นางสนมแพทย์อัจฉริยะบทที่ 345 ถุงหอม หัวใจของนางที่ได้รับความเจ็บปวด

Now you are reading นางสนมแพทย์อัจฉริยะ Chapter บทที่ 345 ถุงหอม หัวใจของนางที่ได้รับความเจ็บปวด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 345 ถุงหอม หัวใจของนางที่ได้รับความเจ็บปวด
เพียงแค่ทงจือและทงเหยาได้สติกลับมา พลันจะวิ่งตามเฟิ่งชิงเฉินวิ่งเข้าไปในกองเพลิง จู่ๆ ประตูเรือนก็พลันตกลงมาทับในทันที สาวใช้ทั้งสองต่างก็ตื่นตระหนกยิ่งนัก สุดท้ายแล้ว พวกนางก็ได้แต่เห็นหลังไว ๆ ของเฟิ่งชิงเฉินที่วิ่งเข้าไปในกองเพลิงแทน
สาวใช้ทั้งสองได้แต่ตะโกนตามหลังอย่างสุดเสียง “คุณหนู”
เฟิ่งชิงเฉินพลันหยุดฝีเท้าลง พร้อมกับเอียงหน้ามองมา ใบหน้าที่อยู่ภายใต้กองเพลิงนั้น กลับงดงามราวกับดอกกุหลาบที่กำลังผลิบานด้วยความกรุ่นโกรธในกองเพลิง “ไม่ต้องห่วงข้า พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าจะตามพวกเจ้าออกไปเอง”
พูดจบ เฟิ่งชิงเฉินก็วิ่งเข้ากองเพลิงไปโดยไม่หันกลับมามองพวกนางอีกเลย ทั้งคานไม้และเสาไม้ ต่างพากันค่อย ๆ ร่วงหล่นลงมา เฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ ราวกับนักรบผู้กล้าหาญที่ตกอยู่ในกองเพลิงก็ไม่ปาน นางวิ่งเข้าไปโดยไม้สนแม้แต่สิ่งกีดขวางที่อยู่เบื้องหน้า นางเอาแต่มุ่งหน้าเข้าไปด้านในเท่านั้น
สาวใช้ที่ได้แต่มองตามหลัง ในยามนี้หัวใจของพวกนางราวกับตกลงไปบนตาตุ่มยิ่งนัก ทว่า ร่างกายของเฟิ่งชิงเฉินแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แม้ว่านางจะตกอยู่ในกองเพลิง แต่นางก็รู้จักวิธีหลบหลีกสิ่งอันตรายได้เป็นอย่างดีราวกับรับรู้ได้ล่วงหน้า
ช่างน่าขันยิ่งนัก หากนางวิ่งไปมาทั่วกองเพลิงเช่นนี้ แล้วไม่รู้จักหลบหลีกอันตรายละก็ นางคงตายไปนับพันครั้งได้แล้วกระมัง
“คุณหนู อย่านะเจ้าคะ” สาวใช้ทั้งสองพลันกัดไฟวิ่งเข้าไป โดยไม่สนสิ่งใดในทันที ทว่า กลับถูกหลี่ซุนเอ่ยห้ามขึ้นมาเสียก่อน “แค่ก แค่ก พวกเจ้าทั้งสองคนไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร เหตุใดยังไม่หนีออกไปอีก”
ใบหน้าของหลี่ซุนพลันแดงเป็นปื้นเนื่องจากถูกไอความร้อนจากกองเพลิง ในยามนี้ทั่วทั้งจวนเฟิ่งต่างถูกเพลิงไหม้ล้อมรอบเอาไว้หมดแล้ว การจะดับเพลิงไหม้นั้น เกรงว่าจะเป็นไปได้ยากยิ่งนัก ในยามนี้ สิ่งที่สำคัญคือต้องช่วยผู้คนออกมาให้ได้มากที่สุด
“ไม่ได้ พวกข้าไปไม่ได้ คุณหนู คุณหนูยังอยู่ด้านใน” สาวใช้ทั้งสองพลันกระโดดไปมาด้วยความร้อนรน หลี่ซุนเพียงขมวดคิ้วลงเล็กน้อย พร้อมกับออกคำสั่งเสียงเข้มออกมาว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าจะเข้าไปช่วยเฟิ่งซิ่วเอง”
หลี่ซุนพลันหันไปหยิบถังน้ำที่นายทหารนำมาให้ พร้อมกับเทราดตัวไปในทันที “ทีนี้ พวกเจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไปพาเฟิ่งซิ่วออกมา”
พูดจบ หลี่ซุนพลันมุ่งหน้าเข้าไปในกองเพลิงในทันที
ทงจือและทงเหยาเองหาได้มีท่าทีลังเลอันใดไม่ พร้อมกับวิ่งตามเข้าไปด้านใน ที่มีเพลิงไหม้ลุกลามราวกับกำลังจะเผาไหม้พวกนางทั้งเป็น ยามที่หลี่ซุนรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวที่ด้านหลังของเขานั้น พลันพบว่าเป็นทงจือกับทงเหยาเช่นเดิม เขาพลันโกรธจนเลือดขึ้นหน้าในทันที “พวกเจ้าเข้ามาทำไมกัน? พวกเจ้าสามารถอุ้มเฟิ่งซิ่วหนีออกมาจากกองเพลิงนี้ได้หรืออย่างไร?”
จู่ ๆ ทั้งทงจือและทงเหยาต่างก็พากันนึกขึ้นมาได้ว่า ผู้คนภายนอกยังคิดว่าเฟิ่งซิ่วนอนสลบไสลมิได้สติอยู่ “พวกข้าคือสาวใช้ หากคุณหนูต้องมาตายอยู่ในกองเพลิงด้านใน พวกข้าก็ต้องตายตามคุณหนูไปเช่นกัน”
สาวใช้ทั้งสองไม่พูดอันใดให้มากความ เพียงแค่วิ่งตามหลังหลี่ซุนเข้ามา เพื่อหลีกเลี่ยงคานไม้ที่ตกลงมาอย่างระมัดระวัง เมื่อหลี่ซุนเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ก็ได้แต่ต้องให้พวกนางตามเขาเข้ามาแทน ยามที่หลี่ซุนมุ่งหน้าไปยังห้องนอนของเฟิ่งชิงเฉินนั้น สาวใช้ทั้งสองก็พลันปลีกตัวไปอีกห้องหนึ่ง
ยามที่หลี่ซุนบุกเข้าไปในห้องนั้น เตียงนอนที่อยู่ภายในห้องก็ได้ถูกมอดไหม้ไปแล้ว เพลิงไหม้ที่ลุกขึ้นมามากมายนั้น ทำให้เป็นการยากที่จะรู้ได้ว่าบนเตียง มีร่างคนนอนอยู่หรือไม่ หรือร่างนั้นได้ถูกเผาไหม้จนเกรียมไปแล้ว
หลี่ซุนพลันตกใจเสียงหัวใจแทบจะหยุดเต้นไปในทันที พร้อมทั้งรีบชักดาบออกมาเพื่อกวาดไปยังบนเตียงนอน ภายในใจก็ได้แต่ภาวนาว่า ขอให้เฟิ่งซิ่วรอดตายจากหายนะในครานี้ด้วยเถิด เพียงแค่เขาตวัดดาบออกไป ก็รับรู้ได้ว่า บนเตียงนั้นมีแต่ความว่างเปล่า
“เฟิ่งซิ่วไม่อยู่” หลี่ซุนได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยามที่หันหลังกลับไปมองนั้น ก็พลันพบว่าสาวใช้ทั้งสองนางไม่ได้ตามเขาเข้ามาด้วย หลี่ซุนพลันย่นคิ้วลงเล็กน้อย หากแต่มิได้คิดอันใดมาก เขาเข้าใจว่าทั้งสองอาจจะถูกกองเพลิงขวางทางมาอยู่ก็เป็นได้ ภายในใจแอบก่นด่าทั้งสองนาง ที่ทำให้เขาต้องมาเผชิญกับความลำบากมากกว่าเดิม หลี่ซุนพลันคิดว่าค่อยตามหาพวกนางในภายหลัง เขาไม่อาจรอช้าในการตามหาเฟิ่งซิ่วไปได้อีก
ห้องตำราที่จวนอื่นอาจจะคิดว่ามันเป็นห้องที่สำคัญมากที่สุด แต่ทว่า ภายในจวนเฟิ่งนั้น ห้องตำราเป็นห้องที่ไร้ประโยชน์ที่สุด แม้ว่าห้องตำราจวนตระกูลเฟิ่งจะเปิดกว้างมากนัก แต่เฟิ่งชิงเฉินก็มาที่ห้องตำราน้อยครั้งได้
ผู้คนส่วนมาก ล้วนแต่คิดว่าห้องตำราของเฟิ่งชิงเฉินมีไว้เพียงประดับตกแต่งเท่านั้น แต่หาได้รู้ไม่ว่า เฟิ่งชิงเฉินใช้เป็นที่เก็บสิ่งของที่ล้ำค่ามากที่สุดเอาไว้
ยามที่เฟิ่งชิงเฉินบุกเข้ามาในห้องตำรานั้น ภายในห้องตำราเองหาได้มีเพลิงไหม้ลามมาถึงไม่ มีเพียงแค่อุณหภูมิภายในห้องที่กำลังเพิ่มขึ้นสูง เฟิ่งชิงเฉินจึงรีบร้อนดึงลิ้นชักลับออกมาในทันที พร้อมกับหยิบกล่องไม้สีดำของตนออกมา
หากพูดว่ามันเป็นกล่องไม้นั้น แท้จริงแล้วกลับคล้ายท่อนไม้เสียมากกว่า กล่องไม้ที่มีขนาดเท่ากับฝ่ามือนั้น กลับปล่อยไอเย็นออกมา บนกล่องไม้หาได้มีช่องว่างไม่ แต่ด้านในตรงกลางกลับมีช่องโหว่ เฟิ่งชิงเฉินเคยคิดอยากจะแกะมันออกมาเปิดดู แต่ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็เปิดไม่ออก จึงได้แต่ทิ้งมันเอาไว้ในห้องตำราด้านในลิ้นชักลับแทน
ยามที่เกิดเพลิงไหม้ขึ้นนั้น เฟิ่งชิงเฉินหาได้นึกถึงสิ่งใดไม่นอกจากกล่องไม้ชิ้นนี้ที่นางอยากจะนำมันออกมาไปด้วย ในความทรงจำของนางนั้น กล่องไม้กล่องนี้คงจะเป็นของที่มารดาของนางให้มากระมัง มันเป็นของที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิตของนางเสียอีกนางไม่อาจขาดมันไปได้
ยามที่เฟิ่งชิงเฉินหยิบกล่องไม้ใส่มือเข้ามานั้น ฝ่ามือราวกับถูกแข็งค้างไปในทันที อีกนิดเดียวนางเกือบจะทำกล่องไม้ร่วงลงไปเสียแล้ว แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับคว้ามันเอาไว้ได้ทัน พร้อมทั้งนำกระดาษสองแผ่นห่อมันเอาไว้ แล้วนำไปซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อ ยามที่กำลังจะหันกายเดินออกไปนั้น สายตาพลันไปสะดุดกับสิ่งของอะไรบางอย่างที่มุมโต๊ะหนังสือด้านล่าง
“ถุงหอม? ที่แท้อยู่ที่นี่งั้นหรือ” แต่เดิมนางหามันไปทั่วทุกที่ ในยามนี้ไม่อยากจะหา กลับต้องมาเจอมันที่นี่เสียได้ ช่างน่าขันยิ่งนัก!
เฟิ่งชิงเฉินพลันกระตุกมุมปากเล็กน้อย พร้อมกับเผยให้เห็นรอยยิ้มที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในทันที พลางเอาแต่เหม่อมองถุงหอมอยู่เช่นนั้น โดยมิได้ขยับไปที่ใด
“จะเอาไปด้วยหรือไม่เอาไปดีนะ เหตุใดท่านมิคิดจะปล่อยข้าไปเสียที นี่มิใช่ชีวิตหรือ? ทุกครั้งยามที่ข้าคิดจะปล่อยมือจากท่าน ท่านก็มักจะมาปรากฏตัวต่อหน้าข้าในทุก ๆ อย่างเสมอ ทำให้ข้าต้องอดลังเลใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ได้”
เฟิ่งชิงเฉินยังคงยืนเหม่อมองอยู่ภายในห้อง จนกระทั่งสาวใช้ทั้งสองบุกกองเพลิงเข้ามา “ซิ่ว ซิ่วอยู่ที่ใดเจ้าคะ? ซิ่ว”
เสียงตะโกนที่เล็กแหลม พลันลอยมาตามลมเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินชะงักไปในทันที พร้อมทั้งรีบร้อนดึงสติตนเองกลับมา แววตาพลันตกอยู่ในความสับสนมากมาย นางจึงค่อย ๆ หลับตาลง แล้วเดินกัดฟันออกไป
ถุงหอมของเสด็จอาเก้านั้น นางไม่มีสิทธิ์ที่จะเอาไปด้วย เช่นนั้นก็ให้มันมีสภาพเดียวกันกับจวนเฟิ่งเสียเถอะ มอดไหม้ไปพร้อม ๆ กัน!
มิทันไร ยามที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังจะวิ่งออกไปนั้น “ปั้ง” คานไม้พลันพลัดตกลงมาขวางทางประตูปิดทางหนีของเฟิ่งชิงเฉินในทันที
เฟิ่งชิงเฉินพลันก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณของตน แต่มิคิดว่าตนเองจะเผลอลื่นเสียได้ ทั่วร่างของนาง ยามที่กำลังจะล้มลงไปด้านหลังนั้น ในขณะเดียวกัน บานประตูของห้องตำราก็กำลังจะล้มทับนาง
อ๊าย สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินพลันแปรเปลี่ยนไป พร้อมทั้งพยายามที่จะสงบสติอารมณ์ของตนเองลง แล้วจึงค่อย ๆ เอนตัวของตนไปด้านหลัง พร้อมกับงอขาลงเล็กน้อย แล้วจึงบิดตัวของตนเองไปทางด้านซ้ายสองก้าว เพื่อไม่ให้โดนประตูล้มทับใส่
ตู้ม ประตูไม้พลันล้มทับลงไปกองกับพื้น ทั่วร่างของเฟิ่งชิงเฉินพลันนั่งพิงไปที่มุมโต๊ะตำราในทันที ถุงหอมที่เสด็จอาเก้าสั่งให้นางซ่อมแซมมันนั้น กลับมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
เปลวไฟที่สะท้อนอยู่บนเส้นด้ายของถุงหอม จู่ ๆ กลับมีใบหน้าหนึ่งซ้อนทับขึ้นมา ในยามนั้น เฟิ่งชิงเฉินพลันรู้สึกว่า ใบหน้าที่เลือนรางนั้น คล้ายกับใบหน้าของเสด็จอาเก้ายิ่งนัก
เสด็จอาเก้า?

เสด็จอาเก้า?
เฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์อะไรบางอย่าง พลันนอนพึงอยู่กับโต๊ะโดยไม่ขยับไปที่ใด ทั้งเอาแต่จ้องมองถุงหอมใบนั้น เฟิ่งชิงเฉินในยามนี้เสมือนว่ากำลังเห็นสีหน้าของเสด็จอาเก้ากำลังขอร้องนางอยู่ “อย่าทิ้งข้าไป เอาข้าออกไปด้วย”
“แต่ข้าไม่อยากจะทำเช่นนั้น ข้าไม่อยากพาท่านไปด้วย หากมัดท่านติดไปกับข้านั้น ผู้ที่พาท่านออกไปก็ต้องเป็นข้าอีก” เฟิ่งชิงเฉินเอาแต่พูดพึมพำกับถุงหอม พร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลลงมา โดยที่นางไม่รู้ตัว
นางไม่อยากผูกติดกับเสด็จอาเก้า นางอยากจะปล่อยความรักของนางให้เพลิงไหม้นี้เผาผลาญมันให้หมดให้สิ้นไปเสีย !
ยามที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังใช้มือยันร่างของตนให้ลุกขึ้นมานั้น เพื่อที่จะเตรียมตัววิ่งไปด้านนอก แต่ทว่า ถุงหอมใบนั้นกลับไม่ยอมปล่อยนางไป ร่างของเสด็จอาเก้ายิ่งเห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ น้ำเสียงที่ขุ่นเคืองพร้อมกับความร้อนรนก็ค่อย ๆ ทวีคูณตามมา ในยามนี้ราวกับว่าสมองของนางเต็มไปด้วยเสียงของเสด็จอาเก้า
“เฟิ่งชิงเฉินพาข้าออกไปด้วย อย่าทิ้งข้าไว้เพียงคนเดียว! เฟิ่งชิงเฉิน พาข้าออกไปด้วย!”
“เฟิ่งชิงเฉินพาข้าออกไปด้วย ข้ากลัวหากต้องอยู่ที่นี่คนเดียว”
“เฟิ่งชิงเฉิน อย่าทิ้งข้าไว้ที่นี่คนเดียว ข้าอยู่คนเดียวมาโดยตลอด เจ้าอย่าเป็นเหมือนพวกเขา อย่าทิ้งข้าไป!”
“เฟิ่งชิงเฉินได้โปรด!”
“ได้โปรด ! ได้โปรด! ได้โปรด!”
……
“อ๊าก”
ประโยคคำว่า “ได้โปรด” ราวกับเสียงสะท้อนที่ดังไปมาอยู่ภายในหัวของเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินในยามนี้จึงได้แต่ระบายความโกรธออกมาราวกับสัตว์ร้ายก็ไม่ปาน เมื่อหลี่ซุนและสองสาวใช้ได้ยินเสียงของเฟิ่งชิงเฉินนั้น ก็มุ่งหน้ามาตามเสียงในทันที “คุณหนู คุณหนู ท่านมิต้องกังวล มันจะไม่มีอันใดเกิดขึ้น”
“เฟิ่งซิ่วท่านวางใจได้ กระหม่อมจะพาท่านออกไปข้างนอกได้แน่” น้ำเสียงของหลี่ซุนพลันลอยเข้ามา
เฟิ่งชิงเฉินถึงได้รู้ตัวว่า นางได้สูญเสียการควบคุมตนเองไป พร้อมทั้งนำแขนเสื้อของตนมาเช็ดหน้าเช็ดตา เพื่อซ่อนอารมณ์โกรธและหยาดน้ำตาของตนเอาไว้ น้ำเสียงที่แหบแห้งของตนพลันตะโกนกลับมาว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าไม่เป็นอันใด”
พูดจบ ก็พลันมุ่งหน้าไปที่หน้าต่าง ยามที่นางกำลังลุกขึ้นยืนนั้น เฟิ่งชิงเฉินที่มือไวก็พลันหยิบถุงหอมซ่อนเอาไว้ในเสื้อของตนในทันที ราวกับว่าหัวใจนางจะสงบลงได้หากได้ทำเช่นนี้
ห่างจากหน้าต่างไม่ถึงสิบก้าว เฟิ่งชิงเฉินจึงเอามือทั้งสองข้างกุมหัวของตนเอาไว้ แล้วเร่งฝีเท้าวิ่งเข้าไป พร้อมทั้งกระโดดตัวดีดออกมาให้ไกลมากที่สุด
ผลัก เฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ตัวร้อนราวกับกุ้งต้มยิ่งนัก พลางเริ่มกลิ้งไปมาในทันที ด้านหลังของนางที่ไปกระทบเข้ากับหน้าต่างที่มีไฟลุก แล้วจึงค่อย ๆ ตกลงสู่พื้นในทันที
ยามที่ร่างของนางกระทบกับหน้าต่างไฟนั้น พลันมีประกายไฟติดตัวของนางมาในทันที เฟิ่งชิงเฉินหาได้ตื่นตระหนกไม่ พร้อมทั้งกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นสองสามรอบ เมื่อแน่ใจว่า ประกายไฟที่ติดตัวดับหมดแล้วนั้น ถึงได้ลุกขึ้นยืน หลังของนางถูกไฟลวกนั้น ก็เริ่มปวดแสบปวดร้อนออกมาในทัน เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่ต้องสูดลมหายใจเข้าไป เพื่อระงับอาการเจ็บปวดของตน
“คุณหนู ท่านไม่เป็นอันใดก็ดีแล้ว” เมื่อสองสาวใช้และหลี่ซุนได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวนั้น ก็รีบวิ่งออกมาในทันที เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินมิเป็นอันใดนั้น สาวใช้ทั้งสองก็พลันยิ้มออกมา แล้วจึงจับเฟิ่งชิงเฉินหันซ้ายหันขวาเพื่อตรวจดูอาการต่าง ๆ
ผมของเฟิ่งชิงเฉินถูกไฟไหม้เล็กน้อย แผ่นหลังของนางยังโดนไฟลวกอีก ผู้ใดได้เห็นก็ต้องตกใจยิ่งนัก แต่หากได้ทำการรักษาดี ๆ แล้วละก็ ย่อมไม่อาจหลงเหลือรอยแผลเป็นทิ้งเอาไว้ได้
หากแต่เฟิ่งชิงเฉินพลันผลักสาวใช้ทั้งสองออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ออกไปก่อนค่อยว่ากันอีกที ดูเสียว่า ไม่มีผู้ใดเป็นอันใดไปใช่หรือไม่”
“เฟิ่งซิ่ววางใจได้ขอรับ ทุกคนไม่เป็นอะไร ถึงแม้ว่าเพลิงไหม้จะลุกลามใหญ่โตนัก แต่ทางเดินภายในจวนเฟิ่งนั้นกว้างขวาง ไม่มีทางคดเคี้ยว ฉะนั้นแล้ว ผู้คนจึงวิ่งออกมาได้ทันเวลา” หลี่ซุนที่เฉลียดฉลาด เขาหาได้เอ่ยถามไม่ ว่าเหตุใดเฟิ่งชิงเฉินถึงมิได้ป่วย
เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่พยักหน้าเล็กน้อย พร้อมกับแพขนตาที่มีความสั่นไหว โดยที่ไม่อาจปิดบังแววตาที่เศร้าโศกได้มิด “หากไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บก็ดี เรื่องอื่นมิต้องเป็นกังวลไป พวกเราไปกันเถอะ”
เฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ มองดูกองเพลิงที่กำลังมอดไหม้สถานที่ที่นางเคยอาศัยอยู่ด้วยความคิดถึง จากนั้นก็หันหน้าหนีไปในทันที
จวนเฟิ่งไม่มีแล้ว จวนเฟิ่งที่บิดามารดาของนางร่วมกันสร้างไม่เหลือแล้ว เกรงว่า หากนางสร้างมันขึ้นมาใหม่ จวนเฟิ่งก็หาได้เหมือนจวนเฟิ่งหลังเดิมไม่ ทั้งยังไม่ใช่จวนเฟิ่งที่นางจดจำได้ในความทรงจำอีก
ในใจของเฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ เจ็บปวดจนด้านชาไปหมดแล้ว
หลี่เซี่ยง
เจ้าเตรียมตัวตายได้เลย ไม่มีผู้ใดทำลายบ้านของข้า แล้วจะมีชีวิตอยู่ดีมีสุขไปได้หรอก !
ในขณะเดียวกัน สีหน้าของเสด็จอาเก้าพลันเปลี่ยนไปในทันที พร้อมกับแก้วสุราในมือที่กำลังสั่นเทา พลางรีบร้อนกอบกุมหัวใจของตนเองเอาไว้
ปวด!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *