บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 758: ส่งเจ้าสู่โลกหน้า

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 758: ส่งเจ้าสู่โลกหน้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 758: ส่งเจ้าสู่โลกหน้า

ตอนที่ 758: ส่งเจ้าสู่โลกหน้า

ตรงตามคาดหมายของซูอี้ ฟ้าฝนกระหน่ำโปรยจากนภาระหว่างที่เขากำลังเดินทางสู่ภูเขาเด็ดดาว

ม่านพิรุณโปรยปรายดุจน้ำตก

จู่ ๆ ท้องนภาก็พร่ามัวด้วยหมอกพิรุณ

สายฝนเหล่านี้ย่อมไม่ส่งผลใดแก่ผู้ฝึกตน

ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลัง และยามหยาดพิรุณหยดใส่ร่างของเขา มันก็หายไปอย่างเงียบงัน ไม่ทำให้เส้นผมยาวและอาภรณ์ของเขาเปียกชื้นแต่อย่างใด

วันนี้เขาแต่งตัวรัดกุมเป็นพิเศษ อาภรณ์เขียว เสียบปิ่นหยกรวบเส้นผมยาวของตนเป็นมวยหลวม ๆ ดูสะอาดสะอ้านเรียบร้อย

บางทีอาจเป็นเพราะบรรยากาศไม่แยแสและภาพลักษณ์อันอ่อนเยาว์ของเขา ยามเยื้องย่างผ่านฝูงชนท่ามกลางม่านพิรุณจึงแทบไม่มีผู้ใดจำชายหนุ่มได้

สายฝนโปรยปรายลงมาระหว่างทางดุจนภารัวกลองสู่พิภพ ทว่ากลับไม่อาจซุกซ่อนเสียงหารือของผู้ฝึกตนเหล่านั้นได้

เสียงส่วนใหญ่ล้วนแต่กล่าวถึงศึกสะท้านโลกาวันนี้อย่างเซ็งแซ่ครึกครื้น

ใครบางคนกำลังโต้เถียงถึงผลของสงคราม

บางคนวิเคราะห์ผลกระทบจากสงครามในวันนี้ต่อรูปแบบการเคลื่อนไหวแห่งโลกา

บางคนกำลังกล่าวถึงวีรกรรมในตำนานของซูอี้

บางคน…

เพียงแค่ว่า สำหรับซูอี้ เนื้อหาของการสนทนาช่างดูจืดจาง

ถึงอย่างไร นี่ก็เป็นความสนุกของผู้อื่น

ในสายตาของซูอี้ การมาที่นี่ในวันนี้ของเขาไม่มีสิ่งใดมากไปกว่าจบความขุ่นเคืองและขจัดปัญหา

“ศิษย์พี่ซู”

เสียงกระวนกระวายเล็กน้อยเสียงหนึ่งดังมาไกล ๆ จากในม่านสายฝน

ซูอี้เงยหน้าขึ้นและพบกู่ชางหนิง

กู่ชางหนิงคือผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณคนแรกที่ซูอี้ได้พบ แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะไม่ได้ดีนัก แต่ก็ไม่ได้แย่

เมื่อเขาสังเกตเห็นสายตาของซูอี้ กู่ชางหนิงจึงอ้าปากจะพูด ทว่าสุดท้ายวาจาจากปากของเขาก็มีเพียงไม่กี่คำ

“รักษาตัวด้วย!”

ซูอี้พยักหน้ายิ้ม ๆ และเดินจากไป

กู่ชางหนิงรู้สึกโล่งใจอย่างอธิบายไม่ได้ยามเห็นร่างแข็งแกร่งของอีกฝ่ายค่อย ๆ เดินจากไปในม่านพิรุณโนเวลพีดีเอฟ

หนึ่งชาติเกิดมา ได้รู้จักกับตัวตนอันเป็นตำนานไร้ใดเทียบเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว

“ศิษย์พี่ซู”

“สหายเต๋าซู”

“นายน้อยซู”

ระหว่างทาง ซูอี้ได้พบใบหน้าที่คุ้นเคยคนแล้วคนเล่า ทั้งโต้วโค่วผู้เกิดมาด้วยสองวิญญาณ หลวงจีนเฉินลวี่ผู้พากเพียรยิ่ง เฉิงผูผู้ใช้สองกำปั้นฝึกฝนเต๋า ฉือเจี่ยนซู่ผู้มีคิ้วเฉียงดั่งกระบี่…

ทุกผู้ต่างทักทายซูอี้อย่างสำรวมตนเล็กน้อย ทว่ายามเมื่อต้องการจะพูดสิ่งใดต่อ พวกเขากลับพูดไม่ออกเหมือนเช่นกู่ชางหนิง

สุดท้ายแล้ว พวกเขาจึงเปลี่ยนไปอวยพรจากใจให้ซูอี้แทน

ซูอี้พยักหน้าทักทายทุกคน

การได้พบพานคนคุ้นตาก็นำมาซึ่งความทรงจำเก่าก่อนแก่เขาเช่นกัน

ตัวอย่างเช่น เขายังคงจำได้ว่าโต้วโค่วเคยส่งภาพวาดให้เขาสองภาพ หนึ่งคือเหวินซินจ้าว และสองคือเยว่ซือฉาน

เช่นฉือเจี่ยนซู่มีพลังแรกกำเนิดเป็นกระดูกหยินยมโลก และกลายเป็นผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพ

สายฝนกระหน่ำแรงขึ้นทุกขณะดุจพายุ

ปรากฏผู้ฝึกตนซึ่งรู้จักซูอี้มากขึ้นทุกที และเสียงอุทานฮือฮาดังลั่นระหว่างทางก็ดังแข่งกับสายฝนที่โหมลงมา

และเบื้องหลังซูอี้ยังปรากฏผู้ฝึกตนมากมายที่ตามเขาไปอย่างหนาแน่น

ส่วนใหญ่แล้วมาเพื่อความบันเทิง

ซูอี้ย่อมไม่ใส่ใจเรื่องทั้งหมดนี้

ไม่นานนัก เขาก็ได้เห็นภูเขาเด็ดดาวท่ามกลางสายฝนไกลออกไป

เมื่อเข้ามาในรัศมีสิบลี้รอบ ๆ เขา เหล่าผู้ฝึกตนซึ่งติดตามซูอี้มาตลอดทางล้วนหยุดลงโดยไม่ได้ตั้งใจ

ไม่มีผู้ใดกล้าขัดคำสั่งห้ามเข้าของขุมกำลังใหญ่เหล่านั้น

ด้วยประการฉะนี้ ซูอี้จึงเดินไปยังภูเขาเด็ดดาวโดยลำพังภายใต้สายตานับไม่ถ้วน ร่างเดียวดายของเขาดูสุขุมลุ่มลึกเหนือธรรมดาท่ามกลางสายฝนสาดเท

และบนภูเขาเด็ดดาว ทันใดนั้นก็บังเกิดเสียงร้องดุจระฆังยักษ์สะท้านสะเทือนทั่วนภาหล้า ม่านพิรุณที่ทอดตัวลงจากฟ้าสู่ดินสั่นสะเทือนพลิ้วไหว

ตู้ม!

เกิดแสงสว่างเรืองจ้าขึ้นกะทันหันบนภูเขาเด็ดดาว รัศมีศักดิ์สิทธิ์แผดแสงกวาดผ่านหมู่เมฆาดำมืดเหนือนภาในทันใด และหยุดสายฝนลงในฉับพลัน

ท้องนภากระจ่างใส และเสียงระฆังก็เพิ่มบรรยากาศหนาวเยือกให้แก่โลกาอันชุ่มชื้น

สายตาของผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนหันมองไปยังยอดเขาโดยไม่รู้ตัว

ทว่า เนื่องมาจากระยะทางอันห่างไกล แม้จะมีจิตสัมผัสเข้าช่วย ผู้คนจึงเพียงเห็นร่างผอมสูงยืนเดียวดายบนยอดภูเขาเด็ดดาวเพียงเลือนรางเท่านั้น

เขาใช้มือหนึ่งถือระฆังทองแดงสีเหลือง ทั่วร่างอาบไปด้วยเพลิงสีเงินขาวดุจเทพมาร

“ซูอี้ รีบมาเร็วเข้า ข้ารอส่งเจ้าสู่โลกหน้าอยู่!”

ร่างผอมสูงนั้นกล่าว สุ้มเสียงสะท้านทั่วบรรพตลำธาร

ลั่นระฆังส่งเจ้าสู่โลกหน้า!

ท่าทีเช่นนี้ทำให้ผู้คนฮือฮา ตามมาด้วยเสียงหารือ

“นั่นคือหวนเทียนตู้จากตระกูลหวนเผ่ามาร ตัวตนอันโบราณยิ่ง กล่าวกันว่าเขาเป็นผู้ริเริ่มจัดศึกต่อท่านเทพเซียนซูในครานี้”

บางผู้กระซิบ

หวนเทียนตู้ ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบ!

แม้ว่าเขาจะถูกการจองจำแห่งยุคมืดกัดกร่อน ทว่าสถานะของเขาในตระกูลหวนเผ่ามารก็ยังคงสูงส่ง ควบคุมอำนาจยิ่งใหญ่ หากกล่าวหนึ่ง จะไม่มีผู้ใดกล้าทำสอง

ซูอี้มองขึ้นไป

ภูเขาเด็ดดาวสูงหมื่นจั้ง สูงชันดุจดั่งดาบแหลมแทงสู่ฟากฟ้า

ทว่าในสายตาของซูอี้ มีค่ายกลและจิตสังหารแทรกอยู่ทั่วหุบเขาตั้งแต่ตีนเขาจรดยอด เห็นได้ชัดว่ามันถูกจัดเตรียมไว้โดยขุมกำลังปรปักษ์เหล่านั้นอย่างระมัดระวังแล้ว

“คนเหล่านี้กำลังดูถูกข้า ซูผู้นี้”

ซูอี้แย้มยิ้ม

เขาทะยานสู่ฟากฟ้าโดยไม่ลังเล และภายในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจ เขาก็มาอยู่ห่างจากภูเขาเด็ดดาวร้อยจั้ง

และพบเหล่าคู่ต่อสู้ยืนกระจายตัวบนยอดเขาในทันที

กลุ่มตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณแบ่งออกเป็นเจ็ดฝ่าย และแต่ละฝ่ายต่างก็ส่งตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณมาเก้าคน

นอกจากนั้นยังมีตัวตนในขอบเขตสยายวิญญาณเกือบร้อยคนกระจัดกระจายตามที่ต่าง ๆ ในภูเขาเด็ดดาวด้วย

การจัดทัพเยี่ยงนี้ ในมหาทวีปคังชิงทุกวันนี้นับได้ว่าน่ากลัวโดยแท้จริง มันมากพอจะกวาดล้างโลกาได้

และวันนี้ การจัดทัพดังกล่าวก็เกิดขึ้นเพื่อจัดการกับเขา ซูอี้!

“ซูอี้ เจ้าวางใจได้ว่าในศึกวันนี้ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว ความแค้นระหว่างเจ้าและขุมกำลังเราจะถูกลบสิ้น”

หวนเทียนตู้ซึ่งถือระฆังทองแดงสีเหลืองบนยอดเขากล่าวขึ้นอย่างเฉยเมย

ซูอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ากล้ากล่าวได้ว่าหากพวกเจ้าแพ้ พวกเจ้าจะเสียคุณสมบัติในการปกครองโลกหล้าไป ยามนั้น จะมีขุมกำลังมากมายที่พร้อมแบ่งแยกขุมกำลังของพวกเจ้าดุจอาหารอันโอชะ”

“ฮ่า ๆ สหายเต๋าซูคิดมากไปแล้ว ในเมื่อข้ากล้าประกาศสงครามกับเจ้า ซูอี้ ข้าย่อมมั่นใจว่าจะชนะอยู่แล้ว”

เสียงหัวเราะลั่นดังขึ้น

ชายชราในชุดนักพรตเต๋าและเกี้ยวขนนกลุกขึ้น

เลี่ยหยางชง!

ผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักวิถีสุญญะ ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบ

“ซูอี้ จิตสังหารของเจ้าหนาแน่นเกินไป กระทำการไร้การยั้งคิด สำหรับสำนักฌานกระจ่างจิตของข้า มันขัดต่อหลักวิถีพุทธและจะนำภัยพิบัติสู่โลกา ทุกคนย่อมรู้และประณาม หากคิดกลับใจ พระเฒ่าผู้นี้จะช่วยเจ้าหาโอกาสปรับแปรจิตใจและเปลี่ยนเป็นคนใหม่เสีย”

นักบวชร่างผอมแห้งอ้างนามแห่งพุทธะด้วยสีหน้าสำรวมและเมตตา

เฉิงหยวน

ผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักฌานกระจ่างจิต วิถีร่างวัชระของเขาไม่เลวเลย

“เปลี่ยนเป็นคนใหม่? เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่ว่าวันนี้จะเกิดอันใดขึ้น ไอ้คนเถื่อนซูอี้นี้ต้องตาย!”

เสียงดุดันเสียงหนึ่งดังขึ้น

ผู้เอ่ยวาจาคือผู้อาวุโสสูงสุดแห่งหอดาบโคจรสวรรค์ นามเยว่จ่างเฉียง เขาสวมชุดคลุมสีขาว และแบกกล่องใส่ดาบไว้เบื้องหลัง ดูดุดันน่าเกรงขาม

“ถูกต้อง เจ้าสัตว์ร้ายนี่ต้องตาย!”

“ข้าให้โอกาสโจรกลับใจได้ แต่ซูอี้… ข้าให้ไม่ได้!”

เฟ่ยอวิ๋น ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวิญญาณมิติกว้างและเฮ่อเหลียนฉี เจ้าสำนักมารแปรดารากล่าวขึ้นต่อกัน

เฟ่ยอวิ๋นสวมชุดคลุมสีดำ ร่างของเขาปกคลุมด้วยปราณเก้ามังกรเกล็ดดำ ดูน่ากลัวยิ่งนัก

เฮ่อเหลียนฉีสวมชุดออกรบ เส้นผมสีโลหิตและนัยน์ตาสีทอง ถือหอกสงคราม แผลงอำนาจไร้ใดเปรียบ

วาจาของคนใหญ่คนโตเหล่านี้โอหังยิ่งใหญ่ สะท้อนก้องดุจอสนีบาต และรอบข้างก็เกิดเสียงเซ็งแซ่ตามมา

แม้ว่าเจ้าสำนักผลาญตะวันจ้าวเป่ยเจินจะไม่ได้กล่าววาจาใดแต่ต้นจนจบ แต่นัยน์ตาของเขาเย็นชา มองซูอี้ดุจคนตาย

ภาพเหล่านี้ไม่รู้ว่าทำคนกลัวได้มากเพียงไร

ทว่าซูอี้กลับแสยะยิ้ม ทั้งยังกล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิ “ข้าแค่อยากถามว่าใครเล่าจะกล้าต่อสู้กับข้าบ้าง?”

จากนั้น เขาก็กวาดตามองหวนเทียนตู้แห่งตระกูลหวนเผ่ามาร เลี่ยหยางชงแห่งสำนักวิถีสุญญะ จ้าวเป่ยเจินแห่งสำนักผลาญตะวัน และเฉิงหยวนแห่งสำนักฌานกระจ่างจิต

จากนั้นก็มองไปยังเยว่จ่างเฉียงแห่งหอดาบโคจรสวรรค์ เฟ่ยอวิ๋นแห่งสำนักวิญญาณมิติกว้าง และเจ้าสำนักมารแปรดาราเฮ่อเหลียนฉีซึ่งต่างมีสีหน้าหม่นหมอง

กระทั่งมหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตวงล้อวิญญาณรอบกายเขาก็ยังดูไม่สู้ดีนัก

หากพวกเขามีความสามารถพอที่จะปราบซูอี้ได้ ไฉนจึงต้องพยายามสร้างศึกใหญ่วันนี้ด้วย?

บรรยากาศรอบข้างมาคุอยู่ชั่วขณะ

เหล่าผู้ชม ณ ที่ห่างไกลออกไปสัมผัสได้ถึงอารมณ์อันพลุ่งพล่านขึ้นมาทันใด หนึ่งวาจาหยุดความกำแหงของเหล่าขุมกำลังใหญ่ชะงัดนัก!

ทั่วโลกหล้า ยังมีผู้ใดอีกที่ทำได้?

“แค่นี้เองหรือ?”

ซูอี้ยกมุมปากขึ้นอย่างประชดประชัน

วาจาไม่กี่คำเหล่านั้นกระตุ้นให้สีหน้าของเหล่ายอดฝีมือจากขุมกำลังปรปักษ์ดูไม่สู้ดีหนักข้อขึ้นอีก

“หากผู้ใดใต้นภาวอนตาย คนผู้นั้นย่อมยั่วโมโหผู้อื่น ซูอี้ หากเจ้าไม่กลัว ไฉนจึงใช้ลูกไม้ต่ำตมเยี่ยงนี้มาล้อเลียนข้า?”

หวนเทียนตู้สูดหายใจลึกพลางกล่าวอย่างไร้อารมณ์

“กลัวหรือ?”

ซูอี้อดหัวเราะออกมายาว ๆ ไม่ได้ “เช่นนั้นข้าจะทิ้งวาจาไว้ที่นี่ก่อน วันนี้ที่นี่ หัวคนจะปลิดปลิว โลหิตจะหลั่งไหลดุจธารา!”

วาจาของเขาสะท้านก้องทั่วโลกหล้า

ซูอี้ก้าวสู่อากาศ สะบัดชายเสื้อคลุม ตวัดฝ่ามือดุจดาบ ฟาดฟันใส่ยอดเขาเด็ดดาวห่างออกไปร้อยจั้ง

ฉัวะ!

ปราณดาบร้อยจั้งทะยานสู่ฟากฟ้า ทอดตัวยาวพันจั้งดุจจักรวาลกว้างทอดลงจากนภา

อำนาจไม่อาจหยั่งวัด แข็งแกร่งสะเทือนภพภูมิ

เพียงหนึ่งดาบสาดแสงเจิดจ้าทั่วฟ้าดิน สะเทือนทั่วสารทิศ

ตู้ม!!!

กลุ่มค่ายกลหนาแน่นทั่วภูเขาเด็ดดาวระเบิดออกปิดฟ้าบังตะวันในฉับพลัน สาดแสงศักดิ์สิทธิ์ฉายสู่โลกหล้า

ทันทีที่ปราณดาบของซูอี้ฟาดฟันลง มันก็ถูกขวางกั้นสลายไปโดยอำนาจลี้ลับของค่ายกลนับไม่ถ้วนเหล่านี้

ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น ดาบนี้ก็สร้างให้เกิดรอยร้าวอันน่าตกใจบนค่ายกล

ทั่วภูเขาเด็ดดาวสะเทือนไหวอยู่ชั่วขณะ

แม้จะเป็นเพียงชั่วอึดใจก่อนที่ค่ายกลจะถูกฟื้นฟูสู่สภาพดั้งเดิม แต่หวนเทียนตู้และตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณอื่นก็ยังลอบตกใจอยู่

บนอากาศไกลออกไป ซูอี้เลิกคิ้วยามเห็นภาพนี้

มีค่ายกลชั้นสูงสุดอันเก่าแก่และเข้มงวดเก้าแห่งอยู่บนภูเขาเด็ดดาวนี้ และแต่ละค่ายกลก็มีพลังไม่ได้ด้อยไปกว่าค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน!

นอกจากนั้น ยังมีกลิ่นอายของค่ายกลอื่น ๆ ซุกซ่อนกระจายกันอยู่ในระยะรัศมีสิบลี้จากภูเขาเด็ดดาวด้วย

กล่าวได้ว่านับแต่ยามที่เขาก้าวสู่บริเวณนี้ เขาก็ได้เหยียบสู่ตาข่ายฟ้าดินที่ศัตรูตระเตรียมไว้แล้ว!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด