นางสนมแพทย์อัจฉริยะบทที่ 497 ไม่ยุติธรรม ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ได้

Now you are reading นางสนมแพทย์อัจฉริยะ Chapter บทที่ 497 ไม่ยุติธรรม ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ได้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 497 ไม่ยุติธรรม ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ได้
ความผิดปกติไปของซูหว่านทำให้เฟิ่งชิงเฉินไม่อาจละเลยได้ เนื่องจากการแข่งขันในวันนี้ไม่ใช่สิ่งที่ซูหว่านถนัด แต่นางกลับไม่ตื่นตระหนกแต่อย่างใด เมื่อเผชิญหน้ากับการกระทำทุกอย่างของเฟิ่งชิงเฉินนางกลับยังคงรับเอาไว้ได้ด้วยท่าทางสง่างาม ดุจดั่งสตรีขั้นสูง เรื่องนี้ดูเหมือนจะผิดปกติไป

ต้องรู้ว่าสำหรับการปฏิบัติต่อเฟิ่งชิงเฉินแล้ว ซูหว่านไม่ได้มีทีท่าสงบเสงี่ยมดุจดั่งสตรีที่มีมารยาท เรื่องใดก็ตามแต่ซึ่งผิดปกติไปรับรองว่าจะต้องมีความลับซ่อนอยู่ เฟิ่งชิงเฉินแอบเตือนตนเองให้ระมัดระวัง อย่าได้ตกในหลุมพรางของหนานหลิงจิ่นฝานและซูหว่าน

หากว่าซูหว่านไม่มั่นใจว่าจะชนะในการแข่งขันครั้งนี้ ก็คงจะเป็นเพราะไม่ใส่ใจกับการพ่ายแพ้ นางพ่ายแพ้มาถึงสามสนามติดต่อกัน ชื่อเสียงของซูหว่านแพร่ออกไปมากมาย และนางจะแพ้ไม่ได้ เฟิ่งชิงเฉินเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะเป็นเพราะประการแรกมากกว่า ซูหว่านจะไม่ยอมแพ้ให้แก่นางง่ายๆ แน่ แต่ซูหว่านน่าจะกำลังมีความสุขเนื่องจากนางจะชนะตนได้ในการแข่งขันที่ตนถนัด

เฟิ่งชิงเฉินกะพริบตาเบาๆ ก่อนจะซ่อนความคิดอันลึกล้ำเหล่านี้ลงไปแล้วหันไปเหลือบมองผู้คนมากมายที่นั่งอยู่ตรงนั้น แต่ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นั่น ล้วนเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถขั้นสูง ประกอบกับความสามารถของเฟิ่งชิงเฉินใช่ว่าจะวิเคราะห์ออกมาผิดได้ง่ายๆ ดังนั้นจึงไม่น่าจะเกิดปัญหาขึ้นได้อย่างง่ายดาย

องค์รัชทายาทไม่พึงพอใจต่อท่าทางของหนานหลิงจิ่นฝาน แต่องค์รัชทายาทก็รู้ดีว่าการที่จะวิวาทกับหนานหลิงจิ่นฝานจะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ ด้วยเหตุนี้จึงเสแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและไม่เข้าใจคำพูดของหนานหลิงจิ่นฝาน เขาหันไปโบกมือให้ขันทีส่งสลากไปตรงหน้าเฟิ่งชิงเฉินและซูหว่าน “คุณหนูซูหว่าน ผู้ใดเดินทางมาล้วนเป็นแขก เราขอเชิญให้คุณหนูซูหว่านได้จับฉลากก่อน”

ขันทีเดินตรงไปอย่างนอบน้อมหยุดอยู่ตรงหน้าซูหว่าน ความรู้สึกไม่สบายใจของเฟิ่งชิงเฉินรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลบางประการนางสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไปแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด

เฟิ่งชิงเฉินเหลือบมองดูทุกการกระทำของขันทีซึ่งทำให้นางไม่ทันได้เห็นแววตาอันเป็นประกายเจ้าเล่ห์ของหนานหลิงจิ่นฝานที่ปรากฏขึ้น

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ซูหว่านลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง นางไม่แม้แต่จะเหลือบตามองก็เอื้อมมือไปหยิบสลากใบหนึ่งออกมา “หมายเลขแปด”

หมายเลขแปด คือสตรีนางหนึ่งที่มีหน้าซีดเผือด ดูไม่มีชีวิตชีวาแม้แต่น้อย เพียงแค่ดูสีหน้าก็รู้ได้ว่าอาการไม่เบา แต่เฟิ่งชิงเฉินดูเหมือนจะเห็นแววตาของผู้ป่วยนั้นได้อย่างชัดเจน อาการเจ็บป่วยแท้จริงของสตรีหมายเลขแปดนี่ไม่ได้หนักหนาดั่งที่นางแสดงออกมา

หากกล่าวว่าการที่ซูหว่านจับได้หมายเลขแปดเป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นเพราะโชคชะตาล่ะก็ เช่นนั้นเรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินจับได้หมายเลขเก้าซึ่งเป็น เด็กหนุ่มผู้ที่มีสีหน้าแดงก่ำแลดูอิ่มเอิบ แต่ดวงตากลับดูหมองคล้ำราวกับชีวิตหมดสิ้นความหวัง คงไม่อาจจะใช้คำว่าโชคชะตาหรือความบังเอิญมาอธิบายในเรื่องนี้ได้

นางหันป้ายในมือที่จับสลากได้เมื่อครู่ไปทางหนานหลิงจิ่นฝาน และสบตากับเขาด้วยท่าทางอันสงบนิ่งแต่แฝงไปด้วยรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ นางต้องการจะบอกกับหนานหลิงจิ่นฝานว่านางรู้ดีถึงกลอุบายในเรื่องนี้ แต่ไม่เป็นไรข้าสามารถยอมแพ้ได้อย่างใจกว้างขวาง

ไม่ใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินมักจะคิดถึงเรื่องต่างๆ ในด้านลบ แต่ในโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญเช่นนั้นเกิดขึ้นหรอก ภายในสิบคนของผู้ป่วย ซูหว่านจับได้ผู้ที่มีสีหน้าซีดเผือดที่สุด และเฟิ่งชิงเฉินกลับจับได้ผู้ที่ดูสีหน้าปกติที่สุด ให้ตายสิ!

ไม่ใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินเลือกผู้ป่วย แต่หมอก็คือหมอ นางอาจจะเข้าไปต่อสู้กับมัจจุราชก่อนที่คนไข้จะจากไปได้ แต่ก็ใช่ว่าทุกครั้งนางจะสามารถเอาชนะเทพแห่งความตายได้เช่นนั้น

ไม่ว่านางจะชนะหรือแพ้ นางก็จำเป็นจะต้องรับผิดชอบต่อผู้ป่วยของตน นางจะไม่ผลักไสผู้ป่วยของตนไปอย่างแน่นอน นางไม่ใช่เทพเจ้านางไม่อาจจะรับประกันได้ว่าผู้ป่วยทุกคนจะรอดชีวิต แต่นางจะทำได้เพียงสัญญาว่าจะรักษาคนไข้ของตนอย่างสุดกำลัง

เมื่อเผชิญหน้ากับดวงตาอันเฉียบคมของเฟิ่งชิงเฉิน หนานหลิงจิ่นฝานก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อยไปชั่วขณะ และรู้สึกว่าตนเป็นดั่งเช่นตัวตลก เดิมที เขารู้สึกภาคภูมิใจและคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินจะโกรธโมโหจนบ้าคลั่ง แต่คิดไม่ถึงว่านางจะรู้อยู่ก่อนหน้าแล้ว ทว่าถึงอย่างไรหนานหลิงจิ่นฝานก็คือหนานหลิงจิ่นฝาน เพียงชั่วพริบตาเดียวเขาก็หันกลับไปยิ้มให้กับทางเฟิ่งชิงเฉินราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

เฟิ่งชิงเฉินรู้แล้วอย่างไรเล่า? นางไม่มีความสามารถในการตรวจสอบเรื่องนี้หรอก ส่วนผู้ที่มีความสามารถเพียงพอบัดนี้กลับกำลังป่วยหนัก หนานหลิงจิ่นฝานรู้สึกขอบคุณเสด็จอาเก้าที่ป่วยหนักเหลือเกิน ทำให้เขามีช่องว่างเพียงพอที่จะสอดแทรกคนของเขาเข้าไปจัดการในเรื่องนี้

“บัดนี้ทั้งสองฝ่ายได้ทำการเลือกผู้ป่วยเรียบร้อยแล้ว คนอื่นจงออกไปเถิด การรักษาผู้ป่วยหาใช่ว่าวันสองวันจะหายได้ ตามกฎของการแข่งขันทักษะการรักษาผู้ป่วยแล้วนั้น มีเวลาให้ทั้งสองคนสิบห้าวัน และภายในสิบห้าวันนี้ คุณหนูทั้งสองจะได้รับสิทธิเช่นเดียวกับหมอหลวง ซึ่งสามารถเข้าออกสำนักหมอหลวงได้”

“ผู้ป่วยทั้งสองคนนี้จะได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษจากองครักษ์ คุณหนูทั้งสองสามารถเข้าไปในวังเพื่อรักษาพวกเขาได้ตลอดเวลา ระหว่างการรักษาข้า ลั่วอ๋อง องค์ชายสามและองค์รัชทายาทเหล่ยจะทำการผลัดเปลี่ยนกันติดตามคุณหนูทั้งสอง หากว่าคุณหนูท่านใดสามารถรักษาผู้ป่วยให้หายเป็นปกติได้ก่อน คุณหนูผู้นั้นจะนับว่าได้รับชัยชนะในการแข่งครั้งนี้ แน่นอนว่าหากเวลาผ่านไปถึงสิบห้าวันแล้วผู้ป่วยของคุณหนูทั้งสองยังไม่หายจากอาการเจ็บป่วย การแข่งขันก็จะยืดเวลาออกไปจนกระทั่งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรักษาหายก่อนนับว่าเป็นผู้ชนะ” องค์รัชทายาทอ่านกฎที่กำหนดไว้ก่อนหน้าด้วยท่าทางสงบ

กฎเกณฑ์นี้ค่อนข้างไม่ยุติธรรมต่อเฟิ่งชิงเฉินเลย ซูหว่านสามารถให้คนของนางซึ่งอยู่เบื้องหลังดำเนินการเรื่องนี้ได้โดยสมบูรณ์ โดยที่ตนเองไม่ต้องแตะต้องลงมือเสียด้วยซ้ำ แต่นางก็สามารถชนะได้อย่างเด็ดขาด

แต่ในขณะนั้นเนื่องจากว่าเฟิ่งชิงเฉินรู้จักทักษะด้านการรักษา จึงได้เสนอการทดสอบทักษะนี้ออกมา ต่อให้กดการแข่งขันจะลำเอียงโอนเอนไปด้านของซูหว่านก็ไม่มีผู้ใดกล่าวมากความ และตัวเฟิ่งชิงเฉินเองยิ่งไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ หากตอนนี้นางเสนอกฎเกณฑ์หรือขัดแย้งขึ้นจะไม่เท่ากับเป็นการตบหน้าตนเองหรือ?

“ข้าไม่มีข้อคิดเห็นใด” เฟิ่งชิงเฉินรีบตอบก่อน “ตุ๊บ……!” จากนั้นนางก็โยนแท่งไม้ไผ่ที่จับสลากเมื่อครู่ใส่ลงไปในกล่องดังเดิม ท่าทางของนางดูหยิ่งผยอง แต่กลับไม่มีผู้ใดกล่าวกล้าที่จะกล่าวขัดแย้งหรือตำหนินาง

หนานหลิงจิ่นฝานหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วกระตุกริมฝีปากขึ้นเบาๆ เฟิ่งชิงเฉินช่างเป็นผู้ที่มีความกล้าหาญเสียจริง ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าตนกำลังวางแผนจัดการนางอยู่ แต่ยังสามารถตอบรับได้อย่างเย่อหยิ่งเพียงนี้ นับว่านางมีการแสดงออกที่โดดเด่นมากทีเดียว

องค์จักรพรรดิไม่อยู่ ช่างเป็นอิสระอย่างแท้จริง!

“ข้าก็ไม่มีความคิดเห็นเช่นกัน” ซูหว่านยิ้มออกมาด้วยท่าทางพออกพอใจ การแข่งขันยังไม่ได้ดำเนินไปเสียด้วยซ้ำ แต่ว่านางก็ดูเหมือนจะคุมสถานการณ์โดยรวมได้

ผู้ที่ไม่รู้เบื้องหลังตื้นลึกหนาบาง คงคิดว่าซูหว่านได้รับการอบรมมาอย่างดีจากตระกูล ทำให้นางไม่ตื่นตระหนก แต่เฟิ่งชิงเฉินผู้ที่เข้าใจเบื้องหลังเรื่องนี้ดี เนื่องจากว่าอีกฝ่ายกุมชัยชนะเอาไว้ในมือ สตรีหมายเลขแปดอาการเจ็บป่วยของเขาดูเหมือนจะเป็นเช่นเดียวกันกับเสด็จอาเก้า เพียงแค่ต้องการก็สามารถหายได้ในทุกนาที ส่วนคนไข้ของนางนั้นจะเป็นโรคร้ายหรือไม่ยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ นางรับประกันว่าภายในระยะเวลาสิบห้าวันคงไม่อาจรักษาหายได้อย่างแน่นอน

“ในเมื่อทั้งคุณหนูซูหว่านและเฟิ่งชิงเฉินไม่มีความคิดเห็นใด บัดนี้ทั้งสองสามารถเริ่มทำการรักษาผู้ป่วยของตนได้ แน่นอนว่าพวกเจ้าจะมีเวลาเพียงสิบห้านาทีเท่านั้นในการวินิจฉัยโรค” การแข่งขันทักษะทางการแพทย์ใช้เวลาถึงสิบห้าวัน บรรดาองค์รัชทายาทและคนอื่นๆ ไม่มีเวลามากพอที่จะมาเสียเวลาอยู่กับเฟิ่งชิงเฉินและซูหว่านทั้งวันที่นี่ นอกจากวันนี้แล้วพวกเขาทั้งสี่จะผลัดกันมาติดตามทั้งสองคนเข้าไปในวังเพื่อจับตามองการแข่งขันและตัดสินแพ้ชนะ

เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินตรงไปหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มหมายเลขเก้า ก่อนจะหยิบหน้ากากอนามัยและถุงมือออกมาสวมใส่ แล้วกระแอมออกมา “แค่กๆ……” เด็กหนุ่มผู้นี้มองไม่ออกว่าเป็นโรคอะไร แต่เพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยและของตนเองเฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่านางจำเป็นต้องใส่ใจกับสุขอนามัยเพราะเชื้อโรคเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น

“เจ้าชื่อว่าอะไร?” เฟิ่งชิงเฉินพลางสวมถุงมือและเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงอันดูเย็นชาไร้อารมณ์ ดูเหมือนว่านางกำลังทำเรื่องจริงจังบางอย่าง

“เรื่องนี้เกี่ยวข้องอันใดกับการรักษาโรคของเจ้า?” เห็นได้ชัดว่าหมายเลขเก้าผู้นี้ไม่ใช่คนที่มีนิสัยอ่อนน้อม ต่อให้อยู่ต่อหน้าองค์รัชทายาทและคนอื่นๆ เขาก็ไม่ไว้หน้าเฟิ่งชิงเฉิน

“เจ้าคือคนไข้ของข้า การมอบชีวิตและสุขภาพที่ดีของเจ้าให้แก่ข้านั้นเจ้าจำเป็นจะต้องเชื่อใจข้า และต้องเชื่อใจข้าเท่านั้นข้าจึงจะสามารถรักษาเจ้าให้หายได้ ผู้ป่วยไม่มีคุณสมบัติที่จะเลือกจะเชื่อหรือไม่เชื่อหมอของเขา ในขณะเดียวกันหมอก็คงไม่เต็มใจรักษาคนไข้ที่ไม่เชื่อใจตนเอง”

หากผู้ป่วยไม่เชื่อหมอแล้วจะให้ความร่วมมือกับการรักษาได้อย่างไร คนไข้ที่ไม่ให้ความร่วมมือ ต่อให้จะพบเข้ากับเทพเจ้าก็ไร้ประโยชน์ อีกอย่างนางก็ไม่ใช่พระเจ้า

ดวงตาของเด็กหนุ่มฉายประกายออกมา ขนตาเรียวยาวของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะจ้องมองไปทางเฟิ่งชิงเฉินด้วยท่าทางจริงจังและเคร่งขรึมว่า “ข้าไม่อาจบอกเจ้าได้ว่าค่าแซ่อะไร แต่ข้าสามารถบอกชื่อกับเจ้าใดค่าชื่อห้าวถิง”

“เอาละห้าวถิง ข้าจำได้แล้ว” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า นางสัมผัสได้ว่าเด็กหนุ่มผู้ที่ชื่อห้าวถิงไม่ธรรมดา

แท้จริงแล้วผู้ป่วยที่ทางสำนักหมอหลวงเลือกมาทั้งสิบคนล้วนไม่ธรรมดา เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ต้องการที่จะสอบถามเกี่ยวกับตัวตนของพวกเขานางเพียงต้องการทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างหมอและผู้ป่วยเข้ากันได้ดี และสร้างความไว้วางใจขั้นพื้นฐานระหว่างกันเท่านั้น……

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *