นางสนมแพทย์อัจฉริยะบทที่ 600 แผนการนี้ แม้รู้ว่าปลอมแต่ก็ยังทรมาน

Now you are reading นางสนมแพทย์อัจฉริยะ Chapter บทที่ 600 แผนการนี้ แม้รู้ว่าปลอมแต่ก็ยังทรมาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 600 แผนการนี้ แม้รู้ว่าปลอมแต่ก็ยังทรมาน
“เจ็บ เสด็จอาเก้า เบาๆ หน่อย!”

คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไรไม่มีบุรุษคนใดที่ไม่เข้าใจ หากประโยคเดียวยังไม่พอ เช่นนั้นเสียงครางต่ำเบาๆ ก็คงจะยิ่งทำให้คาดเดาถึงความเป็นจริงได้

“อย่าขยับ ข้าจะทำเบาๆ”

หญิงสาวที่โลกนี้ที่สามารถทำให้เสด็จอาเก้าเอาใจได้ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่านางมีตำแหน่งไม่ธรรมดาในใจเขา

นอกกระโจม รอยยิ้มของหวังจิ่นหลิงแข็งค้าง ตัวของเขาแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น ผ่านไปอยู่นานจึงจะได้สติ มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มเรียบๆ ราวกับกำลังเย้ยหยันตนเอง

เขาจ้องกระโจมที่อยู่ตรงหน้าแล้วจึงหมุนเก้าอี้รถเข็นจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราวกับเขาไม่เคยมาที่นี่

เสด็จอาเก้าใช้แผนนี้รับมือเขาจะไม่อ่อนหัดไปหน่อยหรือ? เขาคิดว่าหวังจิ่นหลิงโง่เขลาถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?

แต่… แม้จะรู้ว่าไม่จริง แต่เหตุใดในใจของเขาก็ยังเจ็บปวด ผู้ที่ทำให้เฟิ่งชิงเฉินลดละความถือตัวลงมีเพียงเสด็จอาเก้าเท่านั้นหรือ? เป็นเขาไม่ได้หรือ?

หวังจิ่นหลิงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามโพล้เพล้ วางมือขวาลงบนหัวใจและรู้สึกถึงจังหวะหัวใจที่กำลังเต้นอย่างเงียบเชียบและขจัดความขมขื่นในจิตใจออกไป

มีบางเรื่องที่ต้องลงมือ อำนาจของตระกูลอยู่ส่วนอำนาจของตระกูล มีเพียงตัวของหวังจิ่นหลิงเท่านั้นที่เป็นของเขาเอง นับแต่บัดนี้ไปเขาจะไม่เป็นคุณชายใหญ่ตระกูลหวัง แต่เขาจะเป็นหวังจิ่นหลิงที่มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น

ฝู่หลินเดินออกมาจากกระโจม เมื่อเห็นท่าทางเหม่อลอยของหวังจิ่นหลิงก็เดินเข้ามาหาอย่างไม่เข้าใจนัก เขายืนข้างกายหวังจิ่นหลิงและเงยหน้ามองดูท้องฟ้าตามหวังจิ่นหลิง

“บนฟ้ามีอะไรหรือ?” ไม่ใช่กลางคืนสักหน่อยที่จะมีดาวให้ดู

“ไม่มีอะไรเลย” ยามที่ฝู่หลินเดินเข้ามาใกล้ หวังจิ่นหลิงก็รู้ตัวแล้วเพียงแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้เท่านั้น

บนร่างของฝู่หลินมีพลังประหลาดแผ่กระจายออกมา ทำให้เขาไม่เป็นที่สังเกตของผู้คนแต่ก็ไม่กลมกลืนไปกับผู้อื่น

“ไม่มีอะไรเเล้วเจ้ามองดูอะไร?” แม้ฝู่หลินจะพูดกับหวังจิ่นหลิง แต่ดวงตาทั้งสองของเขากับจ้องมองไปที่กระโจมของเฟิ่งชิงเฉิน

พูดตามจริงแล้วเขารู้สึกสนใจผู้ที่นามสกุลตงหลิงชื่อจิ่วผู้นั้น

“มองความว่างเปล่าของมัน มองความไร้ตัวตนของมัน มองความโอบอ้อมอารีของมัน” หวังจิ่นหลิงไม่ได้มีนิสัยชอบพูดความในใจกับผู้ใด อย่าว่าแต่ฝู่หลินเป็นเพียงคนรู้จักของเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้นเลย แม้แต่จะเป็นตัวเฟิ่งชิงเฉินเอง เขาก็ไม่มีทางพูดเรื่องที่เขาคิดอยู่ในใจออกมาก่อน นอกตากนางจะถามแล้วเขาถึงตอบ

“ไม่เข้าใจ” ความสงบใจของการบรรลุธรรมนั้น หากไม่มีใจที่สงบถึงก็ไม่มีทางเข้าใจได้ แม้จะรู้จักกับหวังจิ่นหลิงเพียงไม่นาน แต่ฝู่หลินก็รู้ว่าเขาไม่ได้ดูไร้พิษสงเหมือนที่แสดงออกมาภายนอก

บุรุษข้างกายของเฟิ่งชิงเฉินแต่ละคนรับมือยากยิ่งนัก พูดความจริงดีที่สุด

“ไม่เข้าใจนับว่าโชคดียิ่ง หากคุณชายฝู่ไม่มีอะไรทำ เดินเล่นเป็นเพื่อนข้าสักครู่ดีหรือไม่” หวังจิ่นหลิงขัดขวางไม่ให้ฝู่หลินไปหาเฟิ่งชิงเฉินอย่างแนบเนียน

ฝู่หลินเลิกคิ้วอย่างข้องใจ เขาเหลือบมองกระโจมของเฟิ่งชิงเฉินอย่างครุ่นคิดเล็กน้อยและเข็นหวังจิ่นหลิงไปอีกทาง

อันวัตรแห่งวิญญูชนนั้น พึงใช้ความสงบในการบำเพ็ญตน ใช้ความประหยัดเสริมคุณธรรม ด้วยหากมิสมถะก็มิอาจแจ้งในปณิธาน หากมิสงบก็มิอาจตรองไกล ด้วยการปลูกฝังมากว่ายี่สิบปี ความเป็นวิญญูชนได้ฝังรากลึกลงไปในตัวของหวังจิ่นหลิง ไม่ว่าจะปวดใจหรือน่าอนาถเพียงใด เขาก็ไม่มีทางแสดงออกมา

หากฝู่หลินต้องการชมละครสนุกๆ ก็เกรงว่าจะต้องผิดหวังเสียแล้ว

เสด็จอาเก้า ท่านดูเถอะว่าข้ายอดเยี่ยมเพียงใด!

เขาไม่มีทางให้คนอื่นได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น เขาไม่มีทางทำให้ชื่อเสียงของเฟิ่งชิงเฉินต้องด่างพร้อยลงไปอีก

มุมปากของหวังจิ่นหลิงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มขมขื่น ความขมขื่นนี้หยั่งรากลึกลงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ

ผู้ที่ขมขื่นไม่ได้มีหวังจิ่นหลิงเพียงคนเดียว ยามที่ปู้จิงหยุนพาร่างที่มีบาดแผลเต็มตัวรีบเร่งเดินทางมาถึงหุบเขาไท่ลู่เก๋อกลับพบว่าเสด็จอาเก้าพาทหารมาล้อมไว้ก่อนแล้วและยังก้าวนำเขาไปข้างหน้าอีก

ปู้จิงหยุนกระทั่งคิดอยากตายเสียแล้ว ผลงานของเขา โอกาสที่เขาจะสร้างความชอบลบล้างความผิด แต่เขากลับไม่กล้าพูดอะไรสักคำกับเสด็จอาเก้า อย่างไรก็เป็นเขาที่มาช้าเอง

ตอนกลางคืน ปู้จิงหยุนได้รับข่าวจากหลานจิ่วชิง เขาจึงรีบไปที่เสวียนเซียวกงเพื่อตรวจสอบเรื่องข่าวลือของผู้นำเผ่าเสวียนเซียวกง ฮูหยินและคุณหนูใหญ่แห่งเสวียนเซียวกง พร้อมทั้งให้คนคอยจับตาดูเสวียนเซียวกงไว้ หากพบว่าเสวียนเซียวกงมีความผิดปกติอันใดก็ให้รีบมารายงานทันที

เสวียนเซียวกงเป็นสำนักเก่าแก่แห่งหนึ่งในยุทธภพ ถึงแม้ว่าปู้จิงหยุนจะเป็นชนรุ่นหลังในยุทธภพที่โดดเด่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ไม่อาจแฝงสายลับเข้าไปได้

ภายใต้การดำเนินงานในหลายปีมานี้ ปู้จิงหยุนเพียงแต่ส่งลูกน้องปลายแถวเข้าไป การสืบเรื่องของเสวียนเซียวกงจึงเป็นเรื่องยาก แต่ปู้จิงหยุนก็ไม่กล้าบ่น เขารีบจากไปยังเสวียนเซียวกงด้วยตนเองทันที

เขาจะต้องทำผลงานลบล้างโทษให้ได้ ตอนนี้เขาเข้าใจจิ่วชิงแล้ว จิ่วชิงมีนิสัยของกษัตริย์โดยแท้ สิ่งที่เขาชอบทำมากที่สุดก็คือโมโห

เขาทำผิด จิ่วชิงจะต้องโกรธเป่าเอ๋อร์ เพื่อเป่าเอ๋อร์แล้ว เขาจะต้องตั้งใจทำงาน!

หวังจิ่นหลิงและฝู่หลินสนทนากันอยู่ด้านนอก เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเสด็จอาเก้าจะไม่รู้ เสร็จธุระแล้วเขาก็จะรู้ และเมื่อรู้เรื่องนี้แล้ว เสด็จอาเก้าก็เพียงแต่หัวเราะออกมาทีหนึ่ง

หวังจิ่นหลิงเป็นวิญญูชนยิ่งนัก ดังนั้นเขาย่อมต้องแพ้พ่าย

บ้านเมืองและสาวงามไม่มีทางได้มาด้วยวิธีของวิญญูชน วิธีของพวกเขานุ่มนวลเกินไป หวังจิ่นหลิงเป็นวิญญูชน เขานับถือ แต่วิญญูชนก็เป็นได้เพียงแค่ขุนนางเท่านั้น

การศึกษาของจักรพรรดิในทุกยุคสมัยล้วนไม่เคยสอนให้พวกเขาเป็นวิญญูชน แต่พวกให้พวกขาเก็บวิญญูชนไว้ข้างกายก็พอแล้ว มีวิญญูชนอยู่ข้างกาย พวกเขาไม่จำเป็นต้องเป็นวิญญูชนเสียเอง

ต่อมาเสด็จอาเก้าก็กระทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับวิญญูชนอย่างชัดเจน เขาปกป้องเฟิ่งชิงเฉินอย่างแน่นหนา พวกเขาตั้งค่ายอยู่นอกเมืองสามวัน หวังจิ่นหลิงไม่ได้พบแม้แต่หน้าของเฟิ่งชิงเฉิน เพียงสอบถามได้ความว่านางบาดเจ็บเล็กน้อยและตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว

ไม่เพียงเท่านั้น ยามที่เสด็จอาเก้าออกคำสั่งให้กลับเมือง เสด็จอาเก้าก็ห่อเฟิ่งชิงเฉินยัดเข้าใส่รถม้าของตนเอง จากนั้นก็อยู่กันสองต่อสองกับนางในรถม้า หากไม่มีเรื่องสำคัญใดก็จะไม่ลงจากรถม้าเด็ดขาด ทำให้หวังจิ่นหลิงรู้สึกว่าเฟิ่งชิงเฉินแม้อยู่ใกล้เพียงเอื้อมแต่ราวกับอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน

ในครึ่งเดือนมานี้ หวังจิ่นหลิงได้เห็นหน้าเฟิ่งชิงเฉินอยู่บ้าง นอกจากจะมั่นใจได้ว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่มีแม้แต่โอกาสพูดคุยกันเสียด้วยซ้ำ และทุกครั้งก็เพียงได้มองจากที่ไกลๆ เท่านั้น ทุกครั้งที่เห็นนาง ข้างกายนางก็จะมีเสด็จอาเก้าอยู่ด้วยเสมอ

เสด็จอาเก้าเห็นการกระทำเช่นนี้ของเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินที่ให้ความร่วมมืออย่างดีแล้วก็คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเข้าใจว่าคงจะเกี่ยวกับเรื่องที่นางมาช่วยเขาตามลำพัง

ตอนแรกหวังจิ่นหลิงไม่ได้ร้อนรนนัก เขาเห็นว่าเป็นเพียงเสด็จอาเก้าแกล้งยั่วให้เขาไม่พอเล็กน้อยเท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปนาน แม้ว่าจะนิสัยดีเพียงใดก็อดโมโหไม่ได้

เสด็จอาเก้าจะเกินไปแล้ว

เห็นได้ชัดว่าเสด็จอาเก้าสามารถจัดคนส่งเขากลับไปก่อนได้หรือไม่ก็ส่งข่าวให้แก่ตระกูลหวังมารับเขา แต่เสด็จอาเก้ากลับพาเขาร่วมเดินทางไปด้วยและตัวติดเข้าออกอยู่กับเฟิ่งชิงเฉินทุกวันเพื่อแสดงให้รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่ธรรมดา

แม้หวังจิ่นหลิงจะรู้ดีว่านี้เป็นฝีมือของเสด็จอาเก้าที่พยายามจงใจยั่วโมโหเขา แม้จะรู้ว่าเป็นแผน แต่เขาก็ไม่มีความสุข

แผนการนี้ของเสด็จอาเก้าไม่สูงส่งเอาเสียเลย แต่กลับใช้ได้ผลนักโดยเฉพาะเมื่อใช้กับเขา เขาเพิ่งดีใจที่นางมาช่วยเขาตามลำพัง แต่เสด็จอาเก้ากลับเอาน้ำเย็นสาดเข้าที่หน้าเขาอย่างจัง

เขาทำให้เสด็จอาเก้าไม่มีความสุขมาครึ่งเดือน เสด็จอาเก้าคงต้องทำให้เขาไม่มีความสุขไปอีกครึ่งปีหรือไม่ก็นานกว่านั้น

เมื่อเผชิญหน้ากับแผนเด็กน้อยขี้โมโหของเสด็จอาเก้าแล้ว หวังจิ่นหลิงก็ได้แต่แอบถอนหายใจ เสด็จอาเก้าใจแคบยิ่งนัก แต่นอกจากเช่นนี้แล้วเขาก็ทำอะไรไม่ได้อีก ตอนนี้นางยังต้องส่งเสด็จอาเก้ากลับเมืองไปอีก

การกระทำเช่นนี้ของเสด็จอาเก้าทำให้หวังจิ่นหลิงไม่พอใจ เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่พอใจเช่นกัน บาดแผลบนร่างกายของนางไม่ได้สาหัสถึงขนาดที่ไม่อาจขยับตัวได้ แต่เขาทำราวกับนางเป็นผู้พิการ ขึ้นลงรถม้าล้วนต้องอุ้ม ทำราวกับว่านางเจ็บเจียนตายแล้วเสียอย่างนั้น

แต่ทุกครั้งที่นางขัดขืน เสด็จอาเก้าก็มักมีวิธีทำให้นางยอมอ่อนข้อลง

เสด็จอาเก้าไม่ได้เอาเรื่องที่นางมาที่หุบเขาโดยไม่บอกลา แต่สัมผัสที่บาดแผลของนางเบาๆ และกล่าวอย่างตำหนิว่า “บาดแผลนี้จะเป็นรอยแผลเป็น ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า ข้าไม่ดีเองที่ไม่ได้ปกป้องเจ้าให้ดี”

ทุกครั้งที่เขาพูดเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็พูดอะไรไม่ออกอีก นางได้แต่เชื่อฟังเขาไปเท่านั้น

นางรู้ดีว่าบาดแผลของนางจะต้องเป็นแผลเป็นแน่ๆ เรื่องนี้เป็นความผิดของนางชัดๆ แต่เสด็จอาเก้ากลับแบกความผิดทั้งหมดนี้ไว้เอง ทุกครั้งที่เห็นบาดแผลบนตัวนาง เขาก็จะโทษตัวเองไม่หยุด

อีกทั้งเสด็จอาเก้ายังทำตามคำมั่นสัญญาของเขา วันนั้นที่เขาบอกว่าเขาเชื่อนางและให้อภัยนางแล้วก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องในหุบเขาของนางกับหวังจิ่นหลิงอีก นางลองพูดหยั่งเชิงดู เสด็จอาเก้าก็มีท่าทีไม่ใส่ใจ สนใจเพียงแต่จะหายาที่ทำให้นางไม่มีแผลเป็น

สิบวันก่อนหน้านี้มีข้ารับใช้ควบม้าเร็วนำน้ำมันดอกบัวหิมะร้อยกลีบมาจากเมืองหลวง แต่เป็นเพราะว่าแผลของเฟิ่งชิงเฉินนั้นเสียเวลามามากเกินไป แม้ใช้น้ำมันดอกบัวหิมะร้อยกลีบที่ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีทะนุถนอมไม่ยอมขายก็ไร้ประโยชน์

เสด็จอาเก้าจึงส่งจดหมายไปให้ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีให้เขาส่งยาที่ดีกว่านี้มาให้ โดยไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม เขาจะต้องกำจัดรอยแผลเป็นบนตัวของเฟิ่งชิงเฉินให้ได้

เฟิ่งชิงเฉินเห็นว่าเพื่อนางแล้ว เสด็จอาเก้าใช้ขุมพลังทุกทางโดยไม่เสียดายก็ยอมรับอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรแม้ประโยคเดียว แน่นอนว่าเป็นเพราะนางก็พูดไม่ออกด้วยเช่นกัน

เป็นสตรีนางหนึ่งย่อมไม่ปรารถนาให้มีรอยแผลตะเข็บบนร่างกาย และในทำนองเดียวกัน นางก็ไม่อาจปฏิเสธความดีของเสด็จอาเก้าได้…

ในเวลานี้โปรดอนุญาตให้นางได้อ่อนแอลงหน่อย ให้นางได้ฝันเล็กๆ น้อยๆ ว่านางเป็นหญิงสาวตัวน้อยที่ไม่มีความทุกข์ใด แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงหนึ่งวันก็ยังดี

เสด็จอาเก้าไม่ได้ทำให้เฟิ่งชิงเฉินต้องผิดหวัง เขามอบการเดินทางอันแสนสวยงามให้แกนาง เฟิ่งชิงเฉินรีบเร่งเดินทางไม่ถึงสิบวันกว่าจะถึงหุบเขาไท่ลู่เก๋อ แต่ตอนนี้พวกเขาใช้เวลาเดินทางครึ่งเดือนแล้วแต่ก็ยังไม่ถึงครึ่งทาง

ที่สำคัญที่สุดก็คือเสด็จอาเก้ายังเอาเรื่องของหวังจิ่นหลิงมาเป็นข้ออ้างด้วย เขาพูดอย่างสวยหรูว่าคุณชายใหญ่บาดเจ็บไม่เหมาะกับการเร่งรีบเดินทาง แต่ความเป็นจริงนั้นทุกคนล้วนรู้ดี

กองทหารเดินทางไปข้างหน้า หวังจิ่นหลิงนั่งอยู่บนรถม้าของตนเองเงียบๆ ดวงตาสีดำของเขายังเหมือนวันวาน ลึกล้ำและสงบนิ่ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่…

เฟิ่งชิงเฉินนอนอยู่บนตักของเสด็จอาเก้าและกินผลไม้ล้ำค่าหายากที่สุดในฤดูกาลนี้ องุ่น!

ที่บอกว่าล้ำค่าหายากนั้นเป็นเพราะว่าองุ่นนี้ เสด็จอาเก้าป้อนเข้าปากนางทีละเม็ดด้วยตนเอง เฟิ่งชิงเฉินเพียงแค่อ้าปากก็พอแล้ว

“ถุย…” เฟิ่งชิงเฉินคายเม็ดองุ่นลงในถ้วยเล็กๆ ที่อยู่ด้านหน้าและส่ายหน้าในเสด็จอาเก้าเป็นการบอกว่านางไม่อยากกินแล้วพลางลุกขึ้นมาจากตัวเสด็จอาเก้าอย่างเกียจคร้านไปพิงพนักพิงหลังแทน

ถูกเสด็จอาเก้าตามใจมาครึ่งเดือน นางเกียจคร้านมากขึ้นเรื่อยๆ

เสด็จอาเก้าก็ปรบมือ… จากนั้นก็มีข้ารับใช้มาเก็บของออกไปและยกอ่างน้ำมาให้เขาล้างมือ จากนั้นก็ออกไปอย่างเงียบเชียบ

เมื่อล้างมือจนสะอาดแล้ว เสด็จอาเก้าก็รับผ้าขาวสะอาดและเช็ดมืออย่างสง่างาม เขาเหลือบมองดวงตาเหมือนแมวของหญิงสาวที่นั่งพิงพนักอย่างเกียจคร้านและพยักหน้าอย่างพอใจ

มิเสียแรงที่เขาออกอุบายมากมายถึงเพียงนี้ ในที่สุดเฟิ่งชิงเฉินก็ยอมอยู่บนรถม้าอย่างว่าง่ายเสียที

หวังจิ่นหลิง เจ้าทำให้ข้าไม่สบายใจ ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าอยู่อย่างสบายแน่…

น่าเสียดายที่แผนการนี้ต้องเปลี่ยนไปทันทีที่ได้รับจดหมายจากปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *