นางสนมแพทย์อัจฉริยะบทที่ 803 ชัยชนะ ข้าต้องการเปิดโลงศพเพื่อชันสูตร

Now you are reading นางสนมแพทย์อัจฉริยะ Chapter บทที่ 803 ชัยชนะ ข้าต้องการเปิดโลงศพเพื่อชันสูตร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 803 ชัยชนะ ข้าต้องการเปิดโลงศพเพื่อชันสูตร

กรุบ……

รถม้าจอดอยู่ด้านนอกของศาลต้าหลี่ เหล่าประชาชนลุกขึ้นยืนด้วยตนเอง ทยอยถอยออกไปด้านหลัง ไม่กล้าเข้าใกล้รถม้าคันนั้นเนื่องจาก……

หลังจากรถม้าหยุดลงก็มีองครักษ์เสื้อโลหิตกลุ่มหนึ่งก้าวออกมา ปกป้องรถม้าคันนั้นไว้ คนที่ไม่รู้ยังคิดว่าผู้ที่อยู่ในรถม้าเป็นคนใหญ่คนโตมาจากที่ไหน

“เฟิ่งชิงเฉิน ข้าอยากรู้ว่าเจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกไหม” หัวหน้าฝ่ายคดีอาญาเชี่ยวพูดออกมาด้วยความภูมิใจ ใบหน้าที่ซีดขาวเหมือนคนตายกลับมามีชีวิตอีกครั้ง หันไปประสานมือให้หัวหน้าศาลต้าหลี่พร้อมกล่าวว่า “ใต้เท้า โปรดให้ข้าองครักษ์เสื้อโลหิตเบิกตัวพยานอีกครั้ง”

“อนุญาต” หัวหน้าศาลต้าหลี่ไม่กล้าหันไปมองเฟิ่งชิงเฉินและตี๋ตงหมิง โบกมืออนุญาตอย่างรวดเร็ว

คดีนี้ทำให้เหล่าผู้พิพากษาวุ่นวายเหลือเกิน สุดท้ายแล้วใครเป็นคนผิดกันแน่ เรื่องนี้ก็ยังไม่ชัดเจน หัวหน้าศาลต้าหลี่รู้สึกว่าหลังจากตนเองตัดสินคดีนี้จบ ผมของเขาคงร่วงไปมากกว่าครึ่งหัว

ได้รับการอนุญาตจากหัวหน้าศาลต้าหลี่ องครักษ์เสื้อโลหิตก้าวออกมาด้านหน้า เปิดม่านข้างรถม้าออก นำเปลออกมาจากด้านใน บนเปลมีร่างของคนผู้หนึ่งนอนอยู่ หน้าผากของคนผู้นั้นถูกพันไว้ด้วยผ้าสีขาว เลือดยังคงไหลซึมผ่านผ้าออกมา มีเพียงกอบตาเท่านั้นที่เปิดเผยออกมาให้เห็น

ตอนนี้ดวงตาของเขาปิดแน่น สังเกตไม่เห็นถึงความพิเศษแต่อย่างใด คางที่เปลือยเปล่า และรูปร่างของใบหน้ามีผ้าพันแผล แค่มองก็รู้สึกว่าเขาคล้ายกับซุนซือสิงเป็นอย่างมาก

“ใช่หมอเทวดาน้อยซุนจริง ๆ ทำไมเขาถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้?”

“เขาคงถูกใครทำร้ายมา หมอเทวดาน้อยซุนน่าสงสารเหลือเกิน พวกองครักษ์เสื้อโลหิตช่างไร้มนุษยธรรม ทำไมถึงต้องลงมือรุนแรงเช่นนี้ด้วย”

เหล่าประชาชนไม่กล้าก้าวออกมาด้านหน้า พวกเขาลังเล เกรงกลัวต่อเหล่าองครักษ์เสื้อโลหิตที่ขวางทางอยู่ บางคนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า หัวหน้าฝ่ายคดีอาญาเชี่ยวเห็นเช่นนั้นเขารู้สึกมีความสุขจากใจจริง ถึงขั้นหันไปมองเฟิ่งชิงเฉินด้วยแววตาที่เย้ยหยันในบางครั้ง

เฟิ่งชิงเฉินดูเฉยเมย ดวงตาคู่นั้นของนางจับจ้องตามการเคลื่อนไหวของเปล ในตอนที่เปลถูกวางลง เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเองได้เห็น ถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “เขาคือหมอเทวดาน้อยซุน? ทำไมเขาถึงได้กลายเป็นเช่นนี้? เป็นไปไม่ได้ ทำไมลูกศิษย์ของข้าถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ นี่ไม่ใช่ลูกศิษย์ของข้า”

คำพูดนี้ของเฟิ่งชิงเฉินดูเหมือนว่านางไม่อยากจะเชื่อ แม้จะเหมือนแต่ก็ไม่ยอมรับว่าคนผู้นี้คือซุนซือสิง ด้วยสภาพเช่นนี้ในสายตาขององครักษ์เสื้อโลหิตมันก็เหมือนกับการขาดความมั่นใจในตัวเอง

หัวหน้าฝ่ายสืบสวนแห่งองครักษ์เสื้อโลหิตไม่แม้แต่จะมองไปที่เฟิ่งชิงเฉิน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ซุนซือสิงมาถึงแล้ว คราวนี้เฟิ่งชิงเฉินก็คงทำได้แค่รอความโชคร้าย กล้ามาต่อกรกับองครักษ์เสื้อโลหิต แบบนี้ไม่มีวันจบสวยแน่

หัวหน้าฝ่ายสืบสวนต้องการปิดคดีนี้ให้เร็วที่สุด เขาไม่สนใจเฟิ่งชิงเฉิน รีบเก็บสายตาของเขา ชี้ไปยังคนที่นอนอยู่บนเปลแล้วกล่าวออกมาต่อหน้าของหัวหน้าศาลต้าหลี่ว่า “ใต้เท้า คนผู้นี้ก็คือนักโทษหลบหนีซุนซือสิง เขาถูกพวกข้าจับได้ตรงหน้าประตูพร้อมกับสาวใช้และองครักษ์ของจวนเฟิ่ง พวกเขากำลังนำพาคนผู้นี้ออกมาไปนอกเมือง”

“ใต้เท้า นี่คือพยานหลักฐานทั้งหมด เมื่อคืนเฟิ่งชิงเฉินพาคนไปชิงตัวนักโทษที่เรือนจำองครักษ์เสื้อโลหิต วันนี้คิดจะพาตัวของเขาออกไปจากเมือง สุดท้ายบังเอิญไปถูกองครักษ์เสื้อโลหิตของพวกข้าเห็นเข้า ตอนแรกอยากจะจับเขากลับไปยังเรือนจำ แต่เมื่อได้ยินว่าแม่นางเฟิ่งมาฟ้องร้องถึงที่นี่ ใต้เท้าลู่จึงสั่งให้พวกข้าพาตัวคนผู้นี้มาส่งให้ท่านก่อน พิสูจน์ให้ใต้เท้าได้เห็นว่าองครักษ์เสื้อโลหิตของพวกเข้าเป็นฝ่ายบริสุทธิ์”

คนขององครักษ์เสื้อโลหิตใช่ว่าจะเป็นเหมือนหัวหน้าฝ่ายคดีอาญาเชี่ยวทุกคนที่เก่งจะเฉพาะการลงโทษ ไม่เก่งในเรื่องของคำพูด หัวหน้าฝ่ายสืบสวนผู้นี้เป็นหนึ่งในผู้ที่เก่งในเรื่องของการสื่อสารกับผู้อื่น

หัวหน้าฝ่ายคดีอาญาเชี่ยวรู้ถึงจุดอ่อนของตัวเองดี แม้จะบอกว่าหัวหน้าแต่ละคนจะไม่ถูกกัน แต่เมื่อองครักษ์เสื้อโลหิตของพวกเขาตกอยู่ในอันตราย พวกเขาก็ต้องรู้จักการร่วมมือ หัวหน้าฝ่ายคดีอาญาเชี่ยวจึงรีบถอยออกมา และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหัวหน้าหวัง

หัวหน้าหวังมีใบหน้าคล้ายรูปสี่เหลี่ยม คิ้วหนา ตาโต รูปร่างสูงใหญ่ มองแวบแรกก็สัมผัสได้ถึงคุณธรรม ประกอบกับคำพูดของเขา ที่มาพร้อมกับพยานบุคคล ทำให้ผู้คนหลงเชื่อในคำพูดของเขาอย่างง่ายดาย

ไม่ได้ดูดีเพียงแค่รูป แต่มีความสามารถด้วย

การเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยไม่สามารถรอดพ้นจากสายตาของเฟิ่งชิงเฉินไปได้ ตี๋ตงหมิงมองมาที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยสายตาเป็นห่วง มีคำตำหนิและความไม่พอใจในดวงตาของเขา

หากเฟิ่งชิงเฉินไม่สามารถจัดการเรื่องของซุนซือสิงได้ ก็สามารถยกให้เป็นหน้าที่ของเขา เขามีวิธีการมากมายที่จะส่งซุนซือสิงออกไปนอกเมือง มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร ทำไมเฟิ่งชิงเฉินถึงปล่อยให้ซุนซือสิงตกไปอยู่ในมือขององครักษ์เสื้อโลหิต การโต้กลับทั้งหมดไร้ผล หลังจากนี้คงลำบาก

เฟิ่งชิงเฉินส่ายหน้าเล็กน้อย เพื่อบอกให้ตี๋ตงหมิงไม่ต้องกังวล นางมีแผนรับมืออยู่แล้ว การสื่อสารด้วยสายตาของทั้งสองเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น แต่ในตอนนั้นหัวหน้าศาลต้าหลี่ต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินออกมาชี้แจง

แม้ดูเหมือนหัวหน้าศาลต้าหลี่จะเป็นกลาง แต่ในความเป็นจริงเขาเอนเอียงไปทางฝั่งขององครักษ์เสื้อโลหิต องครักษ์เสื้อโลหิตนำพยานออกมา เขาเชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินมีความผิด เมื่อเห็นท่าทางที่ผิดปกติไปของเฟิ่งชิงเฉิน สำหรับเจ้าหน้าที่อย่างเขามันก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องไปปกป้อง

สิ่งที่หัวหน้าศาลต้าหลี่คิดก็คือ วันนี้เฟิ่งชิงเฉินกล้าฟ้องร้ององครักษ์เสื้อโลหิตและจวนซุ่นหนิงโหว วันหลังไม่แน่ว่าผู้ที่ถูกฟ้องร้องอาจกลายเป็นตัวเขาเอง มีประชาชนสนับสนุนถึงเพียงนี้ ไม่แน่ว่านางอาจจะได้เป็นคนของฝ่ายปกครอง แบบนั้นคงไม่ใช่เรื่องดีแน่

น่าเสียดายที่ความคิดของหัวหน้าศาลต้าหลี่จะต้องพบกับความผิดหวัง เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่คนที่จะยอมเสียเปรียบผู้อื่น เห็นท่าทางเอนเอียงของหัวหน้าศาลต้าหลี่ เฟิ่งชิงเฉินไม่พอใจเป็นอย่างมาก พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแย่

“ใต้เท้า เรื่องราวเมื่อสักครู่เป็นหลักฐานอย่างชัดเจนว่าข้าไม่มีเวลาเพียงพอที่จะก่ออาชญากรรมครั้งนี้ จะปล่อยให้องครักษ์เสื้อโลหิตหาเหตุผลต่างๆนานา มากล่าวหาว่าข้าก่ออาชญากรรมไม่ได้

ซุนซือสิงนำตัวของหมอเทวดาน้อยซุนมา เป็นแค่เครื่องพิสูจน์เรื่องที่องครักษ์เสื้อโลหิตของพวกเขาไม่ได้ทอดทิ้งนักโทษ ที่เหลือข้าก็ไม่เข้าใจแล้วว่ามันยังสามารถสื่อถึงอะไรได้อีก

นอกจากนั้น แค่ระยะเวลาสามวัน หมอเทวดาน้อยซุนที่อยู่ในสภาพเหมือนคนทั่วไป ทำไมถึงได้ตกอยู่ในสภาพตายทั้งเป็นเช่นนี้ ขอองครักษ์เสื้อโลหิตโปรดอธิบายให้ข้าฟัง” เฟิ่งชิงเฉินโค้งคำนับลงไปมากที่สุดเท่าที่นางจะทำได้ ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินโกรธแค้นมากเพียงใด

“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าไม่ได้ยินหรือไง ข้าบอกว่าข้าได้นำตัวคนผู้นี้มาจากรถม้าของจวนเฟิ่งของเจ้า นอกจากนั้นยังมีสาวใช้และองครักษ์ของจวนเฟิ่งคอยให้การดูแลเขาอีก เฟิ่งชิงเฉิน ตอนนี้เข้ายังไม่คิดจะยอมรับอีกงั้นหรือ? หากไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา วันนี้ข้าจะทำให้เจ้ายอมศิโรราบ เข้ามา นำตัวสาวใช้และองครักษ์ของจวนเฟิ่งมา”

หัวหน้าหวังผู้นี้แข็งแกร่งกว่าหัวหน้าฝ่ายคดีอาญาเชี่ยวหลายร้อยเท่าในเรื่องของคำพูดและการกระทำ หากไม่มีผู้พิพากษาทั้งสามคนนั่งอยู่ด้านหน้า เฟิ่งชิงเฉินคงรู้สึกสงสัยว่าคนผู้นี้เป็นผู้ตัดสินคดีหรือเปล่า

“คุณหนู ข้าสมควรตายที่ไม่สามารถทำภารกิจที่คุณหนูมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงไปได้ ไม่สามารถส่งคนผู้นี้ออกไปนอกเมือง โปรดยกโทษให้พวกข้าด้วย” ทงจือและองครักษ์อีกสี่คนถูกจับกุม องครักษ์เสื้อโลหิตไม่ให้เกียรติพวกเขาสักนิด เมื่อเคลื่อนไหวเชื่องช้าก็ใช้เท้ากระตุ้นทันที

องครักษ์ทั้งสี่ไม่ส่งเสียงอะไรออกมาแม้แต่น้อย เสื้อผ้าของพวกเขาค่อนข้างสะอาด และดูเหมือนพวกเขาจะไม่ทรมานมากนัก แต่ใบหน้าของพวกเขาถูกตบเหมือนจานสี และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องทนทุกข์กับพวกขององครักษ์เสื้อโลหิต

แน่นอน โชคดีที่เฟิ่งชิงเฉินได้กำชับพวกเขาเอาไว้ก่อนว่าหากมีพวกขององครักษ์เสื้อโลหิตมาชิงตัวคนในรถม้า พวกเขาจะต้องต่อสู้ และหนีเอาชีวิตรอด ไม่จำเป็นต้องสู้กับองครักษ์เสื้อโลหิตจนสุดชีวิต

หากองครักษ์เสื้อโลหิตลงมือก็ให้ตอบโต้พวกเขากลับไป แต่ไม่จำเป็นต้องหนักมือมากนัก ตอนที่ทำร้ายพวกเขาทางดีที่ต้องทำในที่ลับตาคน แต่ในตอนที่ถูกพวกเขาทำร้าย พวกเจ้าจะต้องปรากฏตัวออกมาในที่สาธารณะ ทำให้ประชาชนรับรู้ว่าพวกเจ้ากำลังถูกทำร้าย

เฟิ่งชิงเฉินกำชับพวกเขาไว้เป็นอย่างดี นอกจากทงจือ ใบหน้าขององครักษ์ทั้งสี่เองก็ดูเจ็บปวด เต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่ใช้ตาเปล่ามองก็ดูออก แม้บาดแผลของพวกเขาจะดูน่าตกใจ แต่มันก็ไม่ได้บาดเจ็บไปถึงชั้นกระดูก แค่พักผ่อนไม่กี่วันก็กลับมาหายดี

คนของตนเองได้รับบาดเจ็บ แถมยังเป็นฝีมือขององครักษ์เสื้อโลหิตอีกครั้ง แน่นอนเฟิ่งชิงเฉินต้องแสดงออกมาถึงความไม่พอใจของตนเอง

“หัวหน้าหวัง คนในจวนเฟิ่งของข้าก็แค่ส่งคนป่วยออกไปนอกเมือง พวกเจ้าถึงกับต้องทำเช่นนี้เลยหรือ? องครักษ์เสื้อโลหิตเป็นมนุษย์ องครักษ์แห่งจวนเฟิ่งไม่ใช่มนุษย์หรือไง เจ้าลองดู ทำไมเจ้าถึงได้ทุบตีพวกเขาจนกลายเป็นสภาพเยี่ยงนี้” มีบาดแผลภายนอกถือเป็นเรื่องดี เฟิ่งชิงเฉินไม่จำเป็นต้องตามหาหรือสร้างบาดแผลด้วยตัวเอง

“คุณหนู คนพวกนี้โหดร้ายมาก พวกเขาไม่พูดอะไร บุกเข้ามาและแย่งคนของพวกเราไปในทันที” ทงจือกล่าวออกมาอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม

เจ้านายเป็นอย่างไร ลูกน้องก็เป็นอย่างนั้น ทงจือผู้นี้เองก็ศึกษาจนติดเป็นนิสัย เฟิ่งชิงเฉินหันไปพยักหน้าให้กับนางพร้อมกล่าวออกมาว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล มันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

“คุณหนู……” ทงจือพยักหน้าติดต่อกันหลายครั้ง เหมือนกับสุนัขที่เชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายอย่างสุดชีวิต

“ฮึฮึ……” หัวหน้าหวังถูกกล่าวหาโดยเฟิ่งชิงเฉิน เมื่อได้ยินคำพูดที่ดูใหญ่โตของเฟิ่งชิงเฉิน เขาหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น “แม่นางเฟิ่งช่างพูดจาใหญ่โตเหลือเกิน ไม่มีอะไรเกิดขึ้น? พาคนไปบุกรุกเรือนจำองครักษ์เสื้อโลหิต ชิงตัวนักโทษอย่างซุนซือสิงออกมา และยังทำร้ายคนขององครักษ์เสื้อโลหิต แบบนี้ยังเรียกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกงั้นหรือ?”

เป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉิน ทำให้องครักษ์เสื้อโลหิตสูญเสียใบหน้าและภาพลักษณ์ทั้งหมด ครั้งนี้พวกเขาส่งคนออกไปมากมายเพื่อสืบหาร่องรอยของเฟิ่งชิงเฉิน ผลลัพธ์ก็คือ……

ไม่ตรวจสอบก็ไม่รู้ แต่เมื่อตรวจสอบก็ตกใจขึ้นมาทันที ช่วงเวลาที่ผ่านมาเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้อยู่ในพระราชวัง เฟิ่งชิงเฉินเพิ่งกลับเข้าเมืองมาเมื่อวาน และข้อมูลดังกล่าวเขาไม่สามารถพูดมันออกไปได้ เนื่องจากเฟิ่งชิงเฉินและเสด็จอาเก้าออกไปจากเมืองพร้อมกัน และเห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิเองก็เห็นด้วยกับการกระทำของพวกเขาในครั้งนี้

เฟิ่งชิงเฉินหลับตาลง พูดออกอย่างหมดความอดทน “ใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าอยากจะให้ข้าพูดออกมาอีกสักกี่รอบ ข้าบอกไปแล้วว่าข้าไม่ได้บุกเข้าไปชิงตัวนักโทษจากเรือนจำองครักษ์เสื้อโลหิต ข้าเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวจะไปมีความสามารถเช่นนั้นได้อย่างไร ทำไมพวกเจ้าไม่ว่าจะกี่คนต่อกี่คนก็ชอบโยนความผิดเรื่องนี้ให้เป็นความผิดของข้า”

“โยนความผิด? เฟิ่งชิงเฉิน ข้าองครักษ์เสื้อโลหิตทำเรื่องอะไรล้วนทำอย่างยุติธรรม ไม่เคยใส่ความหรือให้ร้ายผู้ใด เรื่องที่เข้าไม่ได้ทำ ข้าองครักษ์เสื้อโลหิตไม่มีทางสร้างมันขึ้นมา เช่นเดียวกัน เรื่องที่เจ้าได้ทำลงไปแล้วก็อย่าคิดว่าจะปิดบังมันได้ เฟิ่งชิงเฉิน คนผู้นี้ข้าพาตัวมาจากรถมาของจวนเฟิ่ง ตลอดระยะทางที่ผ่านมามีประชาชนมากมายได้เห็น เจ้ายังจะบอกว่าข้าใส่ร้ายเจ้าอีกอย่างนั้นหรือ?” หัวหน้าหวังพูดออกมาด้วยใบหน้าอันชอบธรรม ทุกประโยคที่พูดออกมาคือการใส่ร้ายเฟิ่งชิงเฉิน และชำระล้างความบริสุทธิ์ให้กับองครักษ์เสื้อโลหิต

แต่การชำระล้างความบริสุทธิ์มันง่ายขนาดนั้นเสียที่ไหน เฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางยอมอย่างแน่นอน กวาดสายตาไปยังผู้คนโดยรอบ ภายใต้ความกังวลของตี๋ตงหมิง เฟิ่งชิงเฉินส่งเสียงตะคอกใส่หัวหน้าหวังอย่างไม่เกรงใจ

“ใช่การใส่ร้ายป้ายสีหรือไม่ เรื่องนี้เจ้าเองก็เข้าใจดี เจ้านำตัวคนป่วยบนรถม้าของจวนเฟิ่งลงมาคนหนึ่ง และพูดออกมาว่าคนผู้นั้นคือซุนซือสิง วิธีการที่เจ้าทำลงไปนั้น มันยากที่จะทำให้คนเชื่อ คนขององครักษ์เสื้อโลหิตมีมาตรฐานเพียงเท่านี้ ข้ารู้สึกเศร้าใจแทนใต้เท้าลู่ที่มีผู้ใต้บังคับบัญชาโง่เหมือนหมูเหมือนหมาเช่นนี้”

หากใช้สมองคิดก็สามารถเข้าใจได้ หากเฟิ่งชิงเฉินต้องการส่งคนออกไปนอกเมือง นางจะส่งออกไปในตอนกลางวันเช่นนี้หรือไม่ แบบนั้นไม่เท่ากับว่าเป็นการมอบหลักฐานให้อีกฝ่ายอย่างนั้นหรือ การกระทำนี้ขององครักษ์เสื้อโลหิตนั้นเร่งรีบและคิดน้อยเกินไป

“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าหมายความว่าอย่างไร? หรือเจ้าคิดจะปฏิเสธ ไม่ยอมรับว่าคนผู้นี้มาจากจวนเฟิ่งของเจ้า?” หัวหน้าหวังเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ มองมายังเฟิ่งชิงเฉิน จากนั้นมองไปยังคนที่นอนอยู่บนเปล ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เขายังไม่เห็นอะไรที่ดูผิดปกติ

“ไม่ ข้าไม่ได้ปฏิเสธ คนผู้นี้มาจากจวนเฟิ่งของข้าจริง แต่แล้วมันยังไง? ข้าให้คนใช้กับองครักษ์ออกไปส่งคนป่วยนอกเมือง เรื่องนี้ถือเป็นความผิดอย่างนั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้น จ้องมองไปยังหัวหน้าหวังด้วยสายตาขี้เล่น

หัวหน้าหวังผู้นี้ถือเป็นคนที่มีความสามารถ แต่น่าเสียดายที่ได้เจอกับผู้ใต้บังคับบัญชาอันแสนโง่เขลา จับคนขึ้นมาโดยไม่ตรวจสอบ พวกเขาสมควรแค่โชคร้ายในครั้งนี้

วันนี้นางจะต้องจัดการกับองครักษ์เสื้อโลหิตให้ได้ ทำให้องครักษ์เสื้อโลหิตไม่สามารถเงยหน้ามองนางได้อีกต่อไป เปลี่ยนหัวข้อไปเรื่องตามหาซุนซือสิง แบบนี้ถึงทำให้นางสามารถจัดการกับจวนซุ่นหนิงโหวได้ บีบบังคับให้จวนซุ่นหนิงโหวเห็นด้วยในการเปิดโลงศพเพื่อชันสูตร

กล้าใส่ร้ายศิษย์ของนาง นางจะทำให้จวนซุ่นหนิงโหวโงหัวไม่ขึ้น ทำให้คุณหนูของจวนซุ่นหนิงโหวไม่สามารถแต่งงานได้อีกต่อไป……

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *