลับไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ครั้งหนึ่งนางเคยถูกหลอกให้เข้าสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งโดยหน่วยงานแพทย์ที่นางชื่นชม สถาบันนั้นเชี่ยวชาญในการวิจัยด้านการปลูกถ่ายอวัยวะและการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ

พวกเขาใส่อวัยวะของมนุษย์เป็นชุดๆ ลงในน้ำยาเลี้ยงและใช้ยาหลายชนิดเพื่อเพาะและดัดแปลงอวัยวะเหล่านี้เพื่อให้เข้ากับร่างกายของบุคคลที่กำลังจะเปลี่ยนถ่ายอวัยวะโดยไม่ให้เกิดการปฏิเสธอวัยวะเหล่านั้น

ตอนแรกนางคิดว่านี่เป็นการศึกษาเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ ด้วยการวิจัยนี้การปฏิเสธอวัยวะจะลดลงและอัตราความสำเร็จในการปลูกถ่ายจะมากขึ้น แต่ทว่า…

ยามที่นางบุกเข้าไปในห้องใต้ดินของสถาบันวิจัยโดยไม่ได้ตั้งใจ นางก็ตระหนักได้ว่าอวัยวะที่บรรจุอยู่ในโหลดองเหล่านั้นถูกพรากมาจากร่างของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ คนที่ยังมีชีวิตเหล่านั้นถูกคว้านอวัยวะออกมาทั้งหมด ในวินาทีถัดมาก็ถูกโยนเข้าไปในเตาเผา

คนเหล่านั้นนอนอยู่แทบเท้านาง ร้องคร่ำครวญและอ้อนวอนนางให้ปล่อยพวกเขาไป พวกเขายังไม่อยากตายและไม่ต้องการให้ผ่าเอาอวัยวะออกทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่

แล้วนางเล่า? นางตกใจจนหันหลังวิ่งหนีไปโดยไม่ได้ทำอะไรเลย…

และสถาบันวิจัยนี้ก็ไม่ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อคนธรรมดา สถาบันวิจัยมีไว้สำหรับคนต่างชาติที่มีอำนาจและยิ่งใหญ่เท่านั้น ถอดอวัยวะเก่าของพวกเขาออกแทนที่ด้วยอวัยวะที่อายุน้อยกว่าและแข็งแรงกว่าเพื่อยืดอายุขัยของพวกเขาให้ยืนยาว

ความเป็นอมตะเป็นหัวข้ออันเป็นนิจนิรันดร์ ตั้งแต่ยุคสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้จนถึงปัจจุบัน ไม่มีผู้ใดที่มีอำนาจสูงสามารถเพิกเฉยต่อความล่อใจของมันได้

นางคิดว่านางได้ฝังประสบการณ์นี้ไว้ยังส่วนลึก แต่เปล่าเลย…

คำพูดของหมอเทวดาให้นำสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในหัวใจของนางออกมา

นางกลัว กลัวว่านางจะย้อนกลับไปในวันเวลาเหล่านั้นและคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์เพื่อผู้มีอำนาจ…

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *