นางสนมแพทย์อัจฉริยะบทที่ 847 ขอโทษ ไม่ใช่เฟิ่งชิงเฉินคนเดิม

Now you are reading นางสนมแพทย์อัจฉริยะ Chapter บทที่ 847 ขอโทษ ไม่ใช่เฟิ่งชิงเฉินคนเดิม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 847 ขอโทษ ไม่ใช่เฟิ่งชิงเฉินคนเดิม

นอกจากอุจจาระและปัสสาวะ เฟิ่งชิงเฉินทำการตรวจสอบทุกอย่างที่สามารถทำได้ แต่ตรวจสอบอยู่ตั้งนาง นางกลับไม่พบปัญหาแต่อย่างใด นี่พิสูจน์ได้ว่าผลการตรวจของกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะนั้นถูกต้อง ร่างกายของหวังจิ่นหลิงไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด ผลการตรวจทุกอย่างเป็นปกติ

แต่ไม่มีปัญหา ทำไมถึงได้หมดสติอยู่เช่นนี้ ทำไมลดหายใจถึงได้อ่อนแอถึงเพียงนี้?

อาการป่วยของหวังจิ่นหลิงแทบทำให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นบ้า หากไม่ใช่เพราะการให้น้ำเกลือสามารถประทังชีวิตของหวังจิ่นหลิงเอาไว้ได้ เกรงว่าเฟิ่งชิงเฉินคงเป็นบ้าไปจริง ๆ

ยุ่งอยู่ทั้งวันทั้งคืน ไม่ว่าเจตจำนงของเฟิ่งชิงเฉินจะแข็งแกร่งเพียงใด นางก็ไม่สามารถทนไหว ไม่ใช่ว่านางเหนื่อย แต่เป็นเพราะนางหิว เนื่องจากนางไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน

หลังจากชะลอความเร็วของน้ำเกลือ เฟิ่งชิงเฉินเก็บของในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้อง เตรียมตัวออกไปทานข้าว นางไม่สามารถปล่อยให้ตนเองล้มป่วยก่อนที่จะรักษาอาการของหวังจิ่นหลิงหายได้

ก่อนออกไป เฟิ่งชิงเฉินสั่งให้สาวใช้ที่เป็นสายลับกลับเข้ามา ให้นางสังเกตอาการของหวังจิ่นหลิงเอาไว้ หากของเหลวในขวดใกล้จะหมด ให้ไปเรียกนาง หรือหากลมหายใจของหวังจิ่นหลิงไม่คงที่หรือฟื้นขึ้นมา จะต้องแจ้งให้นางทราบทันที

“เจ้าคะ” ไม่รู้ว่าสาวใช้เรียนรู้อย่างเชื่อฟังหรือมีนิสัยเช่นนั้นอยู่แล้ว สาวใช้หนึ่งคนเฝ้าดูอาการของหวังจิ่นหลิงอยู่ที่นี่ ส่วนอีกคนออกไปพร้อมกับเฟิ่งชิงเฉินเพื่อดูแลความปลอดภัยให้นาง

“แม่นางเฟิ่ง คุณชายใหญ่ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ทันทีที่คนรับใช้ของหวังจิ่นหลิงเห็นเฟิ่งชิงเฉินเดินออกมา เขารีบเข้ามาถาม แม้จะตื่นตระหนก แต่ก็ดูสงบกว่าตอนแรกเล็กน้อย

รอบตัวของหวังจิ่นหลิงไม่มีญาติพี่น้องอยู่เลยแม้แต่คนเดียว มันช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจยิ่งนัก แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินต้องกังวล เนื่องจากไม่ใช่ครอบครัวของผู้ป่วย เฟิ่งชิงเฉินไม่จำเป็นต้องเล่ารายละเอียด นางแค่กล่าวออกไปว่า “ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ยังหลับไม่ฟื้น”

ส่วนเรื่องที่ยังหาสาเหตุไม่ได้ เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้พูดมันออกไป เพียงแค่ถอนหายใจออกมาเท่านั้น

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของคนรับใช้เปลี่ยนไป ยื่นสั่นเทาอยู่ท่ามกลางลมหนาว “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ คุณชายใหญ่อยู่ดี ๆ ทำไมถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ไป เมื่อวานเขายังทานข้าวร่วมกับคุณท่าน และพูดคุยเป็นเพื่อนกับฮูหยิน ทำไมจู่ ๆ ถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้”

คนใช้เองก็เป็นห่วงหวังจิ่นหลิง ไม่ใช่ในฐานะของญาติพี่น้อง แต่เป็นฐานะของผู้รับใช้ เนื่องจากหากหวังจิ่นหลิงตายไป มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขา

ตอนนี้คนรับใช้รู้สึกเสียใจที่พาคุณชายใหญ่มาส่งยังจวนเฟิ่ง หากคุณชายใหญ่เสียชีวิตลงที่นี่ เกรงว่าเขาคงหนีความตายไม่พ้น

ควรจะบอกให้คนในตระกูลหวังรับรู้ดีหรือไม่ ให้คนในตระกูลไปเชิญหมอหลวง หรือไม่ก็ให้พวกเขามายังจวนเฟิ่งเพื่อเพิ่มความกดดันให้กับเฟิ่งชิงเฉิน?

คนรับใช้ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ความคิดผุดขึ้นมาในหัวของเขา และความมุ่งมั่นในใจก็พุ่งสูงขึ้น เขาต้องรีบกลับไปตามคนของตระกูลหวังมา ไม่อย่างนั้นหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณชายที่นี่ ครอบครัวของเขาคงไม่รอด

ตอนแรกเฟิ่งชิงเฉินอยากจะถามข้อมูลจากเขาให้มากกว่านี้ แต่ดูจากเวลานี้แล้วคงไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่ ดูจากท่าทางของคนรับใช้ ไม่ต้องคิดเฟิ่งชิงเฉินก็รู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

แม้ผู้รับใช้คนนี้จะเป็นคนเชื่อฟัง แต่ก็ไม่ซื่อสัตย์ถึงขนาดนั้น เฟิ่งชิงเฉินไม่เข้าใจว่าทำไมหวังจิ่นหลิงถึงสั่งให้คนเช่นนี้พาเขามาส่งยังจวนเฟิ่ง เขาไม่กลัวเกิดเรื่องขึ้นหรืออย่างไร และด้วยสภาพของหวังจิ่นหลิงในตอนนี้ คิดจะสังหารเขามันไม่ใช่เรื่องยาก

โชคดีที่หวังจิ่นหลิงมาถึงจวนของนางแล้ว และไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องปกป้องจิ่นหลิงไว้ให้ได้ และจากสภาพของหวังจิ่นหลิงในตอนนี้ ให้พากลับไปยังตระกูลหวังก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น นางไม่ลืมเรื่องที่หวังจิ่นหลิงเล่าให้นางฟังบนรถม้า เรื่องที่เขาถูกพิษ และเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถม้า

มีคนในตระกูลหวังต้องการฆ่าหวังจิ่นหลิง จะปล่อยให้คนรับใช้ผู้นี้กลับไปรายงานแก่ตระกูลหวังไม่ได้เป็นอันขาด

ก่อนจากไป เฟิ่งชิงเฉินส่งสายตาให้องครักษ์ ให้พวกเขาจับตาดูคนรับใช้ผู้นี้เอาไว้ หากจำเป็นก็ลงมือได้ทุกเมื่อ ก่อนที่หวังจิ่นหลิงจะฟื้นขึ้นมา ห้ามปล่อยให้คนผู้นี้ออกไปจากจวนเฟิ่งเป็นอันขาด

องครักษ์แอบพยักหน้า ห้ามไม่ให้คนของตระกูลหวังเข้ามาในจวนพวกเขาอาจทำไม่ได้ แต่ห้ามไม่ให้ผู้รับใช้คนนี้ออกไปจากจวน มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับพวกเขา จวนเฟิ่งไม่ใช่โรงเตี๊ยมหรือร้านอาหารที่สามารถเข้าออกได้ทุกเวลาตามความต้องการ

หลังจากมอบหมายภารกิจ เฟิ่งชิงเฉินเข้าไปทานอาหาร เวลานี้นางหิวมากจนรู้สึกแสบท้อง

ชุนฮุ่ย ชิวฮว่าพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสดงออกมาให้เฟิ่งชิงเฉินเห็น ตั้งแต่เมื่อคืน พวกนางคอยเฝ้าอยู่ตลอด เมื่อเหนื่อยก็เปลี่ยนผลัดกัน เฝ้ามองสถานการณ์ในกระท่อม หากเฟิ่งชิงเฉินออกมา พวกนางจะเข้าไปในปรนนิบัติในทันที

สอดเสื้อผ้าสกปรกออก จากนั้นเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสะอาด นำผ้าเช็ดหน้าอุ่น ๆ ขึ้นมาทำความสะอาดใบหน้าให้เฟิ่งชิงเฉิน จากนั้นยื่นถ้วยชาเพื่อบำรุงสุขภาพ ทำให้จิตวิญญาณของเฟิ่งชิงเฉินฟื้นฟูขึ้นเล็กน้อย

ห้องครัวได้เตรียมอาหารบำรุงสุขภาพไว้ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เฟิ่งชิงเฉินเดินออกมาจากกระท่อม พวกนางก็เดินตามหลังและจัดเตรียมอาหารพร้อมให้บริการ

อาหารร้อน ๆ เข้าไปในกระเพาะ เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่เพิ่มขึ้นในร่างกาย หลังจากดื่มซุปไก่เข้าไป ความเหนื่อยล้าสะสมของนางหลายไปเป็นปลิดทิ้ง ร่างกายของนางฟื้นฟูกลับมาอย่างสมบูรณ์

“ช่างดีเหลือเกิน การที่มีคนคอยปรนนิบัติช่างเป็นความสุขอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ หากย้อนกลับไปในวันที่ข้าต้องทำอาหารหลังออกมาจากห้องฉุกเฉิน ข้าคงร้องไห้” เฟิ่งชิงเฉินมองหาสิ่งที่ทำให้นางโล่งใจภายใต้แรงกดดันมหาศาล

อาการป่วยของหวังจิ่นหลิงไม่ใช่สิ่งที่นางเอาแต่หมกมุ่นอยู่ในห้องทำงานแล้วจะสามารถหาสาเหตุออกมาได้ นางต้องลดความกดดันลง จากนั้นค่อยคิดหาวิธีและสาเหตุอาการป่วยของหวังจิ่นหลิง

เนื่องจากยังมีผู้ป่วยรออยู่ เฟิ่งชิงเฉินจึงรีบทานอาหารมื้อนี้อย่างรวดเร็ว ทานอาหารอย่างมูมมาม โดยไม่สนว่าท้องของนางจะรับไหวหรือไม่

นางไม่สามารถทิ้งคนไข้ไว้บนเตียงโดยที่ตนเองออกมาทานอาหารได้ ดังนั้นโดยปกติเวลานางทำการผ่าตัด นางจะไม่ทานอาหารเป็นเวลาสิบกว่าชั่วโมง เนื่องจากเวลาอยู่ในสนามรบ เมื่อพบเจอกับเหตุความรุนแรง มีผู้บาดเจ็บมากมาย ทำให้ไม่สามารถรับประทานอาหารแบบปกติได้

แพทย์สนามอย่างน้อย 6 ใน 10 คนมีปัญหาทางด้านกระเพาะอาหาร เฟิ่งชิงเฉินโชคร้ายที่เป็นหนึ่งในหกคนนั้น เมื่ออาการปวดท้องแสดงออกมา เหงื่อจะไหลหยุดไหล อาการปวดท้องรุนแรงชัดเจน แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ยังคงอดทนกับมันต่อไป

แต่ผู้มีสุขภาพร่างกายดี ในช่วงเริ่มต้นของการทำพฤติกรรมดังกล่าว ต่อให้มีปัญหาในกระเพาะอาหารเล็กน้อย แต่มันก็จะไม่แสดงออกมาเนื่องจากยังเป็นวัยรุ่น ส่วนเมื่ออายุมากขึ้นแล้วมันจะทรมานหรือไม่ เรื่องนี้เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ใส่ใจ

หลังจากทานอาหารเสร็จก็รู้สึกได้ถึงเรี่ยวแรงที่กลับมา เฟิ่งชิงเฉินเทน้ำหนึ่งแก้ว เดินกลับไปทำงาน ในตอนที่ลุกขึ้น สาวใช้นำชุดผ่าตัดที่สะอาดเข้ามาสวมให้กับเฟิ่งชิงเฉิน

มองเห็นร่างอันผอมบางของเฟิ่งชิงเฉินเดินเข้าไปในเงามืด แม้ชุนฮุ่ย และพวกของชิวฮว่าจะรู้สึกปวดใจ แต่พวกนางก็ทำได้แค่รู้สึกเป็นห่วง พวกนางรู้ดีว่านายหญิงของพวกนางเป็นคนมีความคิด สิ่งซึ่งนายหญิงของพวกนางตัดสินใจไปแล้วไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้

เฟิ่งชิงเฉินคิดว่าน้ำเกลือของหวังจิ่นหลิงคงไม่ได้หมดเร็วขนาดนั้น นางจึงเดินไปหาซีหลิงเทียนอวี่ ซีหลิงเทียนอวี่เองก็หมดสติไปได้หกชั่วโมงแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่เขาควรจะฟื้นขึ้นมา เนื่องจากนางมีบางสิ่งบางอย่างอยากจะบอกกับเขาเอาไว้ นางไม่อยากตื่นขึ้นมาใช้ห้องฉุกเฉินยามดึกเพราะการทำร้ายตัวเองของใครบางคนเช่นนี้

ในความจริง ซีหลิงเทียนอวี่ฟื้นมาตั้งนานแล้ว และเขาได้ทานอาหารเข้าไปบ้างแล้ว แต่เมื่อซีหลิงเทียนอวี่รู้ว่าทำไมตนเองถึงได้รับบาดเจ็บ เขาก็รู้สึกขายหน้าขึ้นมา ไม่อนุญาตให้คนรับใช้ของเขาไปตามเฟิ่งชิงเฉิน และเนื่องจากอาการบาดเจ็บที่ขาของเขา ทำให้ตัวตนของเฟิ่งชิงเฉินถูกเปิดเผย เขารู้สึกผิดกับเฟิ่งชิงเฉิน หากไม่ใช่เพราะขาของเขายังใช้การไม่ได้ เขาคงเดินหนีออกไปแล้ว

ในใจยังคงคิดถึงเรื่องดังกล่าว แต่ซีหลิงเทียนอวี่ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า เฟิ่งชิงเฉินสัมผัสไม่ได้ถึงความอับอายของซีหลิงเทียนอวี่ เมื่อเห็นซีหลิงเทียนอวี่ฟื้นขึ้นมาแล้ว นางจึงถามออกมาว่า “เฮ้ ตื่นขึ้นมาแล้วทำไมถึงไม่ให้คนไปแจ้งข้า”

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังยุ่งอยู่จึงไม่อยากรบกวนเจ้า องค์ชายใหญ่ของตระกูลหวังเป็นอย่างไรบ้าง?” ซีหลิงเทียนอวี่กล่าวออกมาอย่างผ่อนคลาย

เมื่อเห็นชุดสีขาวประกอบกับมือทั้งสองข้างที่กำลังล้วงกระเป๋าของเฟิ่งชิงเฉิน ดวงตาของซีหลิงเทียนอวี่รู้สึกสว่างขึ้น การแต่งกายของเฟิ่งชิงเฉินช่างมีรสชาติ แค่มองเพียงอย่างเดียวก็ทำให้เขารู้สึกเพลิดเพลิน

ส่วนเป็นรสชาติอะไรนั้น ตอนนี้ซีหลิงเทียนอวี่เองก็ยังคิดคำศัพท์ที่เหมาะสมออกมาไม่ได้ แน่นอนว่าเขาเองก็อยากสวมชุดเหมือนนาง ต้องรู้ว่าเครื่องแบบที่เฟิ่งชิงเฉินสวมใส่ช่างดูยั่วยวน ประกอบกับความเข้มงวดและท่าทางอันเย่อหยิ่งของนาง มันทำให้ดึงดูดความรู้สึกทางเพศ ทำให้ผู้คนอยากจะเข้าไปทำลายล้าง

“ไม่ค่อยดีนัก ยังคงไม่ฟื้นขึ้นมา ข้ายังมองหาสาเหตุการป่วยของเขาอยู่” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ปิดยัง ซีหลิงเทียนอวี่กับหวังจิ่นหลิงไม่ได้มีผลได้ผลเสียอะไรต่อกัน บอกเขาไปก็ไม่ได้เสียหาย

“หาสาเหตุไปพบ เป็นไปได้ไหมว่าถูกพิษ?” เนื่องจากพิการและจมปลักอยู่กับอาการป่วยมานาน ซีหลิงเทียนอวี่จึงพอเข้าใจบ้างเล็กน้อย

“มีความเป็นไปได้น้อยมาก เนื่องจากไม่มีร่องรอยของพิษอยู่เลย” เฟิ่งชิงเฉินเดินเข้ามาเพื่อตรวจสอบอาการ นางไม่อยากพูดอะไรเกี่ยวกับอาการป่วยของหวังจิ่นหลิงมากนัก หยิบเครื่องวัดอุณหภูมิมาจากหัวเตียง เขย่าสองครั้ง จากนั้นยื่นให้กับซีหลิงเทียนอวี่ “วางไว้ใต้รักแร้”

“อ่า” ซีหลิงเทียนอวี่เป็นคนฉลาด แม้ไม่เข้าใจว่าของสิ่งนี้มีไว้เพื่ออะไร แต่เขาก็รู้ว่าเขาไม่ควรถามอะไรไปมากกว่านี้ แค่ให้ความร่วมมือแต่โดยดี

หลังจากทักทายกันอย่างเรียบง่าย ความเงียบก็เข้ามาปกคลุมในห้อง เฟิ่งชิงเฉินจึงลงมือตรวจสอบบาดแผลของซีหลิงเทียนอวี่

ซีหลิงเทียนอวี่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดี มองไปที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยความไม่สบายใจในสายตา ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดออกไปว่า “ชิงเฉิน เรื่องเมื่อวานนี้ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย ข้ารู้ว่าข้าสร้างปัญหาให้กับเจ้าไม่น้อย แต่เจ้าวางใจ ข้าได้ส่งให้คนไปจัดการแล้ว พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อปกปิดเรื่องนี้เอาไว้”

ซีหลิงเทียนอวี่แอบคิดในใจ มีเสด็จอาเก้าคอยให้ความช่วยเหลือ เรื่องนี้คงจัดการได้ไม่ยากจนเกินไปถึงจะถูก หากซีหลิงเทียนอวี่รู้ว่าเมื่อวานนี้ รอบจวนเฟิ่งมีคนเสียชีวิตไปมากแค่ไหนเขาก็จะรู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เขาคิด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอันตรายทั้งหมดจะถูกขจัดไป หากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายมันจะนำพาปัญหาอันยิ่งใหญ่มาสู่เฟิ่งชิงเฉิน

โลกนี้มีคนไข้อยู่มากมาย รวมถึงคนพิการที่ไม่สามารถรักษาได้

ใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเข้าใจคำพูดของซีหลิงเทียนอวี่ นางผงะเล็กน้อย จากนั้นกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “เป็นเรื่อง ไม่ช้าก็เร็ว เรื่องนี้ก็ต้องมีคนรู้ เมื่อมีคนรู้ ความลับก็ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป”

นางเคยรู้สึกหวาดกลัวมาก่อน แต่หลังจากที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย นางก็เข้าใจได้ว่าความกังวลนั้นไร้ซึ่งประโยชน์ นางในตอนนี้ไม่ใช่ว่าจะไร้ซึ่งความสามารถในการป้องกันตนเอง หากคิดจะใช้นางเป็นเครื่องมือ ก็ต้องดูก่อนว่าเจ้ามีความสามารถนั้นอยู่หรือไม่

แม้แต่พันธมิตรนักฆ่านางยังเคยมีปัญหามาแล้ว มากกว่านั้นอีกสักคนนางจะต้องไปกลัวอะไร

“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นเพราะคนของข้าจัดการได้ไม่ดีพอ ถือว่าข้าติดหนี้บุญคุณต่อเจ้า” คำพูดของเฟิ่งชิงเฉินทำให้ซีหลิงเทียนอวี่รู้สึกสบายใจ เนื่องจากหากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้เฟิ่งชิงเฉินตกอยู่ในอันตราย เสด็จอาเก้าไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน

เฟิ่งชิงเฉินยิ้มออกมาแต่ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด บุญคุณขององค์ชายแห่งซีหลิงไม่ใช่เรื่องธรรมดา ล่าสุดนางมอบขาเทียมให้แก่เขา แต่ความดีความชอบทั้งหมดตกไปเป็นของเสด็จอาเก้า แม้แต่ค่าตอบแทนนางยังไม่ได้ แต่ครั้งนี้ในที่สุดนางก็ได้มันกลับคืนมา

“นำมันออกมาให้ข้า” หลังจากเฟิ่งชิงเฉินตรวจสอบบาดแผลของซีหลิงเทียนอวี่เป็นอันเรียบร้อย นางพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็เดินไปข้างเตียงของเขา บอกให้เขานำที่วัดอุณหภูมิออกมา……

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *