บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 61 เด็กสาวในเครื่องแบบ

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 61 เด็กสาวในเครื่องแบบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 61 เด็กสาวในเครื่องแบบ

บุตรเขย!

มันมักเป็นคำที่ส่อเค้าไปสู่ความดูหมิ่นอยู่โดยตลอด

เหวินเจวี๋ยหยวนเอ่ยคำ น้ำเสียงแม้ไม่ประชด แต่ภายในถ้อยคำกลับเปี่ยมด้วยความดูหมิ่น

เป็นเรื่องจริงที่ว่าในทางฝีมือแล้ว เขาไม่ใช่คู่แข่งของซูอี้

ทว่าทางใจ เขาก็ยังคงดูหมิ่นซูอี้

ซูอี้มองเหวินเจวี๋ยหยวนก่อนถอนหายใจพร้อมส่ายศีรษะ “บางครั้ง การยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอ ก็ยากกว่าการยอมรับว่าผู้อื่นแข็งแกร่ง เจ้าเป็นผู้นำรุ่นเยาว์แห่งตระกูลเหวิน แต่กลับทำได้แค่ใช้สถานะในตระกูลกดข่มข้า ช่างน่าอดสูยิ่งนัก”

“เจ้า…”

ใบหน้าของเหวินเจวี๋ยหยวนพริบตากลายเป็นอัปลักษณ์ คำพูดของซูอี้เปรียบได้ดังกับดาบคมกล้าแทงจี้จุดใจดำ

ซูอี้กล่าวอย่างเมินเฉย “ว่าอะไร เสียหน้าเกินไปหรือ? ข้ายืนอยู่ตรงนี้ ตราบใดที่เจ้าลงมือ ข้าจะยอมถอนคำพูดเมื่อครู่นี้คืน”

ใบหน้าของเหวินเจวี๋ยหยวนแปรเปลี่ยนฉับพลัน แววตาเปี่ยมด้วยโทสะจนแทบระเบิดออกมา

แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่กล้าลงมือ

เพราะเขาทราบดี ตนเองไม่มีโอกาสเอาชนะ ทั้งยังจะพ่ายแพ้อย่างน่าเวทนา มีแต่เสียหน้ายิ่งกว่าเดิม

พบเห็นดังนี้ ซูอี้ก็คร้านเกินจะพูดคำใดอีก

ไม่ว่าจะเพราะเลือดร้อน หรือกลัวที่จะยอมรับว่าตนเองอ่อนแอ แต่ผู้นำคนตระกูลเหวินรุ่นเยาว์ผู้นี้ก็คงประสบความสำเร็จในอนาคตได้ยาก

เหวินเจวี๋ยหยวนที่อดกลั้นมานาน จู่ ๆ ก็กัดฟันแน่นเอ่ยขึ้น “ซูอี้ เจ้าอย่าได้นึกยินดีจนเกินไป ท่านลุงรองกล่าวบอกต่อข้า หากเมื่อใดบิดาข้ากลับมา จะมีการหารือในตระกูลถึงหนทางจัดการเรื่องของเจ้า!”

ซูอี้พ่นลมหายใจตอบรับเย้ยหยัน “หวังว่าเมื่อถึงเวลานั้นตระกูลเหวินของเจ้าจะยกเลิกสถานะแต่งงานของข้ากับเหวินหลิงเจาได้เสียที”

“เจ้า…” เหวินเจวี๋ยหยวนพูดกล่าวไม่ออก

ขณะนี้เองที่ปรากฏเสียงกีบเท้าสัตว์ควบมาแต่ไกล ไม่กี่อึดใจจึงมาถึงหน้าสำนักแพทย์ซิ่งหวง

ที่นำมาคือม้าสีขาวสลับดำที่ดูไม่ธรรมดา มีเด็กสาวสวมเครื่องแบบทหารนั่งอยู่

ทันทีที่มาถึง นางชี้แส้ไปที่เหวินเจวี๋ยหยวนพร้อมกล่าวราวเหลืออด “เจ้าพบเจอคนหรือยัง?”

เด็กสาวมีรูปร่างเพรียว มีเสน่ห์ดังเปลวเพลิง สวมเครื่องแบบทหาร มีธนูกับกระบี่คาดไว้ที่เอวเสริมจิตวิญญาณอย่างผู้กล้า ท่าทางดูทรงอำนาจ

ด้านหลังของนาง มีผู้ติดตามอยู่กลุ่มหนึ่ง ยิ่งทำให้นางสะดุดตาเป็นพิเศษ

สีหน้าของเหวินเจวี๋ยหยวนแปรเปลี่ยนไป ก่อนจะรีบค้อมมือคำนับและกล่าวคำ “แม่นางหยวนไม่ต้องห่วง ข้าพบตัวแล้ว ผู้ที่อยู่ข้างข้านี้คือกัวปิ่ง ในเมืองกว่างหลิงนี้ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องสันเขามารดาภูตผีไปมากกว่าเขาแล้ว”

เด็กสาวในเครื่องแบบมอง ยามพบเห็นเห็นแก้มยับย่นของอีกฝ่าย หญิงงามจึงอดขมวดคิ้วไม่ได้

นางกดความรู้สึกรังเกียจไว้ในใจ และกล่าวกับกัวปิ่ง “เจ้าจงไปที่สันเขามารดาภูตผีพร้อมกับพวกเรา และเพื่อเป็นการตอบแทน ข้าจะให้เงินเจ้าหนึ่งพันตำลึง”

กัวปิ่งส่ายหน้ากล่าวคำตอบ “แม่นาง ข้าสัญญาไว้แล้วว่าจะพาท่านเขยซูไปที่สันเขามารดาภูตผี…”

เหวินเจวี๋ยหยวนรีบขัดคำขึ้น “กัวปิ่ง เจ้าเป็นคนเก็บสมุนไพรของตระกูลเหวิน จงทำตามที่ข้าสั่ง หากเจ้ากล้าปฏิเสธ ก็อย่าได้หาว่าข้าโหดร้าย!”

กัวปิ่งเริ่มตัวสั่น กระนั้นก็ยังกล่าวออกด้วยความกล้า “นายน้อย ข้า…ข้าทำตามท่านไม่ได้!”

“เหวินเจวี๋ยหยวน นี่มันเรื่องราวใด?” เด็กสาวในเครื่องแบบเกิดสงสัยขึ้นมา

เหวินเจวี๋ยหยวนจับจ้องกัวปิ่งเกรี้ยวกราด ไม่ช้าจึงเผยยิ้ม ก่อนจะอธิบายเรื่องราวโดยคร่าว

นับเป็นครั้งแรกที่เด็กสาวในเครื่องแบบมองไปยังซูอี้ นางเกิดประหลาดใจ “เจ้าก็คิดจะไปสันเขามารดาภูตผีงั้นหรือ?”

ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “แล้วเป็นเช่นไร?”

“ที่นั่นอันตรายมาก เจ้าจะไปทำอะไร?” เด็กสาวในเครื่องแบบขมวดคิ้ว

“พวกเจ้าไปทำอะไรกันเล่า?” ซูอี้ถามกลับ

เพียงมองปราดเดียวก็ทราบว่าคนเหล่านี้มีความเป็นมาซับซ้อน อาจบังเอิญที่พวกเขาเหล่านี้ไปค้นหาสมบัติที่สันเขามารดาภูตผีเช่นกัน

เด็กสาวในเครื่องแบบพ่นลมหายใจเย็นชา “คำถามข้าไม่ตอบ คิดถามกลับเอาข้อมูลจากพวกเรา ช่างโอหังยิ่งนัก!”

ซูอี้ส่ายศีรษะพลางยิ้ม เขาหาได้มีอารมณ์คิดโต้เถียงสตรีผู้ถือดีตรงหน้าผู้นี้

“ผู้เฒ่ากัว ไปกันเถอะ” ซูอี้กล่าวกับกัวปิ่งที่อยู่ข้างกาย

“หัวรั้นและไร้ความเชื่องยิ่งนัก!”

ทันใดนั้น เด็กสาวในเครื่องแบบผู้อยู่บนหลังม้าพลันยกด้ามแส้ในมือขึ้น ก่อนจะชี้ไปที่ซูอี้ ถ้อยคำกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าจะกล่าวครั้งสุดท้าย ผู้เฒ่าคนนี้ต้องมากับพวกเรา!”

สิ้นคำ คณะผู้ติดตามใกล้เคียงก้าวเดินออก มือจับที่ด้ามดาบ สายตาจับจ้องซูอี้อย่างกินเลือดเนื้อ

กัวปิ่งรู้สึกหนาวสันหลัง ถึงขนาดหดศีรษะ

เหวินเจวี๋ยหยวนที่รับชมเรื่องราวกลับบังเกิดความตื่นเต้นขึ้น

เขาคิดอยากได้รับชมสตรีในเครื่องแบบผู้นี้ใช้กำลังสักครา เพื่อมอบบทเรียนแก่ซูอี้!

หาได้มีผู้ใดทราบดีไปกว่าเขา สตรีในเครื่องแบบผู้นี้มีอำนาจล้นพ้น ขนาดเจ้าเมืองฟู่ซานมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ ก็ไม่มีทางคุ้มหัวซูอี้!

คิ้วซูอี้ขมวดเล็กน้อย สายตามองไปยังสตรีในเครื่องแบบ ถ้อยคำกล่าวตอบ “หากเป็นเวลาอื่น ข้าคงไม่ถือสาเอาความสตรีที่ไม่รู้จักประมาณตนเช่นเจ้า แต่ขณะนี้เจ้า… กำลังทำข้ามีโทสะ!”

ไม่ช้า ประกายความเย็นเยือกปรากฏในห้วงลึกดวงตาของเขา พลังปราณรอบกายแปรเปลี่ยนฉับพลัน

สตรีในเครื่องแบบเบิกตาโพลง นางรู้สึกประหนึ่งปรากฏดาบทิ่มแทงลำคอ ใจนางเกิดความเย็นเยือกยากอธิบาย ถึงขนาดทำเอาขนลุกจนปรากฏตุ่มขนขึ้นทั้งร่าง

ชวนขนลุก!

ก่อนที่นางจะทันตอบสนอง ม้าขาวสลับลายดำที่อยู่ใต้หว่างขาของนางพลันร้องด้วยความหวาดกลัว กระทืบกีบเท้าอย่างแรง สุดท้ายอ่อนแรงล้มลงกับพื้น

“คุณหนู เป็นอะไรหรือไม่!?”

ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมสีเทาข้างกายนางลงมือรวดเร็ว ขณะม้าขาวสลับลายดำล้มร่าง เขาพลันกระโดดคว้าตัวนางเอาไว้ ก่อนจะวางนุ่มนวลลงกับพื้น

“ข้า…ข้าไม่เป็นไร”

สตรีในเครื่องแบบตื่นกลัวอย่างเด่นชัด ใบหน้างามมีเสน่ห์ของนางซีดเผือด

ขณะมองไปยังม้าขาวสลับดำอีกครั้ง มันยังร้องดัง ตัวสั่นงันงก ไม่กล้าลุกขึ้น

ผู้คนแตกตื่นต่อเรื่องราวจนเสียสมาธิ พวกเขาไม่อาจทราบว่าม้าขาวสลับดำที่ดีมาโดยตลอด กลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร

สตรีในเครื่องแบบหันมองซูอี้ ใบหน้างดงามซีดเผือดของนางกัดฟันเอ่ยคำออก “เมื่อครู่นี้ฝีมือเจ้างั้นหรือ?”

หลังรับฟัง ชายวัยกลางคนชุดสีเทาและผู้อื่นเผยสีหน้าบึ้งตึง พวกเขาหันมองจากหลังม้า ปิดล้อมซูอี้พร้อมจิตสังหารอันท่วมท้น

กระนั้นแล้ว ซูอี้กลับสงบนิ่งประหนึ่งหาได้มีอันตรายล้อมตัวแต่ประการใด สายตาเขามองไปยังม้าขาวสลับดำบนพื้น “สัตว์ตัวนี้ยังฉลาดเสียยิ่งกว่าคน”

“กล้าดีอย่างไรดูหมิ่นข้า!”

สตรีในชุดเครื่องแบบเบิกตากว้าง ใบหน้างดงามหมองหม่นลง

ขณะเดียวกัน เหวินเจวี๋ยหยวนพลันหลบฉากโดยไม่รู้ตัว สายตามองซูอี้ด้วยความนึกสมเพช

เกรงว่าอีกฝ่ายไม่ทราบว่าขณะนี้กำลังล่วงเกินตัวตนสูงส่งใดอยู่

แต่แล้วเรื่องราวเกินคาดก็บังเกิด ช่วงแห่งความเคร่งเครียด กัวปิ่งกลับยืนหยัดตรงหน้าซูอี้!

ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของผู้คน กัวปิ่งเอ่ยคำด้วยอาการสั่นเทา “ขอทุกท่านระงับโทสะก่อน ในเมื่อพวกเราต่างคิดไปยังสันเขามารดาภูตผี เช่นนั้นร่วมทางกันได้ แต่หากพวกท่านคิดรังแกท่านเขย ข้า…ข้าพร้อมตายที่นี่ดีกว่านำทางให้!”

สุดท้ายแล้ว สีหน้าของคนเก็บสมุนไพรผู้นี้กลับเผยความแน่วแน่อันยิ่งใหญ่

ซูอี้อดไม่ได้จนต้องมองไปยังคนข้างกายตนเองผู้นี้อีกครั้ง

กลุ่มชายวัยกลางคนในชุดเทาและคณะ ต่างเผยความลังเลใจกันไปครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงหันมองยังสตรีในชุดเครื่องแบบ

สตรีในเครื่องแบบผู้มีสีหน้าหม่นหมอง เพียงครู่นางกลับโบกมือกล่าวคำตอบ “ก็ได้! การไปยังสันเขามารดาภูตผีมีความสำคัญยิ่งกว่า ร่วมทางก็ไม่ได้เสียหายใด”

“ตาเฒ่าผู้นี้ต้องได้รับการสั่งสอน!”

เหวินเจวี๋ยหยวนโกรธจัดถึงขนาดกัดฟันแทบแตก ในใจเปี่ยมล้นด้วยความผิดหวัง

เขาที่คาดหวังจะได้พบเห็นหายนะของซูอี้ ผู้ใดกันนึกคิด ว่ากัวปิ่งจะดับความคาดหวังให้เลือนหาย!

“ท่านเขย แบบนี้ท่านคิดเห็นเช่นไร?” กัวปิ่งถามอย่างระวัง

ซูอี้กล่าว “เอาสิ”

กัวปิ่งกล้าออกตัวซึ่งหน้า เรื่องนี้ทำเขาเกิดประหลาดใจ และยังรู้สึกประทับใจเช่นกัน

นับเป็นเรื่องหาดูยากที่ชายชราผู้ไร้การบ่มเพาะคนหนึ่ง จะกล้ายืนหยัดในเหตุการณ์เช่นนี้ ดูราวกับไม่คำนึงถึงชีวิตเป็นตายของตน

“เช่นนั้นก็ตามนี้” กัวปิ่งยิ้มรับพร้อมถอนหายใจ ก้นบึ้งในใจเกิดโล่งอก

เรื่องหนึ่งที่เขาไม่ทราบ คือหากเขาไม่ก้าวออกมาเมื่อครู่ ฝ่ายที่ถูกจัดการย่อมไม่ใช่ซูอี้

แน่นอนว่า ทางด้านสตรีในเครื่องแบบไม่คาดคิดเช่นกัน ว่าการกระทำเถรตรงของกัวปิ่งนี้ จะช่วยให้พวกนางรอดพ้นจากหายนะอย่างฉิวเฉียด

“อาหย่ง มอบม้าให้พวกเขา” สตรีในเครื่องแบบออกคำสั่ง

ม้าขาวสลับลายดำของนางกลับมาเป็นปกติ มันลุกขึ้นจากพื้น ก่อนใช้จมูกของมันจูบแขนของนางด้วยความรัก เป็นผลให้นางค่อยรู้สึกดีขึ้นบ้าง

กระนั้นแล้ว ยามหันไปมองยังซูอี้ มันทำทีราวกับยังหวาดเกรง

“ไม่จำเป็นต้องขี่ม้า พวกเราจะเดินเท้า” ซูอี้กล่าวอย่างสงบ

สตรีในเครื่องแบบเกิดนึกรำคาญ “ไม่ทราบหรือว่าการกระทำของตัวเจ้ากำลังทำผู้อื่นเสียเวลา?”

กัวปิ่งเร่งร้อนอธิบาย “แม่นางสงบใจก่อน ตัวข้าชรามากแล้ว กระดูกไม่ดีจึงไม่อาจทนแรงกระแทกจากอานม้าได้ไหว ท่านเขยกับข้าจึงต้องเดินเท้า พวกเรานัดพบกันที่เนินฝังศพตรงตีนสันเขามารดาภูตผีนอกเมืองเลยจะดีกว่า”

สตรีในเครื่องแบบสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะกล่าวคำอย่างอดกลั้น “งั้นก็ตามแต่พวกเจ้า!”

สิ้นคำนาง ร่างบนหลังม้าหันกลับ ร่างเพรียวบางและขาคู่งามประหนึ่งหยกควบขี่ นำพาม้ามุ่งออกไปไกล

ผู้ติดตามคนอื่นรีบติดตามอย่างรวดเร็ว

ขณะชายวัยกลางคนในชุดเทาที่ถูกเรียกหา ‘อาหย่ง’ ติดตามไป เขากลับเข้าหาเหวินเจวี๋ยหยวนพร้อมกล่าวคำเย็นเยือก

“นอกเหนือจากพวกข้าที่อยู่ ณ ที่นี้ ผู้อื่นหาได้ทราบตัวตนของคุณหนูเว้นแต่เจ้า การกระทำของเจ้าเมื่อครู่แฝงไปด้วยเล่ห์น่ารังเกียจ ข้าแนะนำหากมีคราวหน้า คนที่เกิดปัญหาจะไม่ใช่ผู้อื่นแต่เป็นเจ้า!”

เหวินเจวี๋ยหยวนเผยสีหน้าแปรเปลี่ยน เม็ดเหงื่อกาฬเย็นเยือกผุดขึ้นจากหน้าผาก

ขณะเขาคิดอธิบาย ชายวัยกลางคนในชุดเทาก็หันกลับและจากไป

“กลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร…” เหวินเจวี๋ยหยวนถึงกับจิตหลุด

ที่ใกล้เคียง ซูอี้ลอบส่ายศีรษะ

เมื่อขณะที่เหวินเจวี๋ยหยวนอธิบายเรื่องราวให้สตรีในเครื่องแบบได้ทราบ คำพูดคำจาของเขาแฝงไว้ซึ่งการปลุกปลั่น ประหนึ่งคิดถอยฉากไปรับชมสองฝ่ายปะทะกันเอง

ทว่าผู้อื่นไม่ใช่คนโง่ เหวินเจวี๋ยหยวนทราบตัวตนของสตรีในเครื่องแบบอยู่แล้ว หากเป็นตามปกติ ตัวเขาย่อมกล่าวคำอันชัดเจน กระทั่งเอ่ยสถานะตัวตนของสตรีในเครื่องแบบเพื่อสะกดข่มซูอี้

ทว่าเขาเลือกไม่ทำ ที่เลือกคือการสุมไฟ

ชัดเจนว่าผิดปกติ

ชายวัยกลางคนในชุดสีเทาคาดคิดเจตนาเหวินเจวี๋ยหยวนได้ ดังนั้นจึงกล่าวเตือนก่อนจากไป

การพึ่งพิงผู้มีอำนาจ คิดสุมไฟใช้สถานการณ์ข่มเหงผู้อื่น ขณะที่ตนเองถอยฉากออกไป เรื่องนี้ไม่ใช่ชาญฉลาด ทว่ากลับโง่งม!

ซูอี้ไม่คิดให้ความสนใจเหวินเจวี๋ยหยวน ไม่ช้าจึงออกไปทางประตูเมืองพร้อมกัวปิ่ง

เหวินเจวี๋ยหยวนรับชมแผ่นหลังซูอี้ไกลห่าง สีหน้าคล้ำเขียวไปมา มือกำหมัดเอาไว้แน่น

“ซูอี้ เมื่อใดบิดาข้ากลับมาถึง เจ้าจะไม่มีทางโอหังได้ดังเช่นตอนนี้แน่นอน!”

เหวินเจวี๋ยหยวนเชื่อมั่น เรื่องราวผิดพลาดในวันนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะซูอี้!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *