นางสนมแพทย์อัจฉริยะบทที่ 612 ปิ่นเฟิ่ง ข้าเย่อหยิ่งแล้วอย่างไร

Now you are reading นางสนมแพทย์อัจฉริยะ Chapter บทที่ 612 ปิ่นเฟิ่ง ข้าเย่อหยิ่งแล้วอย่างไร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทุกครั้งที่พบหน้าท่านล้วนไม่มีเรื่องดี……

แม้ว่าจะเป็นกังวลใจและวิตกเพียงใด เมื่อได้ยินคำพูดหยอกล้ออันมีสีสันของเฟิ่งชิงเฉิน ตี๋ตงหมิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นเล็กน้อย ราชองครักษ์หากไม่มีเรื่องใดจะออกจากวังหรือ จริงเลยเชียว……

หัวหน้าราชองครักษ์ค่อนข้างจะขี้อาย ประกอบกับตี๋ตงหมิงเองก็ขำขึ้นเมื่อครู่ ใบหน้าของเขาจึงแดงเรื่อ “คุณหนูเฟิ่ง ข้าจะเดินทางออกจากวังต่อเมื่อมีธุระ” ดังนั้น……ไม่ใช่ว่าเมื่อไหร่ที่พบกันแล้วข้าไม่มีอะไรทำ แต่เมื่อใดที่เขาเดินทางออกจากวังล้วนไม่มีเรื่องดี

เอ่อ……สีหน้าของราชองครักษ์ดูดำมืดไปในทันที ประโยคด้านหลังไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจกล่าวออกมาได้ ไม่เช่นนั้นคงจะกลายเป็นดั่งที่เฟิ่งชิงเฉินกล่าวจริงๆ เมื่อไหร่ที่พวกเขาล้วนไม่มีเรื่องดี

“ฮ่าๆๆ……” ตี๋ตงหมิงหัวเราะขึ้นมากกว่าเดิม ทำให้หัวหน้าราชองครักษ์ไม่อาจกล่าวสิ่งใดขึ้นอีก เฟิ่งชิงเฉินนับวันนับมีความสามารถมากขึ้นทุกที

ราชองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังพวกเขาก็เริ่มหัวเราะขึ้นอย่างอดไม่ได้ ไหล่ของพวกเขาเผยอขึ้นเล็กน้อย หอกที่อยู่ในมือก็สั่นคลอนเบาๆ เหตุการณ์อันตึงเครียดดูคลี่คลายลงได้มากด้วยรอยยิ้มเหล่านี้ หอกของราชองครักษ์เมื่อครู่ก็ไม่ได้ดูเยือกเย็นดั่งเดิม

ตี๋ตงหมิงแอบยกนิ้วโป้งให้เฟิ่งชิงเฉิน เก่งกาจ เก่งกาจยิ่งนัก! เพียงสองสามประโยคของนางสามารถทำให้สถานการณ์อันหนาวเหน็บกลับคลี่คลายได้อย่างดี

เฟิ่งชิงเฉินก็ยิ้มตามเช่นกัน นางคาดว่าทงจือน่าจะหยิบปิ่นเฟิ่งมาแล้ว เมื่อเห็นหัวหน้าราชองครักษ์รู้สึกลำบากใจ นางก็หยุดอยู่เพียงเท่านั้น แล้วโค้งกายทำท่าทางขอโทษไปทางหัวหน้าราชองครักษ์เล็กน้อย “ใต้เท้า ชิงเฉินไม่ได้มีเจตนา ใต้เท้าอย่าได้ใส่ใจเลย ไม่ทราบว่าใต้เท้าเดินทางมาที่นี่มีเรื่องอันใด”

การให้ความเคารพก่อนจะจู่โจม ไม่ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเย่อหยิ่งเพียงใด แต่นางก็ควรที่จะมีมารยาทตามความเหมาะสม จะให้ผู้อื่นมาหาว่านางไม่มีการศึกษาไม่ได้

“คุณหนูเฟิ่งไม่จำเป็นต้องมากพิธีความ ข้าเดินทางออกมาปฏิบัติหน้าที่ตามคำมอบหมายจากองค์จักรพรรดิ คุณหนูเฟิ่ง เมื่อเดือนสิบเอ็ดวันที่สิบแปดคุณหนูและเสด็จอาเก้าเดินทางเข้าไปในพระราชวังในวันนั้น ได้ใช้ปิ่นเฟิ่งซึ่งเป็นสัญลักษณ์ต้องห้าม ทุกคนใต้หล้านี้นอกจากองค์จักรพรรดินีแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถใช้มันได้ คุณหนูเฟิ่งดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สวมใส่ปิ่นเฟิ่งโดยผิดกฎหมาย สมควรได้รับโทษตามกฎหมาย คุณหนูเฟิ่ง……” หัวหน้าราชองครักษ์อธิบายโทษของเฟิ่งชิงเฉินออกมาตามขั้นตอน ซึ่งท่าทางของเขาค่อนข้างจะสุภาพเกรงใจ

ในเมื่อเฟิ่งชิงเฉินเกรงใจ ตัวเขาก็พูดง่าย เพียงแค่เฟิ่งชิงเฉินไม่ต่อต้านการจับกุมเขาก็จะไม่ใช้กำลัง จะว่าอย่างไรพวกเขาทั้งสองก็นับว่ารู้จักกันคุ้นเคยดี ส่วนตัวเขายังค่อนข้างชื่นชมทุกการกระทำของเฟิ่งชิงเฉินยิ่งนัก เพียงแต่……เฟิ่งชิงเฉินนั้นเย่อหยิ่งเหลือเกิน จนทำให้องค์จักรพรรดิจับจ้องเป็นเป้าหมาย

เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าเหตุใดนางจึงถูกจับกุม ดังนั้นจึงไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด “ใต้เท้า สิ่งที่ชิงเฉินติดประดับไว้บนศีรษะเป็นปิ่นเฟิ่งก็จริง แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และไม่ได้ทำผิดกฎหมายแต่อย่างใด”

คิ้วอันแหลมคมของเฟิ่งชิงเฉินเลิกขึ้นเล็กน้อยดูเข้มงวดมากขึ้น ช่างเย็นชาแตกต่างไปจากรอยยิ้มอันงดงามเป็นกันเองเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง บัดนี้เฟิ่งชิงเฉินดูเคร่งขรึมสง่างาม

เมื่อถูกเฟิ่งชิงเฉินจับจ้องมองเช่นนี้ หัวหน้าราชองครักษ์ก็หัวใจสั่นไหวเริ่มตื่นตระหนก เขาถอยหลังกลับไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเขารู้ตัวก็ได้แอบด่าตัวเองว่าไร้ประโยชน์แล้วก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง

หัวหน้าราชองครักษ์เหยียดหลังตรง เขาไม่กล้าสบตากับเฟิ่งชิงเฉินอย่างตรงไปตรงมา แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “คุณหนูเฟิ่ง การที่ท่านกล่าวว่าไม่ได้ดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือทำผิดกฎหมายไม่เคารพราชวงศ์ใดๆ ต่อให้กล่าวกับข้าก็ไร้ประโยชน์ ในวันนี้ข้าเดินทางมาตามคำสั่งให้จับกุมคุณหนูไปปฏิบัติตามกระบวนการยุติธรรม ส่วนจะยุติธรรมหรือไม่นั้น จะถูกตัดสินเองจากความเป็นจริง”

“ใต้เท้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว องค์จักรพรรดิคงจะประทานความยุติธรรมให้แก่ข้า เพียงแต่ว่า……” เมื่อเฟิ่งชิงเฉินกล่าวถึงตรงนี้ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก ท่าทางของนางลึกล้ำไม่อาจหยั่งรู้ได้

สายตาเหลือบมองไปที่ประตูที่ถูกองครักษ์ถีบจนเสียหาย อืม แค้นนี้นางจดจำเอาไว้แล้ว

หัวหน้าราชองครักษ์ขมวดคิ้วขึ้นด้วยความไม่พึงพอใจ เขาละเลยต่อความสง่างามอันเป็นธรรมชาติของเฟิ่งชิงเฉิน และความแข็งแกร่งที่ทำให้เขาต้องตกตะลึง ก่อนจะสงบลงกล่าวว่า “คุณหนูเฟิ่งอย่าได้หยิ่งทะนงเสียจนเกินไป ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด หากคุณหนูเฟิ่งไม่ให้ความร่วมมือล่ะก็อย่าหาว่าข้าไร้เหตุผล”

ประโยคนี้หมายความว่าเขาจะลงไม้ลงมือ

สายตาของตี๋ตงหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาตั้งใจจะเดินหน้าขึ้นไปแล้วใช้อำนาจจากจวนเซียวชินอ๋องผลักดันทหารเหล่านี้ออกไป แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับโบกมือให้เขาแสดงให้เห็นว่าอย่าได้ลงมาลงมือ บัดนี้ในมือของทงจือกำลังถือถาดไม้เดินตรงเข้ามา บนถาดนั้นมีผ้าสีแดงปูวางเอาไว้ ด้านบนคือปิ่นเฟิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินปักในวันนั้น

ทันทีที่ปิ่นเฟิ่งถูกเปิดเผยออกมา ก็จะตัดสินแพ้ชนะได้

เฟิ่งชิงเฉินกวาดตามองไปยังทหารที่ยืนอยู่เต็มไปหมดในเรือนของนาง สายตาคู่นั้นจับจ้องไปที่หัวหน้าราชองครักษ์ กล่าวว่านางเย่อหยิ่งหรือ เช่นนั้นนางจะเย่อหยิ่งต่อหน้าทุกคนให้ดู

เฟิ่งชิงเฉินยกมือขึ้นทัดผมที่หลังหู ท่าทางของนางดูอึดอัดใจเล็กน้อย “ใต้เท้า ที่จริงชิงเฉินก็อยากจะไปกับท่าน แต่น่าเสียดายเหลือเกิน……ใต้เท้าท่านไม่มีความสามารถนั้นที่จะพาชิงเฉินไปได้”

“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ากล้ายิ่งนัก ทหาร จับตัวนาง!” หัวหน้าราชองครักษ์รู้สึกโมโห ตี๋ตงหมิงเองก็ตกใจอย่างเหลือเชื่อ

เฟิ่งชิงเฉินบ้าไปแล้วหรือไร?

“หยุดเดี๋ยวนี้!” ตี๋ตงหมิงก้าวมาข้างหน้าต้องการจะรั้งราชองครักษ์เหล่านั้นไว้ แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่ราชองครักษ์ทั้งหลายได้รับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิและไม่สนใจซื่อจื่อเซียวชินอ๋องในสายตา

“ฉึบ” พวกเขาก้าวไปข้างหน้า หอกยาววางไว้ตรงคอของเฟิ่งชิงเฉิน หัวของหอกอันแข็งทื่อเย็นเฉียบชี้ไปที่ลำคอของนางและศีรษะ เพียงแค่ใช้แรงเล็กน้อยเฟิ่งชิงเฉิน ก็อาจได้รับบาดเจ็บทันที

สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินยังคงไม่เปลี่ยนไป แววตาอันแหลมคมจับจ้องไปยังหัวหน้าราชองครักษ์อย่างดุเดือด “กล้างั้นหรือ หากจะกล่าวกันถึงความกล้าหาญ ใต้เท้าต่างหากที่เรียกว่ากล้า”

เฟิ่งชิงเฉินพ่นลมหายใจออกมาด้วยความดูถูก ไม่รอให้หัวหน้าราชองครักษ์กล่าวสิ่งใดออกมา นางก็กล่าวกับทงจือว่า “ทงจือ จงไปนำปิ่นเฟิ่งที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนประทานมาให้ข้า”

“ว่าอย่างไรนะ ปิ่นเฟิ่งที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเป็นผู้ประทานให้หรือ?” ผู้ที่อยู่ตรงนั้นทุกคนยกเว้นเฟิ่งชิงเฉินต่างพากันตกตะลึง โดยเฉพาะผู้ที่กำลังเดินถือหอกจ่อไปที่เฟิ่งชิงเฉิน แต่ละคนทำสีหน้าไม่สบายใจและถอยออกไปอย่างเงียบๆ

“ถูกต้องแล้ว ปิ่นเฟิ่งที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนประทานเอาไว้ให้ หากว่าท่านต้องการจะนำตัวชิงเฉินไปเพราะกระทำผิด ท่านควรจะดูให้ชัดเจนก่อนว่าชิงเฉินใช้สิ่งใดกันแน่” ท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินดูเย่อหยิ่งและน้ำเสียงนั้นก็ข่มขู่

“ถอยไป” ทงจือค่อนข้างระมัดระวังตน นางทำสีหน้ารังเกียจและเดินนำปิ่นก้าวไปด้านหน้าทีละก้าวๆ เอาถาดไปให้เฟิ่งชิงเฉิน ทุกก้าวที่นางเดินออกมาผ่านราชองครักษ์คนใดล้วนต้องถอยออกไปก้าวหนึ่ง ทุกคนเบิกตากว้างเพื่อจะมองดูสิ่งที่วางเอาไว้ในถาดไม้

เฟิ่งชิงเฉินไม่กล้ากล่าวเรื่องไร้สาระว่าจักรพรรดิพระองค์ก่อนประทานสิ่งนี้ให้นางอย่างแน่นอน ในเมื่อนางกล้าจะกล่าวเรื่องนี้ออกมาต่อหน้าสาธารณชนนั่นหมายความว่านี่เป็นปิ่นปักผมที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนประธานให้นางอย่างแท้แน่นอน ดูเหมือนวันนี้พวกเขาจะคว้าน้ำเหลวเสียแล้ว

“คุณหนูเจ้าคะ ปิ่นเฟิ่งมาแล้วเจ้าค่ะ” ทงจือคุกเข่าลงต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉินแล้วยกถาดในมือขึ้นเหนือศีรษะ

“ยอดเยี่ยมยิ่งนัก” เฟิ่งชิงเฉินเอื้อมมือไปหยิบปิ่นเฟิ่งยื่นให้แก่หัวหน้าราชองครักษ์ “ใต้เท้า ท่านต้องการจะกล่าวโทษชิงเฉินใช่หรือไม่ บัดนี้ท่านโปรดดูให้ชัดเจนว่านี่คือสิ่งใด”

เป็นของที่ใช้ในราชวังแต่ละชิ้นล้วนมีตราประทับของราชวงศ์ ที่ปิ่นเล่มนี้ก็มีเช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้นปลายของปิ่นยังมีตัวอักษรสลักเอาไว้ก็คือ……

“มารดาแห่งตงหลิง” หัวหน้าองครักษ์เบิกตามองกว้าง

“ถูกต้องแล้ว มารดาแห่งตงหลิง ใต้เท้าเชิญมองให้ชัดเจนเถิด” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง ต่อให้นางเย่อหยิ่งเพียงใดแล้วมีใครกล้าจัดการกับนางเล่า มีความสามารถในการกล่าวโทษนางหรือ?

หึๆ แม้แต่องค์จักรพรรดิก็คงไม่กล้าจะขัดต่อจักรพรรดิพระองค์ก่อน

“ข้าน้อยทำให้ขุ่นเคืองใจ คุณหนูเฟิ่งโปรดให้อภัยด้วย” หัวหน้าราชองครักษ์สีหน้าซีดเผือด คำเรียกแทนตนเองว่าข้าในตอนแรกกลับกลายเปลี่ยนเป็นข้าน้อยในทันที ร่างของเขาทรุดลงตั้งใจจะคุกเข่า

เฟิ่งชิงเฉินยกเท้าขึ้น แตะใบที่เข่าของหัวหน้าราชองครักษ์ “ใต้เท้าอย่าเพิ่งรีบร้อนไป ยังดูไม่จบเลย”

“หืม?” หัวหน้าราชองครักษ์ตกตะลึงอยู่ที่ตรงเดิม เขามองไปทางเฟิ่งชิงเฉิน นางพลิกปิ่นกลับมาอีกด้านหนึ่ง ที่ข้างหลังยังมีตัวอักษรเขียนเอาไว้อีก “ใต้เท้าโปรดมองดูเถิด โปรดอย่าได้แอบอ้างว่าข้าขโมยของหลวง”

“เซิ่งหมิ่นฮองเฮา” หัวหน้าราชองครักษ์ก้าวไปข้างหน้า เขาอ่านอักขระที่อยู่บนปิ่นแม้ว่าตัวอักษรจะเล็กแต่ก็เห็นได้อย่างชัดเจน บ่งบอกว่าสิ่งของนั้นสร้างขึ้นเพื่อราชวงศ์ ไม่ปลอมแปลงอย่างแน่นอน

ทันทีที่คำนั้นปรากฏขึ้น ต่อให้ใช้นิ้วหัวแม่โป้งคิดก็รู้ปิ่นนี้เป็นปิ่นของเสด็จอาเก้า เนื่องจากเซิ่งหมิ่นฮองเฮามีโอรสคือเสด็จอาเก้าเพียงองค์เดียว สิ่งของของเซิ่งหมิ่นฮองเฮาต่อให้อยู่ในมือคนอื่นก็ไร้ประโยชน์

“ถูกต้องแล้ว ปิ่นเฟิ่งที่ทำขึ้นเพื่อเซิ่งหมิ่นฮองเฮา ใต้เท้า บัดนี้ท่านสามารถคุกเข่าลงได้แล้ว ปิ่นปักผมนี้จักรพรรดิพระองค์ก่อนทำขึ้นเพื่อมารดาแห่งราชวงศ์ตงหลิง ดังนั้นปิ่นนี้จึงเป็นตัวแทนของมารดาแห่งตงหลิง เซิ่งหมิ่นฮองเฮา” เฟิ่งชิงเฉินยกปิ่นเฟิ่งขึ้น

ในตอนนี้หัวหน้าราชองครักษ์จึงได้ตระหนักว่า ตัวอักษรที่สลักไว้ว่ามารดาแห่งราชวงศ์ตงหลิงและเซิ่งหมิ่นฮองเฮาเป็นตัวอักษรจากลายพระหัตถ์ของจักรพรรดิพระองค์ก่อน ที่มาของปิ่นเล่มนี้ยิ่งใหญ่เหลือเกิน

“ตุ้บ……” หัวหน้าราชองครักษ์ไม่กล้าคิดสิ่งใดมากความ เขารีบนำทหารทั้งหลายคุกเข่าลง เมื่อทหารคนอื่นๆ เห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงรีบเก็บอาวุธแล้วคุกเข่าลงเช่นกัน ตี๋ตงหมิงที่ยังอยู่ท่ามกลางความงุนงง คิดไม่ถึงเสียจริงว่าเครื่องประดับที่เฟิ่งชิงเฉินนำมาประดับนั้น จะมีความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้

ไม่สนใจว่าเขาจะเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่ แต่ในบัดนี้ตัวเขาเองก็ควรที่จะคุกเข่าลงเช่นกัน แล้วเอ่ยว่าทรงพระเจริญ มิเช่นนั้นจะถือว่าไม่เคารพต่อจักรพรรดิพระองค์ก่อน และฮองเฮาพระองค์ก่อน

“หึๆ……” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มขึ้นด้วยแววตาเยือกเย็น สายตาของนางเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย

องค์จักรพรรดิต้องการจับผิดนางไม่ใช่หรือ ต้องการหาเรื่องนางใช่หรือไม่ บัดนี้เป็นอย่างไรเล่าสถานการณ์พลิกผัน ต่อให้จักรพรรดิจะไม่พอใจเพียงใดก็คงไม่อาจเอ่ยโทษจักรพรรดิพระองค์ก่อนได้ ปิ่นนี้เรียกได้ว่าตบหน้าองค์จักรพรรดิอย่างจัง

เฟิ่งชิงเฉินสวมปิ่นเฟิ่ง แต่ปิ่นนั้นกลับเป็นปิ่นที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนประทานให้ แม้จะกล่าวว่าปิ่นนั้นประทานให้แก่เสด็จอาเก้า แต่เสด็จอาเก้าก็นำมันมาให้เฟิ่งชิงเฉินใส่ ซึ่งพวกเขาไม่มีสิทธิ์จะกล่าวได้ว่าไม่เหมาะสม เนื่องจากสิ่งของนั้นเป็นของเสด็จอาเก้า เขาประสงค์มอบให้ใครก็สามารถมอบให้ผู้นั้นได้ตามความต้องการ

ในบัดนี้ราชองครักษ์ผู้ใดจะกล้าเอาผิดต่อเฟิ่งชิงเฉินได้อีกเล่า หลังจากที่พวกเขาลุกขึ้นยืนก็ได้เอ่ยขอโทษเฟิ่งชิงเฉินแล้วพากันเดินจากไป เตรียมพร้อมยอมรับโทษจากองค์จักรพรรดิเมื่อกลับไปถึงพระราชวัง แต่เมื่อพวกเขาเดินทางไปสิ่งที่ตรงประตูก็ถูกเฟิ่งชิงเฉินรั้งเอาไว้ “ช้าก่อน”

“ตุ้บๆๆ……” หัวหน้าราชองครักษ์หยุดฝีเท้าลง ร่างของเขาแข็งทื่ออยู่สามวินาทีก่อนจะหันหลังกลับไป เขาก้มศีรษะลงด้วยความหวาดกลัว “คุณหนูเฟิ่งมีสิ่งใดกำชับหรือ?”

หัวหน้าราชองครักษ์รู้สึกตึงเครียดและไม่สบายใจขึ้นทันที เขากลัวจริงๆ ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะทำให้เขาต้องอับอายหรือสร้างปัญหาให้ แม้ว่าปิ่นในมือของเฟิ่งชิงเฉินกล่าวได้ว่าไม่อาจโยกย้ายกองกำลังทหารหรือยึดอำนาจได้ แต่ว่า……

พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะไม่เคารพ มิเช่นนั้นโทษฐานไม่เคารพต่อจักรพรรดิและจักรพรรดินีพระองค์ก่อนก็คงจะฟาดลงมาที่ศีรษะของพวกเขา และพวกเขาจะต้องลำบากอย่างแน่นอน

เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกพึงพอใจกับการเชื่อฟังของราชองครักษ์ นางชี้ไปยังประตูที่ถูกพวกเขาถีบเข้ามาจนพัง แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ใต้เท้า พวกท่านทำให้ประตูของข้าต้องพัง ไม่ควรจะชดใช้หรือ”

“อึก……” หัวหน้าราชองครักษ์แทบจะกระอักเลือด

ที่นางรั้งพวกเขาเอาไว้ด้วยท่าทางจริงจัง เพียงแค่เรื่องที่ประตูถูกทำลายหรือ? นางไม่ใช่คนบ้าคลั่งธรรมดา มิน่าเล่าองค์จักรพรรดิจึงได้ลงมือจัดการกับเฟิ่งชิงเฉินที่เป็นเพียงตัวละครตัวเล็กๆ ที่แท้เฟิ่งชิงเฉินมีความสามารถในการบีบบังคับให้ผู้คนบ้าคลั่งแม้จะเป็นใหญ่เพียงใดก็ตาม

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *