บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 130 : จู้กู่ชิง

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 130 : จู้กู่ชิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ยามเมื่อฟ้ามืด เม็ดฝนก็ยังคงร่วงหล่น กลบสุ้มเสียงเหล่าแมลงที่หากิน

ด้านข้างแม่น้ำต้าฉางภายนอกเมือง นกกระเรียนขาวบินลงมาอย่างเชื่องช้า

“เฮ่อเอ๋อร์ รอที่นี่”

ชายหนุ่มในชุดนักพรตเต๋าสีเหลือง ผู้มีคิ้วเรียวงดงามพร้อมหันสายตากวาดมอง ก้าวลงจากหลังของนกกระเรียนขาว

เป็นเก๋อเฉียน ทายาทราชากลืนสมุทรเก๋อฉางหลิง

เมื่อยืนขึ้นตรง ชายหนุ่มนักพรตเต๋าจึงก้าวเดินเดียวดายท่ามกลางค่ำคืนฟุ้งละอองน้ำ ไม่ช้าจึงมาถึงลานฝึกฝนเตาหลอมขจี

“กลิ่นเลือดที่คละคลุ้ง แม้ว่าฝนชำระล้างไปแล้ว แต่มันยังคงตกค้างในฟ้าดิน นานนับก็ไม่อาจเลือนหาย…”

เก๋อเฉียนรอคอยและรับชมอยู่ครู่ ก่อนจะลักลอบเข้าไปยังลานฝึกฝนเตาหลอมขจีอย่างเงียบงัน

เขาเดินไปจนถึงพื้นที่ใจกลางลานฝึกฝน และหยุดเพื่อรับชม

ละแวกใกล้เคียงเห็นชัดว่าทำความสะอาดแล้วเรียบร้อย เศษเนื้อและเลือดเก็บกวาดหมดสิ้น

กระนั้นในสายตาเก๋อเฉียน เขาราวกับพบเห็นมากกว่านั้น

ผ่านไปนาน เขาจึงเงยหน้ามองขึ้นฟากฟ้าอีกครั้ง คิ้วอดไม่ได้ที่จะต้องขมวด พร้อมครุ่นคิด “ปีศาจเฒ่า ครั้งอยู่ที่ภูเขามารดาภูตผี เจ้ากล่าวว่าซูอี้นั้นไม่ใช่ธรรมดา ขณะนี้เหมือนจะเป็นเช่นนั้น ช่างเป็นตัวตนอันตรายสุดหยั่งยิ่งนัก”

เพียงมาถึงลานฝึกฝนเตาหลอมขจี เขาได้ตระหนักว่าเกิดสิ่งใดขึ้นที่นี่ โดยผู้ยิ่งใหญ่บางคนของมหานครอวิ๋นเหอบอกกล่าว

“ดาบทะลวงเมฆา ควบแน่นสายฝนดั่งดาราจักรสังหารศัตรู วิธีการนี้ไม่ใช่อะไรที่คนหนุ่มขอบเขตรวบรวมลมปราณจะกระทำด้วยตนเองได้ แต่หากพึ่งพาปัจจัยภายนอก ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ”

ภายในวิญญาณของเก๋อเฉียน เสียงแหบเฒ่าชราดังตอบ “ยกตัวอย่าง เหล่าอักขระลับที่สร้างขึ้นโดยนักพรตวิถีต้นกำเนิด เช่นนั้นก็ง่ายกระทำ”

“เป็นเช่นนั้น หรือก็คือ มีความเป็นไปได้สูงที่เทพเซียนเดินดินจะอยู่เบื้องหลังเขางั้นหรือ?”

เก๋อเฉียนครุ่นคิด

ด้วยฐานะทายาทของราชากลืนสมุทร ตัวเขาทราบกระจ่างว่าในดินแดนแห่งต้าโจว มีผู้คนเพียงน้อยนิดที่สำเร็จถึงวิถีต้นกำเนิด

คนกลุ่มน้อยเหล่านั้นถูกเรียกขานเป็น ‘เทพเซียนเดินดิน’ โดยเหล่าผู้บ่มเพาะทั่วหล้า

“ไม่น่า ด้วยการบ่มเพาะขอบเขตรวบรวมลมปราณ ตัวเขาได้กดดันปรมาจารย์วิถีดาบเช่นมู่ชางถูจนโค้งศีรษะยอมรับ รวมทั้งยังสังหารฉินเหวินเยวียนอย่างง่ายดาย เรื่องนี้ไม่ใช่ธรรมดา”

เก๋อเฉียนขมวดคิ้ว “หากเป็นศิษย์เอกอันดับหนึ่งแห่งตำหนักเฟิ่งฉีจากนครหลวงอวี้จิง ถ้าเขาพยายามมากพอ บางทีอาจสำเร็จถึงขั้นนี้ได้ แต่ไม่มีทางง่ายดายเช่นซูอี้”

“หรือจะเป็นโอรสสวรรค์แห่งสำนักดาบมังกรเร้นที่อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งของต้าโจว?”

กล่าวถึงตรงนี้ ใจเก๋อเฉียนพลันเต้นรัว สีหน้ากลับกลายเป็นจริงจัง

สำนักดาบมังกรเร้น!

นั่นคือสำนักยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งต้าโจว อำนาจอิทธิพลเหนือล้ำราวกับไม่ใช่สำนักที่ก่อตั้งโดยปุถุชน!

“สำนักดาบมังกรเร้นไม่นับเป็นอะไร ข้าเคยกล่าวบอกต่อเจ้าแล้ว แดนศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งแห่งต้าโจว ก็ไม่ใช่อะไรมากไปกว่าสถานที่สุมหัวของเหล่าผู้บ่มเพาะ”

เสียงอันแหบแห้งในวิญญาณกล่าวตอบ

เก๋อเฉียนแค่นเสียง “ปีศาจเฒ่า อย่าได้คุยโว ตัวเจ้าขณะนี้พบเจออาจารย์ข้าหรือผู้บ่มเพาะบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ ก็มีแต่จะหวาดเกรงไม่กล้าพูดกล่าวคำใด ขณะนี้กล้าพูดกล่าวถึงศักยภาพของสำนักดาบมังกรเร้นว่าไม่นับเป็นอะไรงั้นหรือ?”

หลังหยุดไปครู่ เขาจึงกล่าวต่อ “หยุดวาจาอันไร้สาระ บอกข้ามา ว่าซูอี้ผู้นี้คืออะไรกันแน่?”

เสียงอันแหบห้าวในวิญญาณกล่าวตอบอย่างไม่พอใจ “แสดงท่าทีเช่นนี้ ยังคิดอยากได้รับคำชี้แนะจากข้าอีกงั้นหรือ!?”

เก๋อเฉียนเงียบงันไปครู่ “หากไม่ตอบ ข้าสาบานว่าครั้งนี้จะขัดคำสั่งท่านอาจารย์ ไม่คิดไปพบซูอี้อีกแต่อย่างใด!”

สาเหตุที่เขามาเยือนมหานครอวิ๋นเหอครั้งนี้ ก็เพราะว่าจนใจ

เพราะความจริงที่ว่าซูอี้นำเอาผลท้อไฟไปสามลูก เก๋อฉางหลิงผู้เป็นราชากลืนสมุทรจึงไม่พอใจ และออกคำสั่งให้เก๋อเฉียนมาสืบสวนเรื่องราวของซูอี้โดยละเอียด

ดังนั้นแล้ว เขาจึงได้แต่จำยอมมาตามคำสั่ง

“ช่างมัน ขืนข้าใส่ใจวาจาไร้สาระของเด็กปากเหม็นอย่างเจ้าทุกครา วิญญาณข้าคงระเบิดเพราะโทสะ”

เสียงแหบห้าวกล่าวตอบเย็นชา “ยังจดจำเคล็ดการฝึกที่ข้าสอนของขอบเขตรวบรวมลมปราณได้หรือไม่?”

“ยังจำได้”

เก๋อเฉียนตอบโดยไม่คิด ก่อนจะต้องประหลาดใจ “เจ้าหมายความว่า ซูอี้คือผู้เปิดหนึ่งร้อยแปดจุดเบิกวิญญาณครบแล้วอย่างนั้นหรือ?”

“ใช่!”

เสียงแหบห้าวถอนหายใจ “ผู้บ่มเพาะในโลกหล้านี้ เคล็ดวิชาที่ฝึกฝนล้วนเป็นเคล็ดวิชาพิกลพิการดาษดื่น กระทั่งไม่ทราบด้วยซ้ำว่าอะไรคือ ‘เลี้ยงจุดเบิกวิญญาณ’ ยามฝึกฝนถึงขอบเขตหลอมกำเนิด รากฐานก็ปรากฏความบกพร่องมากมาย มีหรือจะเป็นคู่ต่อสู้แก่ซูอี้ได้?”

เก๋อเฉียนเผยสีหน้าอัปลักษณ์กล่าวถ้อยคำออก “ปีศาจเฒ่า ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยกล่าวเอาไว้ ในมหาทวีปคังชิงแห่งนี้ นอกจากเจ้าแล้วก็หาได้มีผู้ใดเชี่ยวชาญการเปิดหนึ่งร้อยแปดจุดเบิกวิญญาณ ไฉนตอนนี้ปรากฏคนหนึ่งขึ้นมาแล้ว?”

เสียงแหบห้าวเงียบงันไปครู่ “นั่นจึงเป็นเหตุ ที่ข้าคิดว่าเจ้าควรไปพบเจ้าหนูนั่น หากมีอันตรายใดจริง มีหรือข้าจะนิ่งเฉยไม่ช่วยเจ้าจากความตาย? ถึงเวลานั้น จับตัวมันเอาไว้ให้คายความลับของร่างกายออกมาไม่ดีหรือไร? หากสำเร็จ… พวกเราย่อมได้รับโชคลาภไม่ใช่น้อยแน่!”

สุดท้ายแล้ว เสียงนั้นก็เย้ายวนให้ก่อเรื่องโฉดชั่ว

เก๋อเฉียนเผยสีหน้าดำมืด ศีรษะส่ายตอบแน่วแน่ “ไม่ได้ ชีวิตข้าไม่อาจเอาไปเสี่ยงกับเรื่องเช่นนั้น! เจ้าก็ทราบ ข้าเลือกวางตัวอย่างดี แม้ยามเดินเท้า ข้ายังเกรงจะเหยียบมดที่พื้นด้วยซ้ำ”

เสียงแหบห้าวของปีศาจเฒ่าเงียบงันไป

ตัวตน ‘ปีศาจเฒ่า’ โกรธจนวิญญาณกะพริบวูบวาบ ตัวเขามีชีวิตยาวนานยากนับ แต่กลับไม่เคยพบเจอผู้ใดระมัดระวังตัวถึงเพียงนี้มาก่อน!

ผู้อื่นยามอับอายจึงเกิดความหาญกล้า แต่กลับเจ้าหนูผู้นี้ที่ยอมอับอายยิ่งกว่าสู้ตอบ ช่างเป็นหนทางที่ไม่ต่างอะไรกับผายลม!

ไม่ทราบหรือไรว่าการเป็นผู้บ่มเพาะต้องอาศัยความเฉียบขาด กล้าหาญ และบากบั่น?

เก๋อเฉียนคล้ายไม่ใส่ใจ เขาหันกลับคิดจากไป เร่งเร้นเดินพ้นจากลานฝึกฝนเตาหลอมขจี จนกลับถึงฝั่งแม่น้ำต้าฉาง

“เจ้าคิดทำอะไรต่อ?”

เสียงแหบห้าวอดไม่ได้ที่จะถาม

“กลับไปพบอาจารย์! ข้าจะกล่าวบอกว่าไม่อาจยั่วยุหาเรื่องซูอี้ หากอาจารย์ไม่พอใจ เช่นนั้นให้อาจารย์จัดการเอง อย่างไรข้าก็ไม่ไปพบเขาแน่”

เก๋อเฉียนกล่าวตอบโดยไม่ลังเล

ตัวตน ‘ปีศาจเฒ่า’ ภายในวิญญาณร่ำร้องกราดเกรี้ยวยามได้ทราบ “นี่เจ้าไม่มีแม้ความกล้าจะไปพบเจอเลยรึ?!”

เก๋อเฉียนตอบกลับแน่วแน่ “แน่นอน… ว่าใช่!”

“ไม่ช้าก็เร็ว ข้าคงได้คลุ้มคลั่งเพราะเจ้า!!!”

เสียงแหบห้าวครวญครางตอบกราดเกรี้ยว

เก๋อเฉียนเมินเฉย พร้อมขึ้นขี่กระเรียนขาวบินจากไป

“ไม่ใช่ข้าไม่มีความกล้าหรอก แต่เป็นข้าทราบดีว่าเมื่อใดพบเจอ เมื่อนั้นปีศาจเฒ่าเช่นเจ้าจะไม่อาจอดใจไหว ถึงตอนนั้น หากเจ้าตกตายไปข้าจะทำอย่างไร?”

จนกระทั่งบินสูงถึงชั้นเมฆ เก๋อเฉียนจึงกล่าวอธิบายเสียงเบา

เสียงแหบห้าวเงียบงันไปครู่หนึ่ง ท่าทีราวกับเปลี่ยนไปอย่างเด่นชัด คล้ายโล่งใจ “ที่แท้ เจ้าก็ห่วงตัวข้านี่เอง…”

เก๋อเฉียนยิ้มบาง

ตัวเขาชอบการเที่ยวเล่น ไม่ชื่นชอบอันตราย เรื่องนี้มีตรงใดผิด?

“ซูอี้ พวกเราย่อมได้พบเจอ ซูอี้ฝึกฝนหนึ่งร้อยแปดจุดเบิกวิญญาณสำเร็จได้ เหตุใดข้าจะไม่สำเร็จตาม? ซูอี้ครอบครองความลับมากมาย ตัวข้าเองมีความลับที่ครอบครองเช่นกันไม่ใช่หรือ?”

“อาจารย์มักกล่าวบอกโดยตลอด ข้าคือตัวเอกแห่งยุคสมัยนี้ แต่ข้าทราบว่าคำท่านอาจารย์เชื่อได้ก็เพียงครึ่ง”

“แต่ข้าก็คาดหวัง… ว่าเขาและข้าคงไม่เป็นศัตรูต่อกัน หากไม่แล้ว…”

ระหว่างครุ่นคิดไปเรื่อย นกกระเรียนขาวพลันสะบัดปีกที่ราวกับคมมีด กรีดผ่านอากาศแหวกเดินทางไป

ค่ำคืนเดียวกัน

ตำหนักเทียนหยวน

ตรงหน้าหอบริเวณยอดภูเขา

“หลิงเจาอยู่หรือไม่?”

เสียงอันอ่อนนุ่มและน่ารับฟังดังปรากฏ ภายใต้ม่านยามราตรี สตรีผู้งดงามในชุดสีเรียบเดินเข้ามา

ภายใต้แสงเงา เส้นผมยาวของสตรีเปรียบดังหิมะพลิ้วไหว งดงามและอ่อนช้อยประหนึ่งสายน้ำ ใบหน้าบริสุทธิ์งดงาม

พร้อมกับท่าทีเย็นเยือก

“อาจารย์ เหตุใดท่านจึงมาที่นี่?”

ประตูหอเปิดออก เหวินหลิงเจาก้าวเดินออกมา พร้อมร่องรอยความประหลาดใจที่ปรากฏบนใบหน้างดงาม

สตรีเส้นผมสีขาวราวหิมะคืออาจารย์ของนาง จู้กู่ชิง!

ปรมาจารย์ดาบผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ดาบมือหนึ่งแห่งสายหมอก ผู้มีชื่อเสียงขจรทั่วหกแคว้นสามสิบหกเขตปกครอง

และเป็นหนึ่งในเก้าผู้อาวุโสแห่งตำหนักเทียนหยวน

ยามมองที่เหวินหลิงเจา สายตาของจู้กู่ชิงค่อยโอนอ่อนลงและกล่าวคำ

“แดนลับแห่งขุนเขาอวิ๋นหลางใกล้จะเปิดแล้ว ข้าคว้าสิทธิ์มาให้เจ้าได้แล้ว ตระเตรียมตัวเอาไว้ รีบขัดเกลาขอบเขตรวบรวมลมปราณของเจ้าให้สมบูรณ์ ครั้งเวลาไปเจ้าจะได้รับผลประโยชน์จากแดนลับแห่งขุนเขาอวิ๋นหลางเต็มที่”

ดวงตาเหวินหลิงเจาทอประกายยินดี นางเร่งรีบทำความเคารพตอบรับ “ขอบคุณท่านอาจารย์!”

“ศิษย์และอาจารย์ เหตุใดยังต้องมากมารยาทต่อกัน”

จู้กู่ชิงกล่าวเช่นนี้ ก่อนจะลังเลไปครู่ และค่อยกล่าวคำเสริม “มีคนผู้หนึ่งมาจากจวนผู้ว่าการ กล่าวว่าหากเจ้าต้องการ ผู้ว่าการเซี่ยงเทียนชิวจะมาด้วยตนเอง เพื่อช่วยเจ้าคลี่คลายสถานะสมรส”

เหวินหลิงเจาขมวดคิ้วเล็กน้อย “อาจารย์ ตัวตนเช่นผู้ว่าการเขตปกครองคงไม่ทำเพราะเมตตากระมัง? ข้าเดาว่าต้องเป็นความคิดของศิษย์พี่เซี่ยงหมิง เขาทราบว่าข้ากำลังครุ่นคิดถึงเรื่องใด แต่เรื่องของข้าก็ควรเป็นข้าสะสางด้วยตนเอง”

จู้กู่ชิงพยักหน้าตอบรับ ริมฝีปากเผยร่องรอยความโล่งใจ “ทราบหรือไม่ว่าเหตุใดข้าคิดรับตัวเจ้าเป็นศิษย์? นั่นเพราะเจ้าเหมือนข้าครั้งยังเยาว์ ที่ไม่ต้องการให้โชคชะตาของตนถูกผู้อื่นกำหนด นั่นก็ถือเป็นเรื่องดี ข้าสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้า”

เหวินหลิงเจาชะงักงัน ก่อนที่ในใจราวกับบังเกิดคลื่นวงน้ำ

นางสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมกล่าวตอบ “อาจารย์ ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!”

จู้กู่ชิงครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวตอบ “อีกไม่กี่วันถัดจากนี้ ข้าจะไปยังมหานครอวิ๋นเหอ หากมีเวลา จะไปยังสำนักดาบชิงเหอเพื่อพบน้องสาวเจ้า ดูว่าคุณสมบัตินางดีเท่าที่เจ้ากล่าวหรือไม่ ข้าจะได้นำพานางกลับมายังตำหนักเทียนหยวน”

“วิเศษแล้ว!”

เหวินหลิงเจาเผยดวงตากระจ่างเป็นประกาย ท่าทีเย็นเยือกโดยตลอดของนางปรากฏความยินดีที่หาได้ยาก “ข้าเชื่อว่าน้องหญิงจะต้องไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวัง”

“กล่าวไปแล้ว ท่านคิดไปธุระใดที่มหานครอวิ๋นเหอหรือ?”

เหวินหลิงเจาเอ่ยถามด้วยความสงสัย

จู้กู่ชิงไม่คิดปิดบัง และกล่าวคำบอกตามตรง “ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการ มันเกี่ยวข้องกับพรรคมารหยิน ตามแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ สามผู้พิทักษ์พรรคมารหยินแห่งแคว้นกุ่นได้ลักลอบเข้าไปยังมหานครอวิ๋นเหอ ไม่ว่าพวกนั้นคิดก่อการใด อย่างไรก็เป็นตัวตนโฉดชั่ว สมควรเร่งกำจัดสังหารโดยเร็วจึงดีที่สุด!”

สิ้นคำกล่าว ร่องรอยจิตสังหารปรากฏในดวงตา ท่าทีราวกับแปรเปลี่ยนตัวคนประหนึ่งคมดาบ

เหวินหลิงเจากล่าวเสียงเบา “เช่นนั้นแล้วอาจารย์ ขอท่านระวังตัว”

“ไม่ต้องห่วง นอกจากข้าแล้ว ยังมีคนอื่นร่วมงานครั้งนี้ด้วย นี่ก็ดึกแล้ว เจ้ากลับไปพักเสีย”

สิ้นคำกล่าว จู้กู่ชิงจึงขอตัวกลับไป

เหวินหลิงเจาแทบไม่อาจสูดลมหายใจเข้าลึกจนกระทั่งอีกฝ่ายลับตา รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากแดงเรื่อของนาง ด้วยการมีอาจารย์ของนางร่วมทาง การมาที่นี่ของน้องหญิงก็ไม่มีเรื่องใดต้องห่วงกังวล…

นางหันกลับเดินเข้าห้อง ขณะคิดฝึกฝน นางพลันนึกขึ้นได้ว่าอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการเพิกถอนสถานะสมรส

ตามปกติ ยามที่นางนึกถึงสามีนามซูอี้ ความหงุดหงิดก็จะบังเกิดขึ้นในใจ

ไม่นานมานี้ นางเพิ่งได้รับจดหมายจากนายหญิงเฒ่า จึงได้ทราบถึงศักยภาพที่ซูอี้สำแดงยังงานประลองประตูมังกรในฐานะตัวแทนเมืองกว่างหลิง

แม้ว่านางประหลาดใจบ้าง แต่สำหรับตัวนางในยามนี้ ความสำเร็จของซูอี้หาได้นับเป็นอะไรไม่

“ฟื้นคืนการฝึกฝนแล้วอย่างไร ได้รับอันดับหนึ่งงานประลองประตูมังกรแล้วเป็นเช่นไร? ข้าไม่ชอบ ก็คือข้าไม่ชอบ ไม่มีผู้ใดบังคับตัวข้าได้”

เหวินหลิงเจาพึมพำกับตนเองภายในใจ ดวงตากระจ่างของนางค่อยสงบลง ประหนึ่งหิมะที่ร่วงหล่นหยุดนิ่งและเย็นเยือก

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *