บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 43 ความลับการถ่ายทอดวิชาและปราบภูตผี

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 43 ความลับการถ่ายทอดวิชาและปราบภูตผี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 43 ความลับการถ่ายทอดวิชาและปราบภูตผี

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป

เคร้ง!

ร่างพลิ้วไหวของซูอี้หยุดนิ่ง ยืนตระหง่านกลางลานบ้าน เก็บดาบเข้าฝัก

สิ้นเสียงดาบ ราตรีกาลและแสงจันทร์ผันผวนกลับกลายเป็นสงบลง

“ดีงามนัก!”

ซูอี้สายตาเป็นประกาย เต็มอิ่มทั้งร่างกายและจิตใจ

เพลงดาบสุดปรีดีคือสิ่งใดน่ะหรือ?

ร่างกายดั่งแก้ว จิตใจราวดวงเดือนสว่าง สดใส บริสุทธิ์ สุขล้นทั้งกายใจ

เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ซูอี้หลงใหลในการใช้ดาบ

หลังอาบน้ำชำระกาย ซูอี้กลับเข้าห้อง ยกชาโสมที่ต้มไว้ก่อนหน้าขึ้นจิบ

ความเหนื่อยล้าพลันจางหาย

“การขัดเกลาเส้นเอ็นนั้นเชื่องช้ากว่าการขัดเกลาภายในมากนัก”

ตั้งแต่ทะลวงขั้นมา ซูอี้ก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายเชื่องช้ากว่าเดิมมาก

“ถึงอย่างไรตอนนี้ข้าก็อยู่ในสำนักแพทย์ซิ่งหวง ไม่ขาดยาสมุนไพร หากยังฝึกเช่นนี้ต่อเนื่อง ไม่ถึงเดือนคงสำเร็จการขัดเกลาเส้นเอ็น…”

‘ทว่าก่อนจะเริ่มขัดเกลากระดูก ต้องรวบรวม ‘สมุนไพรวิญญาณ’ เก็บตุนเอาไว้เสียก่อน เพราะสมุนไพรธรรมดาคงไม่อาจทำให้ ‘ไขกระดูกแข็งตัว’ ได้’ ซูอี้ครุ่นคิดพลางถอนหายใจ

เดิมทีเขาหมายมั่นว่าจะเดินทางไปเทือกเขาเมฆคราม

ภูเขาแห่งนี้อยู่ห่างไปร้อยลี้ ทั้งกว้างใหญ่และสูงเสียดฟ้า เป็นสถานที่ที่สมควรมีพลังวิญญาณหนาแน่น

สมุนไพรวิญญาณมักจะขึ้นในที่แบบนี้!

ทว่าด้วยการที่เขาหมกมุ่นกับการฝึก และมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเกินไป จึงทำให้แผนการเดินทางไปเทือกเขาเมฆครามเพื่อหาสมุนไพรวิญญาณล่าช้า

“ท่านปรมาจารย์ หว่านเอ๋อร์ตัดสินใจได้แล้วเจ้าค่ะ” เสียงนุ่มนวลของชิงหว่านพลันดังลอดมาจากน้ำเต้า

ซูอี้เลิกคิ้วก่อนเอ่ย “ค่ำคืนไม่มีใครอยู่ เจ้าออกมาเดินเล่นได้ตามใจ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในน้ำเต้าตลอดเวลา”

“อ๊ะ…อื้ม!” ชิงหว่านปรากฏกายในชุดสีแดงพร้อมแววหวาดหวั่นบนใบหน้างดงาม นางว่าเสียงแผ่ว “หากท่านไม่สั่ง หว่านเอ๋อร์ก็ไม่กล้าออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาตเจ้าค่ะ”

“เอาล่ะ อย่าหวาดระแวงนัก ข้าไม่ใช่คนเลว เหตุใดต้องกลัวถึงเพียงนั้น?” ซูอี้ส่ายหน้า

เขาเห็นว่าชิงหว่านมักมีท่าทีเหมือนกระต่ายตื่นคนเมื่อพบหน้าเขาเสมอ ไม่กล้าแม้พูดจา เอาแต่นิ่งเงียบ

ครั้นสบตากันโดยบังเอิญ แววตานางมักแฝงความหวาดกลัว

ราวกับว่าเขาข่มเหงรังแกนางตลอด…

แม้ซูอี้จะพูดออกไปเช่นนั้น แต่ชิงหวานยังคงดูหวั่นใจ

ซูอี้คร้านจะใส่ใจเรื่องนี้ และเปลี่ยนเป็นถามคำต่อ “เจ้าตัดสินใจอย่างไร?”

นางกำมือแน่นคล้ายเสริมความกล้าให้ตนเอง แต่ยังไม่อาจสบตาซูอี้ได้ “ข้าลืมสิ้นความทรงจำเมื่อครั้งมีชีวิต ข้าไม่ต้องการไปเกิดใหม่ก่อนจะได้ความทรงจำกลับมา ดังนั้นแล้ว… แล้ว…”

ซูอี้ตัดบท “เจ้าจึงเลือกที่จะฝึกตน ด้วยคิดว่าหากลองฝึก เจ้าจะสามารถได้ความทรงจำกลับคืนใช่หรือไม่?”

นางรีบพยักหน้ารับ “ใช่เจ้าค่ะ!”

“ไม่ต้องห่วง แม้เจ้าหาหนทางเองไม่ได้ ข้าจะช่วยเจ้าเอง” ซูอี้ครุ่นคิดก่อนตอบ

ตั้งแต่ที่เขาพบชิงหว่านครั้งแรก เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงผีหยิน แต่ร่างวิญญาณของนางกลับบริสุทธิ์นัก

กอปรกับการที่นางลืมเรื่องราวเมื่อครั้งมีชีวิตไปหมดสิ้น ซูอี้จึงคิดว่าต้องมีเรื่องประหลาดเกี่ยวกับนาง ชวนให้เขาสนใจไม่น้อย

“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ” ดวงตากลมโตของนางเต็มเปี่ยมซาบซึ้งใจ

ชิงหว่านมีดวงตางดงาม ทั้งโตและเบ้าลึก พร้อมชั้นตาเล็ก คล้ายวิหคเพลิง

เมื่อเผยรอยยิ้มกลับยิ่งส่งเสน่ห์ชวนมอง น่าดึงดูดและเป็นธรรมชาติ

โชคร้ายที่ตอนนี้นางเป็นเพียงเด็กสาว แม้จะสวยสะพรั่ง แต่กลับมีเสน่ห์ไม่เพียงพอ

ทว่าไม่อาจปฏิเสธได้ว่านางงดงามล่มเมือง และยังมีเวลาให้เติบโตอีกมาก

“ข้าจะถ่ายทอด ‘วิชามหาวิญญาณทศทิศ’ ขั้นพื้นฐานให้เจ้าก่อน มันคงเพียงพอให้ร่างผีหยินของเจ้าแปรเปลี่ยนเป็น ‘ผีวิญญาณ’ ได้”

ซูอี้กล่าวพลางนั่งลงที่โต๊ะ หยิบพู่กันจุ่มหมึกและเขียนอักษรลงบนกระดาษ

เมื่อกลายเป็นผีวิญญาณ ร่างวิญญาณจะแข็งแกร่งจนไม่ต้องกลัวแสงอาทิตย์ สามารถออกมาเดินในช่วงกลางวันได้ ไม่แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป

เมื่อชิงหว่านอยู่ในสถานะเช่นนั้น นางจึงจะสามารถเริ่มฝึกตนแบบภูตผีได้

การฝึกตนแบบภูตผีแตกต่างจากการฝึกโดยทั่วไป ร่างของพวกภูติผีเป็นพลังวิญญาณ จึงไม่จำเป็นต้องใช้ลมปราณและเลือดเหมือนมนุษย์ในการปรับแต่งร่างกาย

ดังนั้นภูตผีจึงสามารถข้ามขั้นไปฝึกในขั้นวิถีที่สองหรือก็คือวิถีต้นกำเนิดได้เลย

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนจากผีหยินเป็นผีวิญญาณไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องพัฒนาเป็นผีอสูร ก่อนจะกลายเป็นผีประหลาด จึงจะได้เป็นผีวิญญาณในท้ายที่สุด

ผ่านไปไม่นานซูอี้ก็วางพู่กันในมือลง และชี้สิ่งที่เขียนเอาไว้พลางบอก “เจ้าลองอ่านดูก่อน”

ชิงหว่านลอยไปหาอย่างหวาดระแวง ไม่กล้าเข้าใกล้ซูอี้มากนัก ก้มหน้าอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ

ผ่านไปครู่หนึ่ง นางถอนหายใจเฮือกใหญ่ “หว่านเอ๋อร์จดจำได้แล้วเจ้าค่ะ”

“เร็วเพียงนี้หรือ?” ซูอี้แปลกใจ

นางส่งสายตาใสซื่อไร้เดียงสา กล่าวคำ “ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดเมื่อได้อ่านสิ่งเหล่านี้จึงจดจำได้ขึ้นใจทันที ข้าจำได้ทุกตัวอักษรแล้วเจ้าค่ะ”

ซูอี้เลิกคิ้ว “ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเฉลียวฉลาดเช่นนี้ เอาล่ะ ถ้างั้นข้าจะอธิบายเพิ่มเติมให้เจ้าฟัง ด้วยความหัวดีของเจ้าที่จดจำทุกอย่างได้ทั้งหมด มันคงไม่ยากเกินไปนัก”

สิ้นคำจึงเริ่มอธิบาย

‘วิชามหาวิญญาณทศทิศ’ เป็นยอดวิชาฝึกตนสำหรับภูติผีที่คิดค้นโดย ‘จักรพรรดิผีซีหมิง’ อันที่จริงมันเป็นวิชาลับแรกสำหรับเหล่าภูตผี

หลังได้รับการถ่ายทอดวิชานี้มาในชาติก่อน ซูอี้จึงได้ศึกษาจนกระทั่งรู้แจ้งถึงแก่นแท้

เส้นทางการฝึกตนของภูตผีต่างจากคนทั่วไปโดยสิ้นเชิง

การฝึกตนของภูตผีถือเป็น ‘การเดินทางไปสู่เส้นทางแห่งแดนวิญญาณ’ ท้ายที่สุดเมื่อเหล่าภูติผีพัฒนาไปจนถึงจุดสูงสุดจะต้องเดินทางไปสู่ยมโลก!

เช่นนี้จักรพรรดิผีซีหมิงจึงมักเรียกตนเองว่า ‘ทูตยมโลก’

ซูอี้คุ้นเคยกับหลักการของยมโลก การที่เขากลับมาเกิดใหม่ได้นั้นเป็นเพราะเขาเข้าใจความหมายที่ลึกล้ำของ ‘การกำเนิดใหม่’ และการ ‘จุติใหม่’ ของยมโลก

ไม่เกินจริงหากจะบอกว่าถ้าชิงหว่านฝึกอยู่ข้างกายเขา ไม่ว่าในภายภาคหน้าจะล้มเหลวเพียงใด นางจะทัดเทียมได้กับจักรพรรดิผีซีหมิง

หลังจากซูอี้อธิบายวิธีการฝึกเสร็จ เขาจึงถามขึ้น “เจ้ามีเรื่องสงสัยหรือไม่?”

ชิงหว่านหลับตาใคร่ครวญครู่หนึ่ง นางส่ายหน้าเบา ๆ “วิธีการฝึกนี้ดูเหมือนจะ… เข้าใจไม่ยากนักเจ้าค่ะ… ”

ซูอี้จับจ้องนาง พลางกล่าวคำ “ต่อไปนี้เจ้าจะฝึกวิชาที่นี่ อยู่ในน้ำเต้าช่วงกลางวัน ออกมาข้างนอกยามกลางคืน หากข้าไม่สั่ง ห้ามออกไปนอกเขตบ้านเด็ดขาด”

“เจ้าค่ะ” นางขานรับ

ต่อหน้าซูอี้ ดูเหมือนนางจะไม่รู้จักปฏิเสธและต่อต้าน…

ซูอี้ไม่สนใจนางนัก และเดินกลับไปเอนหลังบนเตียงก่อนผล็อยหลับไป

ในยามราตรี ทุกอย่างเงียบสงัด

ชิงหว่านทำใจอยู่นาน ในที่สุดจึงรวบรวมความกล้า ถือชายกระโปรงของตนลอยออกจากห้องไปอย่างระวังตัว นั่งบนต้นแคฝรั่ง

ชุดสีแดงสะบัดปลิว เท้าขาวซีดโปร่งใสไร้เครื่องป้องกัน นิ้วเท้าโค้งได้รูปราวหยกงาม น่องเรียวแกว่งไกวไปมา สายลมโบกโบย ชวนให้นางผ่อนคลาย

นางเงยหน้ามองดวงดาวและพระจันทร์ยามค่ำคืนผ่านม่านไม้ ดวงตากลมโตเปล่งประกายสุขี

ริมฝีปากชมพูอ้าออกพึมพำเพลงไพเราะเสนาะหู

“ฮ่องเต้องค์ก่อนเดินทางท่องทะเลตะวันตก หลงเว่ยจางปลีกวิเวกผู้คน มุ่งหน้าทางเหนือสู่ขุนเขาแห่งอมตะ เข้าเขตแดนวิญญาณ บุกถ้ำเพื่อขโมยคัมภีร์ในตำนาน สวรรค์จรดแผ่นดินเกิดโกลาหล โอกาสยังไม่ถึงมือ จงอย่าฝืน…”

ร้องจนจบ นางพลันชะงักงัน สัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าในหัวใจ

“ข้า…ข้าไม่เคยได้ยินเพลงนี้… เหตุใดถึงได้ร้องเป็นกัน… หรือจะเกี่ยวข้องกับความทรงจำเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่…”

เด็กสาวในชุดแดงเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน สายตาเหม่อลอยฉายเปี่ยมแววสับสน

บริเวณข้างหน้าต่าง

ซูอี้มือไพล่หลัง เฝ้ามองเงาเด็กสาวบนต้นแคฝรั่งอยู่ห่าง ๆ ดวงตาส่อแววฉงน

“ทะเลตะวันตก หลงเว่ยจาง เขตวิญญาณ บุกถ้ำขโมยคัมภีร์ในตำนาน… เพลงนี้น่าสนใจนัก”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *