บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 283: เทพเซียนเดินดิน

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 283: เทพเซียนเดินดิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 283: เทพเซียนเดินดิน
ตอนที่ 283: เทพเซียนเดินดิน

เมื่อเห็นซูอี้พุ่งเข้าหา หลวงจีนเฒ่าคิ้วขาวเปล่งเสียงคำรามประหนึ่งราชสีห์ทันที

“วายุ อัสนี เพลิง สังหาร!”

‘ค่ายกลพระโพธิสัตว์ปราบมาร’ ก่อตัวขึ้นทันทีโดยหลวงจีนทั้งสิบแปดรูป สาดส่องแสงธรรมปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณก่อเกิดเป็นร่างองค์พระโพธิสัตว์ทองคำเงื้อฝ่ามือหมายสังหารซูอี้

พลังนั้นกดขี่จนแม้แต่มวลอากาศโดยรอบยังบิดเบี้ยว กระแสลมปั่นป่วนระเบิดออกเป็นคลื่นที่เห็นด้วยตาเปล่า

หากพินิจดูอย่างละเอียดจะเห็นว่าในฝ่ามือนั้นแฝงไปด้วยปรากฏการณ์มากมายซึ่งมีทั้งพายุหมุน พายุฝนฟ้าคะนอง ภูเขาเคลื่อน ทะเลเพลิง และภัยพิบัติอื่น ๆ อัดเต็มจนเนืองแน่นราวกับรวมวันสิ้นโลกไว้ในหนึ่งฝ่ามือ

หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ มองดูอยู่ห่าง ๆ พวกเขาต่างหวาดกลัวจนตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม

รุนแรงเกินต้านทาน!

แม้หลวงจีนทั้งสิบแปดจากวัดซ่างหลินเหล่านี้จะอยู่เพียงแค่ขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ ไม่ได้ใกล้เคียงกับเหล่าเทพเซียนเดินดินเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้เมื่อพวกเขาร่วมกันเปิดใช้ ‘ค่ายกลพระโพธิสัตว์ปราบมาร’ พวกเขากลับมีอำนาจมากเพียงพอที่จะกดขี่เหล่าเทพเซียนเดินดินไม่ว่าหน้าใดก็ได้!

ทว่าขณะนั้น เสียงดาบอันก้องกังวานและชัดเจนดังขึ้น

ซูอี้ไม่หลบหลีกหรือหลบเลี่ยง ทันใดนั้นเขาก็ก้าวขึ้นไปในอากาศ ปล่อยดาบนิลกาฬกลืนฟ้าในมือของเขาฟาดฟันไปด้านหน้าอย่างดุดัน

ชิ้ง!

ทันใดนั้นปราณดาบใสดุจผลึกแก้วถูกฟาดฟันเป็นรูปลักษณ์คล้ายเสี้ยววงเดือน มันแจ่มชัดราวกับถูกธรรมชาติสรรค์สร้าง และเมื่อมันพาดผ่านอากาศ ด้วยความรุนแรงมันทิ้งร่องรอยความผัวผวนคล้ายว่ามันสามารถแยกสวรรค์และโลกได้

ตูม!

หลังจากออกดาบของตนเอง ร่างของซูอี้ค่อย ๆ ร่อนลงมาที่พื้นอย่างนุ่มนวลพลางมองดูพลังดาบของตนพุ่งชนกับฝ่ามือซึ่งเต็มไปด้วยพลังแห่งวายุ อัสนี พสุธา และเพลิงผลาญจากค่ายกลด้วยสายตาเย้ยหยัน

ทันทีหลังจากปราณดาบปะทะเข้ากับฝ่ามือ พระโพธิสัตว์ทองคำที่ควบแน่นจากค่ายกลพระโพธิสัตว์ปราบมารแตกสลายออกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยดาบเดียว!

จากนั้นหลวงจีนเจวี๋ยเหิงซึ่งอยู่ในค่ายกลก็ส่งเสียงกรีดร้องออกจากริมฝีปากของเขา “สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร…!!!”

ขณะเสียงยังคงก้องกังวาน ทว่าศีรษะของเขากลับปลิดปลิวขึ้นไปในอากาศ เลือดสาดกระเซ็นโปรยปราย สีหน้าของเขายังคงตกตะลึงและสับสน

ตูม!

ดึงผมเส้นเดียวทั้งร่างเสียสมดุล เมื่อเจวี๋ยเหิงตาย ‘ค่ายกลพระโพธิสัตว์ปราบมาร’ ทั้งหมดก็พังทลายลงเช่นกัน

เหล่าหลวงจีนที่เหลือลมปราณปั่นป่วนไม่อาจควบคุม สีหน้าของพวกเขาทั้งตกตะลึง ทั้งโกรธแค้นและหวาดกลัว

ดาบเดียวทำลายค่ายกล สังหารเจวี๋ยเหิง!!

ฉากทำลายล้างนั้นทำให้หลวงจีนเฒ่าคิ้วขาวและหลวงจีนคนอื่น ๆ สั่นเทาและไม่อยากจะเชื่อสายตา

ในสายตาของพวกเขา ซูอี้เป็นเพียงปรมาจารย์ขั้นสองเท่านั้น พวกเขาจะคาดคิดได้อย่างไรว่าเด็กหนุ่มที่ดูอ่อนแอกว่าเช่นนี้จะมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวระดับนี้ได้?

แม้แต่หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ ต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะ สีหน้าของพวกเขาแข็งค้าง

ค่ายกลอันแข็งแกร่งเหลือจะกล่าวนั้นถูกทำลายด้วยดาบเดียว?

ทว่าสำหรับซูอี้ ขั้นตอนการทำลายค่ายกลนี้ไม่ได้ยากอะไรเลย

ค่ายกลคือการผสานพลังผู้บ่มเพาะหมู่มากเข้าด้วยกันแล้วสำแดงพลังออกร่วมกัน

สิ่งที่เขาต้องทำก็เพียงแค่พุ่งเป้าไปที่หนึ่งในคนเหล่านั้น โจมตีจิตวิญญาณก่อนจะสังหารด้วยดาบแล้วจากนั้นค่ายกลทั้งหมดก็จะพังทลายลงด้วยตัวมันเอง

“มีสิ่งใดน่าประหลาดใจนัก?”

ซูอี้เหลือบมองหนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ อย่างระอาใจ “ตัวตนเล็กจ้อยเหล่านี้ พวกเจ้าคิดว่าข้าคนเดียวจัดการไม่ได้หรือ?”

ในเวลาเดียวกัน ซูอี้ยังถือดาบนิลกาฬกลืนฟ้าอยู่ในมือของเขา และเดินไปข้างหน้า เสื้อคลุมกระพือไปตามแรงลม แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะดูเหมือนไร้พิษภัย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปราณวิญญาณภายในร่างกายของเขากำลังสูบฉีดอย่างรุนแรง

“หยุด!”

หลวงจีนร่างผอมบางตะโกนพลางโบกพลั่วเสี้ยวพระจันทร์ และโจมตีสวนไปที่ศีรษะของซูอี้ด้วยพลังอำนาจที่โคจรจนถึงขีดสุด

เคร้ง!

ซูอี้เหวี่ยงดาบฟาดฟันสวนออก พลั่วเสี้ยวพระจันทร์ที่ทำจากวัตถุวิญญาณชั้นเลิศท้ายที่สุดกลับไม่ต่างจากกระดาษบางแผ่นหนึ่ง มันถูกฟันจนขาดเป็นสองส่วนอย่างง่ายดายและหลังจากนั้นอีกเพียงพริบตา ศีรษะของหลวงจีนร่างผอมบางก็ปลิดปลิวขึ้นไปในอากาศไม่ต่างจากการตายของเจวี๋ยเหิงเมื่อครู่นี้แม้แต่น้อย

ง่ายดายไม่ต่างจากฆ่าลิงสังหารไก่

“ฆ่า!”

หลวงจีนอีกสองคนรีบวิ่งเข้ามา คนหนึ่งถือไม้เท้าพระธรรม และอีกคนหนึ่งถือดาบสั้น สีหน้าของพวกเขาแน่วแน่ประหนึ่งไม่เกรงกลัวต่อความตาย

แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้เข้าใกล้ซูอี้ หลวงจีนผู้ที่ถือไม้เท้าพระธรรมถูกหนิงซือฮวาขวางไว้

ส่วนหลวงจีนที่ถือดาบสั้นนั้นถูกยันต์หยกที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้บ่มเพาะวิถีต้นกำเนิดซัดใส่เข้าอย่างจังจนร่างระเบิดออกเป็นผุยผงด้วยพลังทำลายล้างจากอัสนี เปลวไฟ พายุ คมดาบและอื่น ๆ

แน่นอนว่าผู้ที่ใช้ยันต์หยกนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลานซัวผู้ร่ำรวย ซึ่งอันที่จริงนางมียันต์ประเภทเดียวกันนี้อยู่ในความครอบครองมากกว่าหนึ่งโหล!

ซูอี้ใช้โอกาสนี้เดินฝ่าวงล้อมจากไปในระยะไกล

สำหรับหลวงจีนเหล่านั้น พวกเขาต้องการจะไล่ตามซูอี้เช่นกัน แต่ทุกคราพวกเขาทั้งหมดกลับถูกหนิงซือฮวา มู่ซี และหลานซัวขวางไว้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลานซัวเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับหลวงจีนเหล่านั้น เพราะร่างกายของนางเต็มไปด้วยสมบัติมากมายซึ่งถูกสร้างโดยเทพเซียนเดินดิน และยิ่งไปกว่านั้น นางยังกล้าใช้พวกมันอย่างง่ายดายราวกับว่าพวกมันไม่มีค่าใด ๆ เลย

ในเวลาเพียงชั่วพริบตา นางก็สังหารหลวงจีนไปถึงสาม และหลวงจีนที่เหลือต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันถ้วนหน้าไม่มากก็น้อย

มู่ซีและหนิงซือฮวาจะพลาดโอกาสดีเช่นนี้ไปได้อย่างไร พวกเขาฉวยโอกาสนี้ คนหนึ่งควงหอกสีทอง อีกคนหนึ่งฟาดฟันง้าวจันทร์แรมเพลิงคราม ทั้งคู่แสดงพลังของตนอย่างเต็มที่

แม้หลวงจีนทั้งหลายจะมีจำนวนที่มากกว่า แต่ไม่นานนักเหล่าหลวงจีนก็ไม่อาจต้านทานคนทั้งสามได้

ตูม~~

เสียงระเบิดดังก้องต่อเนื่องในห้องโถง คลื่นกระแทกวาดกวาดไปทั่วทั้งห้องจนฝุ่นฟุ้งตลบ

ขณะเดียวกันนี้ซูอี้เดินไปถึงส่วนท้ายของห้องโถงแล้ว ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่หลวงจีนหนุ่มจิงเหอ

“ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า ข้าเกรงว่าคงเป็นเรื่องยากที่เจ้าจะปราบหยดเลือดมังกรแท้จริงหยดนี้”

ไม่ต้องเดาซูอี้ก็รู้ได้ว่าหลวงจีนผู้นี้น่าจะมาจากหอสยบมังกรแห่งวัดซ่างหลิน และอีกฝ่ายย่อมเป็นบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์อันดับต้น ๆ ในวัดซ่างหลินอย่างแน่นอน…

ทว่าบุคคลผู้นี้กลับไม่อาจต้านทานอำนาจเงามังกรที่สำแดงออกจากแก่นแท้เลือดมังกรแท้จริงได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม จิงเหอกลับถอนหายใจเบาและพูดว่า “ประสก ไม่เป็นไรหากท่านจะไม่รับฟังคำโน้มน้าว แต่การที่ท่านบุกบั่นสังหารผู้คนเช่นนี้มันนับว่าเกินไปมากนัก!”

“วันนี้ข้าขอเป็นตัวแทนพุทธองค์ปราบมารร้ายเช่นท่านให้สิ้นซากเพื่อขจัดภัยร้ายให้แก่โลกหล้านี้!!”

หลังจากเอ่ยคำจบ กลิ่นอายของหลวงจีนหนุ่มรูปงามผู้นี้เปลี่ยนไปในทันใดและรัศมีแสงสีทองอันน่าตื่นตาพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของเขา

ตามมาด้วยเสียงคำรามดังสนั่นในร่าง กระดูกทุกชิ้นดูเหมือนจะสั่นสะเทือน ร่างกายที่ผอมแต่เดิม กล้ามเนื้อทั้งหมดเหยียดออกและร่างของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสูงและกำยำในทันใด

ลมหายใจของเขาราวกับฟ้าร้อง ดวงตาของเขาลุกโชนราวกับดวงอาทิตย์ และร่างกายที่กำยำไร้เทียมทานของเขาเต็มไปด้วยเปลวเพลิงสีทองที่โหมกระหน่ำ เช่นเดียวกับจ้าวแห่งวานรผู้โกรธเกรี้ยวในตำนานทางพุทธศาสนา

ตูม!

ในตัวเขา พลังอันน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายไปทั่วห้องโถงราวกับฟ้าถล่มพสุธาทลาย

เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้ กลิ่นอายของหลวงจีนหนุ่มผู้นี้แตกต่างกันราวกับเป็นคนละคน ราวกับว่าเขาเป็นเทพเซียนผู้อาศัยอยู่บนท้องฟ้าหาใช่มนุษย์เดินดินไม่

“เทพเซียนเดินดิน!”

มู่ซีอุทานออกมาเสียงดังลั่น

หนิงซือฮวาและหลานซัวแสดงสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน พวกนางไม่เคยคาดคิดเลยว่าหลวงจีนหนุ่มจิงเหอจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!

“อนิจจา!”

หลวงจีนเฒ่าคิ้วขาวถอนหายใจด้วยสีหน้าซับซ้อน

เขารู้ดีว่าจิงเหอพร้อมเข้าสู่วิถีต้นกำเนิดได้เสมอ แต่อีกฝ่ายกลับอดทนและยับยั้งการบ่มเพาะของตัวเองไว้เพื่อพยายามที่จะบรรลุสภาวะ ‘วารีล้นเอ่อ’

แต่ตอนนี้จิงเหอได้ฝืนทะลวงก้าวผ่าน แม้ว่าสิ่งนี้จะทำให้ก้าวเข้าสู่วิถีต้นกำเนิดได้ แต่รากฐานของวิถีต้นกำเนิดจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน

“ฝืนบังคับทะลวงระดับ?”

ซูอี้เลิกคิ้ว พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ากังวลมาโดยตลอดว่าข้าจะไม่เจอกับคู่ต่อสู้ที่คู่ควรแก่ให้ข้าได้ฝึกฝน เอาล่ะ ขณะนี้เจ้าจงมาลองดูว่าเจ้าเหมาะสมให้ข้าได้ใช้เจ้าฝึกฝนหรือไม่”

มู่ซี และหลานซัว “…”

หลวงจีนเฒ่าคิ้วขาวและคนอื่น ๆ “???”

จิงเหอผู้ซึ่งก้าวเข้าสู่การเป็นเทพเซียนเดินดินได้หมาด ๆ รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยกับคำพูดของซูอี้

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขายิ้มเล็กน้อย พูดว่า “ขวัญกำลังใจของประสกช่างประเสริฐนัก แต่ข้าแค่ไม่รู้ว่าท่านจะมีความสุขได้ขนาดนี้อีกหรือไม่เมื่อท่านประสบภัยพิบัติ”

หลังจากเอ่ยจบ ทันใดนั้นจิงเหอซัดฝ่ามือออกไปอย่างเฉยเมย

ตูม!

เปลวเพลิงแห่งพระธรรมสีทองโหมกระหน่ำควบแน่นเป็นรูปลักษณ์ฝ่ามือสีทองมหึมา พุ่งผ่านอากาศเข้าหาซูอี้อย่างดุดัน

เมื่อก้าวเข้าสู่วิถีต้นกำเนิด แก่นแท้ของคน ๆ หนึ่งจะกลายเป็น ‘แก่นแท้แห่งจิตวิญญาณ’ ที่แท้จริงซึ่งสามารถยืมพลังแห่งสวรรค์และโลกเพื่อสังหารศัตรูได้

เช่นควบคุมลม ฟ้าร้อง และไฟ ควบคุมดาบบินและยันต์ เป็นต้น

แม้ว่าจิงเหอจะเพิ่งทะลวงระดับ แต่ความเข้าใจในเต๋าของเขาตอนนี้แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ด้วยฝ่ามือนี้มันสำแดงออกได้ถึงอำนาจอันเหลือล้นของเทพเซียนเดินดินอย่างเต็มเปี่ยม

ทางด้านของซูอี้ไม่ได้หลบเลี่ยงแต่อย่างใด กลับกันเขาพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับฟาดฟันดาบในมือ

เคร้ง!!!

ปราณดาบและฝ่ามือปะทะกันทำให้เกิดเสียงเลือนลั่นสะเทือนฟ้าดิน

หลังจากปะทะเพียงชั่วอึดใจ ร่างของซูอี้ถอยกลับด้วยแรงปะทะสองสามก้าว ร่างของเขาเซไปมา อีกทั้งปราณวิญญาณในร่างยังปั่นป่วน

ผู้ชมต่างตกตะลึง ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือฝั่งเดียวกัน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง

การโจมตีของเทพเซียนเดินดินกลับถูกลบล้างโดยซูอี้ซึ่งเป็นเพียงปรมาจารย์ขั้นสองได้อย่างไร!?

แม้ว่าผลลัพธ์คือซูอี้ถูกทำให้ถอยกลับไปสองสามก้าว

แต่ต่อให้เป็นบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์มารับฝ่ามือเมื่อครู่นี้แทน เกรงว่าป่านนี้บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ผู้นั้นคงเหลือแต่ซากไปเรียบร้อยแล้ว!

เปลือกตาของจิงเหอกระตุก ดวงตาของเขาหรี่ลง “โลกนี้มีสัตว์ประหลาดเช่นท่านได้อย่างไร?”

ซูอี้เอ่ยตอบอย่างเฉยเมย “มีหลายสิ่งในโลกนี้ที่เจ้าไม่รู้”

ขณะที่พูด ซูอี้ถือดาบก้าวไปข้างหน้า แขนเสื้อโบกสะบัด ปราณวิญญาณในร่างโคจรอย่างอย่างเต็มที่ ขณะนี้เขาไม่ลังเลแล้วที่จะแสดงความล้ำลึกในดาบของตนเอง

พลังอำนาจทุกมวลที่มีอยู่ในร่างถูกใช้ออกโดยไม่มีการสำรองแม้แต่น้อย

ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ!

ปราณดาบอันล้ำลึกและคาดเดาไม่ได้ถูกฟาดฟันปล่อยออกอย่างไม่ขาดสาย พวกมันพุ่งผ่านอากาศเข้าหาจิงเหอประหนึ่งสายฝนแห่งหายนะอันไม่รู้จบ และเมื่อยิ่งมันถูกใช้ผ่านดาบนิลกาฬกลืนฟ้า พลังของพวกมันก็ยิ่งทรงพลังมากจนประหนึ่งวันสิ้นโลก

“หากวันนี้ข้าไม่ปราบมารร้ายเช่นท่าน ไม่ช้าก็เร็ว ท่านจะกลายเป็นหายนะต่อสรรพสิ่งทั้งหมดในโลกหล้า!” จิงเหอตะโกนเสียงดัง ชักดาบสั้นฟาดฟันเข้าปะทะเข้ากับปราณดาบที่พร่างพรายนับไม่ถ้วนของซูอี้

เสียงระเบิดสั่นสะเทือนไปทั้งห้องโถงประหนึ่งเกิดสงครามขนาดใหญ่ขึ้น

ปราณดาบของซูอี้และปราณดาบสั้นของจิงเหอปะทะกันอย่างรุนแรง และผลที่ตามมาคือคลื่นทำลายล้างที่แผ่กระจายไปทั่วราวกับคลื่นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่

ทุกกระบวนท่าที่ทั้งคู่ต่างปลดปล่อยใส่กันสามารถสังหารบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ได้อย่างง่ายดายในทุกครา!

ทว่ายิ่งสู้จิงเหอยิ่งสงสัย ขณะนี้เขาคือเทพเซียนเดินดินเต็มตัวแล้วแน่นอน แต่เหตุใดเขากลับไม่ได้เปรียบเลยสักนิดเมื่อสู้กับซูอี้?

แม้ว่าบางคราเขาสามารถใช้ท่าไม้ตายเพื่อผลักซูอี้กลับ แต่ซูอี้กลับสามารถหลบหลีกการโจมตีที่ร้ายแรงได้เสมอ

นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อ

พลังการต่อสู้ที่ซูอี้มีนั้น… มันไม่ใช่สิ่งที่ปรมาจารย์จะมีได้!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *