บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 579: วาสนา เมล็ดพันธุ์ ผลต้นและกรรม

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 579: วาสนา เมล็ดพันธุ์ ผลต้นและกรรม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 579: วาสนา เมล็ดพันธุ์ ผลต้นและกรรม

ตอนที่ 579: วาสนา เมล็ดพันธุ์ ผลต้นและกรรม

“เจ้าจะบอกว่าอาคังเจตนาให้เจ้าทำร้ายเช่นนั้นหรือ?”

สีหน้าของนกกระจอกสีเทาดูสับสน จากนั้นพลันหัวเราะขึ้นมา “เจ้าเป็นเพียงแค่ตัวตนในขอบเขตรวบรวมดาราเท่านั้น คิดเข้าข้างตัวเองแล้วกระมัง?”

ซูอี้ไม่ได้สนใจคำพูดเย้ยหยันของนกบ้า พอเขาคลายมือ

สวบ!

เลือดสีทองกลุ่มนั้นโฉบไปยังต้นไม้โบราณที่มีซากดวงดาวแขวนอยู่จนเต็ม และหายไปอย่างเงียบ ๆ

ซูอี้เห็นเช่นนี้แล้วกล่าวอย่างใช้ความคิด “พูดมา เหตุใดตอนนั้นเจ้าจึงจงใจให้ข้าแทงโดน?”

นกกระจอกสีเทาพูดด้วยความโมโห “อาคัง อย่าไปสนใจคนที่คิดเข้าข้างตัวเองคนนี้เด็ดขาด เขา…”

ไม่รอให้พูดจบ แสงสีเขียวสว่างสาดส่องเคลื่อนลงมากลายเป็นฝ่ามือเรียวงามตีนกกระจอกสีเทาเบา ๆ

ขณะเดียวกันนี้เอง เสียงเยือกเย็นก็ดังขึ้น “นกกระจอกน้อย ให้ข้าพูดเอง”

นกกระจอกสีเทานิ่งเงียบไป

ซูอี้กล่าวด้วยความตระหนก “หรือว่า ต้นกำเนิดแห่งคังชิงเกิดมีสามัญสำนึกขึ้นมาแล้วเช่นนั้นหรือ?”

“สหายเต๋าเข้าใจผิดแล้ว ข้าก็เหมือนกับนกกระจอกน้อย กำเนิดมาจากวิญญาณโดยกำเนิดภายในต้นกำเนิดแห่งคังชิงแห่งนี้ หาใช่วิญญาณโดยกำเนิดของที่มาแห่งคังชิงเองไม่”

น้ำเสียงเยือกเย็นนั้นราวกับเสียงหยดน้ำ

ต่อมาซูอี้ก็มองเห็นแสงสีเขียวที่ถักทอจนเต็มต้นไม้โบราณซากดวงดาว รวมตัวกันเป็นร่างของสาวน้อยอันเลือนราง

สาวน้อยสวมใส่ชุดกระโปรงสีฟ้าพลิ้วราวปุยเมฆ มีผมขาวโพลนยาวสลวย รูปหน้างดงามปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางท่ามกลางหมอกจาง ๆ เพิ่มความงดงามอย่างลึกลับขึ้นมา

เท้าอวบอิ่มขาวนวลของนางโผล่ออกมา เงาวงล้อน้ำแข็งสีขาวสะอาดผุดผ่องปรากฏอยู่ด้านหลัง

พอปรากฏตัวขึ้น สาวน้อยพยักหน้าแสดงความคารวะต่อซูอี้น้อย ๆ “สหายเต๋าสามารถเรียกข้าว่าอาคัง เหมือนดังที่สหายเต๋าว่าไว้ ก่อนหน้านี้ข้าจงใจได้รับบาดเจ็บและทิ้งรอยเลือดนั้น จุดมุ่งหมายนั้นง่ายมาก นั่นคือต้องการจะพบหน้าสหายเต๋าสักครั้ง”

เห็นเช่นนี้ นกกระจอกสีเทาพูดไม่ออกอีก ได้แต่เบิกตากว้าง ถึงตอนนี้จึงเข้าใจแล้วว่าสาเหตุที่อาคังได้รับบาดเจ็บ เพราะเจตนาจริง ๆ!

นกกระจอกสีเทาอดเบนสายตามองไปที่ซูอี้อีกครั้งไม่ได้ คนในขอบเขตรวบรวมดาราคนนี้… มีอะไรที่ต่างไปจากคนอื่นเช่นนั้นหรือ?

ซูอี้พยักหน้า กล่าวด้วยความอยากรู้ “เจ้ามองออกได้อย่างไรว่าข้าสามารถมาถึงตรงนี้ได้?”

ดวงตาของสาวน้อยอาคังส่องสว่างดุจดังแสงดาว มองไปที่ซูอี้ จากนั้นกล่าวคำเสียงเบา “ข้าสามารถรู้สึกได้ว่า บนตัวของสหายเต๋า มีพลังลึกลับน่ากลัวมากแฝงอยู่ เพียงแต่ไม่อาจตัดสินได้แน่ชัดว่านั่นเป็นพลังในขั้นระดับใด เพราะเหตุนี้เองจึงยังยั้งความอยากรู้ไว้ไม่ได้ ใช้เลือดเป็นตัวล่อ ทดสอบสหายเต๋าว่าจะสามารถมาถึงได้หรือไม่”

ซูอี้เลิกคิ้ว สาวน้อยคนนี้สามารถรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของดาบเก้าคุมขังเช่นนั้นหรือ?

ไม่ธรรมดาเลย!

เวลานี้ ริมฝีปากของสาวน้อยอาคังผุดรอยยิ้มบาง ๆ จนแทบมองไม่เห็นออกมา กล่าว “ตอนนี้ดูท่าแล้ว ข้าดูไม่ผิดเลย ถึงแม้ตอนนี้สหายเต๋าจะมีระดับการฝึกในขอบเขตรวบรวมดารา ทว่าพลังที่มีในตัวเกินกว่าที่ผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ในโลกสามัญจะสามารถเทียบเทียมได้”

คำพูดประโยคสุดท้ายนางพูดด้วยน้ำเสียงเน้นย้ำ

ผู้ฝึกตนเป็นคำเรียกโดยรวม หมายถึงผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดได้ และยังหมายถึงผู้ฝึกตนที่อยู่ในขอบเขตใด ๆ ในโลกสามัญยุคปัจจุบันก็ได้!

นกกระจอกสีเทาฟังเข้าใจความหมายที่แอบแฝงอยู่ในคำพูดของอาคัง แล้วก็อดร้องออกมาไม่ได้ “อาคัง พลังบนตัวมดตะนอยตัวนี้ร้ายกาจมากถึงเพียงนั้นจริง ๆ หรือ?”

เห็นได้ชัดว่านกกระจอกสีเทาไม่เชื่อเอาเสียเลย

ซูอี้ไม่ได้สนใจนกบ้าตัวนี้ สายตายังคงจับจ้องไปที่อาคังอยู่ตลอด จากนั้นกล่าวคำ “ตอนนี้เจ้าได้พบกับข้าแล้ว มีอะไรต้องการจะพูดเช่นนั้นหรือ?”

อาคังนิ่งเงียบไปชั่วครู่จึงกล่าว “หากว่าเป็นไปได้ ข้าหวังว่า จะสามารถสร้างวาสนากับสหายเต๋า”

“วาสนา?”

คิ้วของซูอี้เลิกขึ้นน้อย ๆ “หากเจ้าต้องการจะให้ข้าซ่อมแซมต้นกำเนิดแห่งคังชิงให้ล่ะก็ อย่าได้พูดอีกเลย หากว่าข้าดูไม่ผิด มันใกล้จะแตกสลายไปนานแล้ว อีกไม่นานเท่าไร เพียงแค่ไม่กี่ปีก็ต้องแตกสลายกลายเป็นเศษย่อย”

“เหลวไหลทั้งเพ!”

นกกระจอกสีเทาร้องตวาดด้วยความโกรธ

ทว่าอาคังกลับถอนใจ พลางกล่าว “ปิดบังสหายเต๋าไม่ได้จริง ๆ เหมือนดังที่สหายเต๋ากล่าว ถึงแม้ในที่สุดที่มาแห่งคังชิงในตอนนั้นจะสามารถต้านรับแรงกระแทกของพายุดวงดาวได้ ทว่าในช่วงเวลาสามหมื่นปีมานี้เจอการกัดเซาะของพลังการจองจำแห่งยุคมืดมาโดยตลอด”

“จนถึงตอนนี้ ที่มาแห่งคังชิงไม่อาจฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้อีก”

พูดถึงตรงนี้ อาคังก็นิ่งเงียบไปชั่วครู่ จึงกล่าว “ที่มาแห่งคังชิงจะไม่แตกสลายไปเช่นนี้ แต่จะกลายเป็นกลิ่นอายมหาวิถีดั้งเดิม ย้อนกลับมาดูแลมหาทวีปคังชิง”

“และเมื่อวันนั้นมาถึง มหาทวีปคังชิงก็จะต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน”

ฟังถึงตรงนี้ ซูอี้แสดงสีหน้าว่าที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เองออกมา แล้วจึงกล่าวขึ้น “นี่ก็คือแสงสว่างแห่งโลกกว้างที่ผู้ฝึกตนนอกภูมิจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนรอคอย”

อาคังพยักหน้า พลางกล่าว “สิ่งนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นแสงสว่างแห่งโลกกว้างจริง ๆ มหาทวีปคังชิงในตอนนั้น ปราณวิญญาณในโลกก็จะเกิดขึ้นอย่างบ้าคลั่ง กฎเกณฑ์มหาวิถีปรากฏขึ้นบนโลกอีกครั้ง โอกาสกับโชคชะตานับไม่ถ้วนที่ฝังตัวอยู่ในห้วงแห่งประวัติศาสตร์ก็จะแสดงตัวขึ้นมา ทว่า…”

ใบหน้างดงามของสาวน้อยหม่นหมองลง “ถึงเวลานั้น สุดท้ายก็เพียงแค่กลับมาช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น”

จากนั้นจึงกล่าวอย่างเชื่อมั่น “เป็นเช่นนี้จริง ๆ ไม่มีที่มาแห่งคังชิงแล้ว ถึงแม้ใต้หล้าแห่งนี้จะเกิดแสงสว่างแห่งโลกกว้าง ทว่าท้ายที่สุดวันที่ตกอับหลังจากรุ่งเรืองจนขีดสุดก็จะมาถึง นอกจากนี้แล้ว ผนังกั้นโลกของมหาทวีปคังชิงจะสูญเสียพลังป้องกันและรักษาการณ์ คนจากนอกภพภูมิจะบุกเข้ามา ที่ร้ายแรงยิ่งกว่าก็คือ…”

ซูอี้เบนสายตามองไปที่ซากดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนที่แขวนอยู่บนต้นไม้โบราณต้นนั้น “หากมีพายุดวงดาวจากดาวอื่นภายนอกบุกโจมตีอีกครั้ง มหาทวีปคังชิงแห่งนี้ไม่มีกำลังที่จะต้านทานได้อีก จะถูกทำลายจนไม่เหลือ”

คำพูดเหล่านี้ทำให้ขนตางอนยาวของอาคังสั่นสะท้านขึ้นมาน้อย ๆ พลางพยักหน้า

นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องที่ร้ายแรงและน่ากลัวที่สุด!

นกกระจอกสีเทาร้องเสียงดัง “เป็นไปไม่ได้ พายุดวงดาวนั้นไม่ได้มาเป็นเวลานานถึงสามหมื่นปีแล้ว เป็นไปได้เช่นใดที่จะเกิดขึ้นซ้ำอีก?”

เวลานี้นกกระจอกสีเทาผู้มีปากคอเราะร้ายแลดูกระสับกระส่ายมาก

“ตอนนี้ไม่เกิด วันข้างหน้า… ใครจะกล้ารับรองได้ว่าจะไม่เกิด?”

ซูอี้กล่าว “สิ่งใด ๆ ล้วนเปลี่ยนไป โหดร้ายเช่นนี้มาโดยตลอด เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง เมื่อก่อนนี้ โลกอีกฝั่งที่ถูกโลกนี้ทำลายล้างก็มีอยู่จำนวนไม่น้อย”

นกกระจอกสีเทากล่าวด้วยความโกรธ “เจ้าพูดให้เป็นมงคลหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร?”

อาคังกล่าวเบา ๆ “นกกระจอกน้อย ที่สหายเต๋าซูกล่าวมานั้นไม่ผิด สิ่งที่พวกเราต้องทำ ก็คือยอมรับในทุกสิ่ง เตรียมตัวรับมือแต่เนิ่น ๆ”

นกกระจอกสีเทานิ่งเงียบไป

ซูอี้แสดงสีหน้าชื่นชมออกมา พลางกล่าวคำ “เจ้าพูดมานั้นไม่ผิด ลำบากจึงต้องแก้ แก้แล้วจึงรอด ภายใต้มหาวิถี มีโอกาสรอดที่สามารถพลิกผันโชคชะตาได้เสมอ”

อาคังสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง จากนั้นเบนสายตามองไปที่ซูอี้กล่าวเบา ๆ “ในสายตาของข้า สหายเต๋าก็คือโอกาสรอดที่ว่านี้”

ซูอี้ “…”

แต่นกกระจอกสีเทากระทืบเท้าขึ้นมาก่อน มันส่งเสียงแผดร้อง “เขา? มดตะนอยในขอบเขตรวบรวมดารา? คนงี่เง่าที่ไม่รู้จักแม้แต่ขอบเขตระดับจักรพรรดิน่ะหรือ? อาคัง เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?”

ริมฝีปากของซูอี้ถึงกับกระตุก ต่อให้เป็นคนใจเย็นสักแค่ไหน ก็ต้องมีความคิดอยากจะจับนกบ้าตัวนี้เชือดเป็น ๆ

“ข้าไม่ได้บ้า”

บนใบหน้าที่งดงามของอาคังเต็มไปด้วยสีหน้าสงบราบเรียบและจริงจัง “พลังในตัวสหายเต๋าซู เพียงพอที่จะสามารถแก้ไขการกักขังแห่งยุคมืดได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้เขาอาจจะอยู่ในขั้นที่ต่ำ แต่วันข้างหน้า จะต้องกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นที่จับตามองของคนทั้งโลกอย่างแน่นอน!”

ซูอี้หัวเราะสบายใจกล่าว “เจ้าไม่ต้องยกยอถึงเพียงนี้หรอก ต้องการจะผูกวาสนากับข้าซูผู้นี้ บอกจุดมุ่งหมายของเจ้ามาตรง ๆ ก็พอแล้ว”

อาคังสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าว “ข้าไม่คาดหวังให้สหายเต๋าเป็นผู้ฉุดช่วย หวังแต่เพียงทิ้งความหวังสักเส้นให้ต้นกำเนิดแห่งคังชิง”

พูดจบ ปลายนิ้วของนางเคาะเบา ๆ

ครืน!

ต้นไม้โบราณที่มีซากดวงดาวแขวนจนเต็มไหวเอนขึ้นมาในทันใด สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าแสงวิถีระยิบระยับบาดตาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นโดยเริ่มจากส่วนรากของต้นไม้โบราณ

ชั่วขณะนี้ ราวกับดวงตะวันดวงโตลอยเด่น ส่องแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วสิบด้าน!

แต่เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ แสงสว่างทั้งหมดนี้ก็หายลับไป ต้นไม้โบราณที่แขวนซากอุกกาบาตจนเต็มก็กลับสู่ความสงบ

เมื่อหันไปมองดูอาคังอีกครั้ง ผมขาวสะบัดพริ้ว ใบหน้างดงามเลือนรางมีสีหน้าขาวซีดและหมดกำลัง

กล่องหินสีเทา ๆ กล่องหนึ่งลอยอยู่ตรงหน้านาง

กล่องหินมีขนาดประมาณฝ่ามือเท่านั้น ทำจากวัสดุอับแสง ไร้ซึ่งความโดดเด่น

ทว่าอาคังในเวลานี้กลับแสงสีหน้าจริงจังและมุ่งมั่น พลางกล่าว “สหายเต๋า ในกล่องใบนี้ก็คือโอกาสรอดของที่มาแห่งคังชิง สามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง’ ก็ว่าได้”

เวลานี้ นกกระจอกสีเทาร้องขึ้น “อาคัง เจ้าคงไม่คิดจะมอบสิ่งวิเศษชิ้นนี้ให้กับมดตะนอยตัวเล็ก ๆ ที่เพิ่งรู้จักหรอกกระมัง?”

อาคังขมวดคิ้วน้อย ๆ ราวกับทนปากคออันเราะร้ายของนกกระจอกสีเทาไม่ได้แล้วเช่นกัน แล้วจึงกล่าวคำ “นกกระจอกน้อย หากทำให้สหายเต๋าต้องโกรธ ข้าไม่อาจปกป้องเจ้าได้”

นกกระจอกสีเทา “…”

สายตาของอาคังหันกลับไปมองที่ซูอี้อีกครั้ง แล้วกล่าวขอโทษ “นกกระจอกน้อยปากไม่มีหูรูด หวังว่าสหายเต๋าจะไม่ถือสา”

ซูอี้ส่ายหน้า “ข้ายังไม่ถึงกับต้องถือสาเอาความกับนกตัวหนึ่ง”

นกกระจอกสีเทาแผดร้องด้วยความโมโห “เจ้า…”

ซูอี้กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่เช่นนั้น จะให้ข้าช่วยดัดนิสัยเลว ๆ ในตัวของเจ้า สั่งสอนวิธีความเป็นคนให้แก่เจ้าดีหรือไม่?”

อาคังกล่าวด้วยสีหน้าหยอกเย้า “หากว่าสหายเต๋าสามารถดัดนิสัยของนกกระจอกน้อยได้ ถือเป็นสิ่งดีที่สุด”

นกกระจอกน้อยพูดไม่ออก นิ่งเงียบไปนานจึงกล่าวตัดพ้อขึ้นมา “ข้ารู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงน่ะเชื่อไม่ได้ เพิ่งเจอหน้าคน ๆ นี้ไม่ถึงวัน ก็เริ่มคบคิดรวมหัวกันแล้ว”

เพียะ!

แสงสว่างสายหนึ่งฟาดลงบนตัวนกกระจอกสีเทา เจ็บจนนกบ้าตัวนี้ถึงกับเซถลาจนหัวคะมำกับพื้น รีบกระพือปีกพยายามยืนใหม่อีกครั้ง จากนั้นจึงกล่าวด้วยความโมโห “อาคัง เจ้าฟาดข้าเพราะเหตุอันใด?”

อาคังกล่าวไม่พอใจ “นกกระจอกน้อย นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เจ้าห้ามพูดความอันใดอีกแม้แต่ประโยคเดียว”

น้ำเสียงเยือกเย็นและราบเรียบ ทว่านกกระจอกสีเทากับนิ่งเงียบขึ้นมา

“สงสัยเจ้าอยากจะโดนดีจริง ๆ”

ซูอี้อดหัวเราะไม่ได้

นกกระจอกสีเทาเขม่นตาใส่ซูอี้ เห็นได้ชัดว่ามันกลัวอาคังจะโกรธ จึงไม่พูดอะไรอีก

มิเช่นนั้นป่านนี้ร้องด่ากลับไปตั้งนานแล้ว

“สหายเต๋า หากว่าทำได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะนำเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงเมล็ดนี้ไปได้”

เวลานี้ อาคังสูดลมหายใจลึก ๆ พูดอย่างจริงจัง สีหน้าแววตาแฝงด้วยความหวังอย่างที่สุด “อีกทั้งมีของสิ่งนี้แล้ว จะเกิดผลดีอย่างประมาณค่าไม่ได้ต่อการฝึกตนในวันข้างหน้าของสหายเต๋า เชื่อว่าด้วยสติปัญญาของสหายเต๋า คงจะเข้าใจถึงมูลค่าในของสิ่งนี้”

นกกระจอกสีเทามีสีหน้าไม่ดี เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจเอามาก

แต่ซูอี้กลับถอนใจเบา ๆ

เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงนี้ กล่าวได้ว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ดั้งเดิมของโลก เรียกได้ว่าเป็นโชคชะตายิ่งใหญ่ที่ใคร ๆ ล้วนต้องการแสวงหา

หากว่าอยู่ที่เก้ามหาแดนดิน สิ่งนี้ก็อาจทำให้พวกตัวตนโบราณเก่าแก่ในขอบเขตจักรพรรดิเหล่านั้นแก่งแย่งกันโดยไม่คำนึงถึงหน้าตา!

ทว่าสำหรับซูอี้แล้ว โชคชะตาเช่นนี้กลับเหมือนดังเผือกร้อนที่ลวกมือ

เพราะว่าหากรับไว้ จะต้องรับผลต้นและกรรมที่ตามมา!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด