บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 584: ข้าเป็นคนฆ่า

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 584: ข้าเป็นคนฆ่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 584: ข้าเป็นคนฆ่า

ตอนที่ 584: ข้าเป็นคนฆ่า

ท่ามกลางแสงสายัณห์

ณ ทะเลสาบแห่งหนึ่ง ดอกบัวเอนไหว น้ำทะเลสาบสะท้อนแสงแวววาว

ซูอี้นั่งขัดสมาธิ

ปราณวิญญาณหลั่งไหลเข้ามาจากทั่วสารทิศดุจสายน้ำ ส่วนร่างของซูอี้เปรียบเสมือนเหวลึกไร้ที่สิ้นสุด ดูดกลืนปราณวิญญาณเข้าสู่ร่างกายไม่หยุดหย่อน

มองจากที่ไกล ๆ คนทั้งคนเหมือนอาบด้วยปราณหนาแน่น ดูบริสุทธิ์เหนือปุถุชน

ทวารภายในร่างเขา มีก้อนแสงสีครามลอยล่อง ด้วยจังหวะประหลาด

เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง

ในช่วงเวลาการฝึกฝน ขอเพียงหล่อเลี้ยงวัตถุศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้ในตัว จะสามารถหลอมรวมปราณวิญญาณทั้งสิบทิศเข้ามาเป็นของตัวเอง!

และที่เร้นลับกว่านั้นคือ เมื่อมวลพลังแห่งเมล็ดพันธุ์คังชิงเข้ากับพลังปราณของตัวเอง ก็สามารถจับร่องรอยของมหาวิถีที่กระจายอยู่ในปฐพีนี้ขณะฝึกฝนได้อย่างง่ายดาย จวบจนดื่มด่ำอยู่ในแดนวิเศษประหนึ่ง ‘บรรลุแจ้ง’ ทั้งกายและใจ

ข้อนี้ ไม่ใช่สิ่งที่หินวิญญาณและโอสถวิญญาณจะทัดเทียมได้

กระทั่งกลางดึก

ซูอี้ได้สติจากการนั่งสมาธิ

“หากก้าวหน้าตามความเร็วระดับนี้ เวลาที่ต้องไปจากเกาะเซียนพระสุเมรุ ย่อมทำให้พลังของข้าบรรลุถึงขอบเขตรวบรวมดาราขั้นกลาง และการบรรลุในจังหวะวิถีแห่งหยางกับจังหวะวิถีแห่งสายฟ้า ก็สามารถบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์!”

เมื่อรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับพลังตัวเอง ซูอี้ก็มีสีหน้าพึงพอใจ

หากอยู่ที่โลกภายนอก คิดจะบรรลุเป้าหมายในช่วงเวลาสั้น ๆ จะต้องเป็นเรื่องที่ยากมากโดยไม่ต้องสงสัย

ทว่าบนเกาะเซียนพระสุเมรุแห่งนี้ ปราณวิญญาณในฟ้าดินหนาแน่น กอปรกับมีแรงเสริมจากเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง จึงส่งผลให้ซูอี้สามารถพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดด

แม้ว่าซูอี้ไม่เคยสนใจว่าตัวเองจะเก่งขึ้นได้ไวเพียงใด แต่หากสามารถฝึกฝนพลังของตัวเองถึงขั้นสมบูรณ์ พร้อมกับประหยัดเวลาลงไปได้มาก ย่อมเป็นการดีกว่า

ห่างออกไปไม่ไกล กองไฟลุกโชน

เหวินซินจ้าวกำลังพูดคุยเสียงเบากับโต้วโค่ว

ภายใต้รัตติกาล แสงไฟทาบทับอยู่บนตัวสองสาว ขับให้เห็นความงามสองแบบที่แตกต่างกัน

เหวินซินจ้าวสง่าอ่อนโยน เฉิดฉายมีชีวิตชีวา

ส่วนโต้วโค่วงดงามเพริศพริ้ง ผิวขาวดุจหิมะ เสน่ห์แผ่ซ่านจากทุกอณูของร่างกาย เรียกนางว่าหญิงสะคราญเมืองก็ไม่เป็นการเกินไปนัก

อีกด้าน เยว่ซือฉานนั่งสมาธิอยู่ ร่างเพรียวระหงเย็นเยียบดั่งหิมะ ท่ามกลางท้องฟ้าราตรี หน้าตาเปี่ยมไปด้วยความสงบ

ส่วนเก๋อเฉียน กำลังหล่อหลอมยันต์ลับที่ใช้ป้องกันตัว

ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้ากับนิสัยระมัดระวังของเขามาก ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง เขาจะคิดหาหนทางสร้างเกราะป้องกันให้ตัวเองในระดับสูงสุด

ซูอี้ได้เห็นภาพนี้แล้วนึกขำ นอนลงบนเก้าอี้หวายด้วยความเกียจคร้าน

มีเพียงผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วเท่านั้นถึงเข้าใจว่า รสชาติอันเลิศล้ำในโลกนี้คือความเรียบง่าย

เวลาล่วงเลยผ่านไป

ห้าวันต่อมา

ซูอี้บรรลุจังหวะวิถีแห่งหยาง กับจังหวะวิถีแห่งสายฟ้าจนถึงขั้นสมบูรณ์

จวบจนตอนนี้ เบญจธาตุที่เขาครอบครอง หยิน หยาง ลม สายฟ้าถึงขั้นสมบูรณ์ทั้งหมดแล้ว

ใช้เบญจธาตุเป็นรากฐาน ใช้หยินหยางเปิดฟ้าดิน เคลื่อนลมสายฟ้าและทุกสรรพสิ่งก็ถือกำเนิดขึ้น

ในเก้ามหาดินแดน เคยมีอัจฉริยะเลิศล้ำที่เรียกได้ว่าหมื่นปีจะมีสักคนมาถึงขั้นนี้ได้ไม่น้อย

แต่สำหรับซูอี้ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น!

หรือพูดให้ถูกคือ การครอบครองสุดยอดจังหวะวิถีทั้งสามนี้ เป็นการเตรียมพร้อมสู่เส้นทางวิถีวิญญาณ

เมื่อถึงตอนนั้น สุดยอดจังหวะวิถีทั้งสามนี้ สามารถขัดเกลาจนหลอมรวมกันเป็นแก่นแท้ที่ถูกเรียกว่า ‘จุดกำเนิด’ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในแก่นแท้สูงสุดบนเส้นทางวิถีวิญญาณ!

และเมื่อบรรลุแจ้งแก่นแท้อีกสองข้อที่เรียกว่า ‘ละเอียดอ่อน’ และ ‘ว่างเปล่า’ ก็จะผสานเข้ากับ ‘จุดกำเนิด’ จนหลอมรวมเป็นแก่นแท้ใหม่!

แก่นแท้นี้เป็นเบาะแสที่ซูอี้ได้จากโซ่ตรวนเก้าชั้นของดาบเก้าคุมขังเมื่อชาติก่อน เรียกว่า ‘เอกกะ’!

หนึ่งเดียวแห่งการเริ่มต้น หนึ่งเดียวแห่งปราณวิญญาณ เอกกะหนึ่งชั้น มหาวิถีกลับสู่จุดดั้งเดิม!

ต่อให้ในเก้ามหาดินแดน ก็ไม่เคยมีผู้ใดขัดเกลาแก่นแท้ระดับนี้บนเส้นทางวิถีวิญญาณได้

การฝึกฝนอีกคราในชาตินี้สำหรับซูอี้ การขัดเกลาแก่นแท้เอกกะบนเส้นทางวิถีวิญญาณเป็นเป้าหมายมหาวิถีที่เขาต้องบรรลุให้ได้!

มีเพียงเช่นนี้ จึงจะล่วงล้ำขอบเขตเดียวกันในชาติก่อน และก่อเกิดรากฐานแห่งเต๋าเพียงหนึ่งเดียว และมุ่งหมายในวิถีเต๋าที่สูงส่งกว่าชาติที่แล้ว!

หลายวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

พลังของซูอี้บรรลุขอบเขตรวบรวมดาราขั้นกลางอย่างที่ควรเป็น

พลัง จิตวิญญาณ และร่างเต๋าของเขาล้วนเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง

โดยเฉพาะดาราปฐมญาณที่หลอมรวมอยู่ในถ้ำเปิดทวาร ที่มากถึงเก้าหมื่นเก้าพันดวง เรียงรายประหนึ่งจักรวาล สะท้อนอยู่ภายในทวาร อัศจรรย์ยิ่ง

และเพราะการบรรลุครานี้ ทำให้ซูอี้ตระหนักได้เรื่องหนึ่ง…

การสร้างรากฐานมหาวิถีในขอบเขตรวบรวมดาราที่ไม่มีผู้ใดทำได้ คงเป็นเพราะจำนวนดาราปฐมญาณที่หลอมรวมได้นั้นมีจำนวนถึงเก้าหมื่นเก้าพันดวงหรือไม่?

เพราะเก้า เป็นที่สุดของตัวเลข!

…..

วันที่ยี่สิบเก้า เดือนสิบ

“ศิษย์พี่ซู พรุ่งนี้คือวันที่ต้องไปจากเกาะเซียนพระสุเมรุแล้ว”

วันนี้ ซูอี้เพิ่งขัดเกลาดาบนิลกาฬกลืนฟ้าใหม่อีกครั้ง เหวินซินจ้าวก็กระเถิบเข้ามา

“อืม”

ซูอี้ตอบทั้งที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สายตาเพ่งมองดาบนิลกาฬกลืนฟ้า พินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด

หลายวันมานี้ ซูอี้ป้อนวัตถุวิญญาณหายากมากมายให้ดาบนิลกาฬกลืนฟ้า หลังจากหล่อหลอมด้วยบัญญัติกลืนวิญญาณ ผสานเข้าหากัน ระดับของดาบนิลกาฬกลืนฟ้าจึงยกขึ้นอีกมาก

ตัวดาบทมิฬดั่งหมึกสุกสกาวลึกลับดั่งท้องฟ้ายามราตรี พลังคมดาบหลบซ่อนอยู่ข้างใน ให้ความรู้สึกชำระล้างความฟุ่มเฟือย กลับสู่ความเรียบง่าย

น่าเสียดาย ลงท้ายดาบนิลกาฬกลืนฟ้าเป็นเพียงสมบัติวิถีต้นกำเนิด ต่อให้สลักบัญญัติกลืนวิญญาณ มีแก่นวิญญาณของนกกระจอกเพลิงยมโลก เมื่อซูอี้ก้าวสู่วิถีวิญญาณ ดาบเล่มนี้คงไม่อาจเข้ากับพลังของเขาได้อีกต่อไปแล้ว

ทว่าซูอี้ตัดสินใจไว้แล้ว รอจนเขาก้าวสู่วิถีวิญญาณ จะใช้ดาบวิถีชิงตูเป็นแก่นวัตถุดิบ หล่อหลอมดาบนิลกาฬกลืนฟ้าไว้ข้างใน

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงสามารถหลอมดาบวิถีชิงตูเป็นอาวุธวิเศษคู่ชีพได้!

“ศิษย์พี่ซู ข้าได้หารือกับท่านพี่ซือฉานแล้ว เมื่อเราออกจากเกาะเซียนพระสุเมรุ ไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น พวกเราจะรับมือพร้อมกับท่าน”

เหวินซินจ้าวเอ่ยเสียงใส ดวงหน้างดงามเต็มไปด้วยความจริงจัง

ซูอี้ผงะ ดึงสายตาที่กำลังพินิจดาบนิลกาฬกลืนฟ้ากลับมา ก่อนจะเอ่ยด้วยความสงสัย “พวกเจ้าเป็นห่วงสิ่งใดหรือ”

ปฏิกิริยาเช่นนี้ของเขา ทำให้เหวินซินจ้าวผงะไปเช่นกัน นางเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เวลานี้ทุกคนทราบดี เมื่อเราไปจากเกาะเซียนพระสุเมรุ เรื่องที่พวกหวนเฉ่าโหยวถูกศิษย์พี่ซูสังหารย่อมไม่อาจปิดบังต่อไปได้ ถึงตอนนั้น กลุ่มเต๋าโบราณเบื้องหลังพวกหวนเฉ่าโหยวย่อมไม่ยอมรามือง่าย ๆ แน่นอน…”

ไม่รอให้นางพูดจบ ซูอี้ก็หลุดหัวเราะ พร้อมเอ่ยแทรกขึ้น “เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ เหตุใดต้องให้พวกเจ้ามาเป็นห่วงอย่างเปล่าประโยชน์ด้วย”

“เรื่องเล็ก?”

ตากลมโตของเหวินซินจ้าวเบิกกว้าง “ศิษย์พี่ซู… ไม่กังวลว่าจะพบเจออันตรายเลยหรือ”

ซูอี้คิดอย่างตั้งใจ “ไม่กังวล”

เหวินซินจ้าว “…”

ครู่ต่อมา หญิงสาวก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “ข้าน่าจะคิดได้แต่แรก ด้วยนิสัยของศิษย์พี่ซู ย่อมไม่ถูกเรื่องเหล่านี้รบกวนใจ”

“อย่างเจ้าเรียกว่าห่วงใยมากเกินจนเกิดความสับสน”

ซูอี้หัวเราะออกมาเช่นกัน “เจ้าดูอย่างแม่นางซือฉานสิ ไม่เคยมีความกังวลใจเช่นนี้”

เหวินซินจ้าวกะพริบตาคู่สวย พลางยิ้มอ่อน ๆ “ศิษย์พี่ซู ท่านพูดผิดแล้ว หากจะให้พูดถึงผู้ที่ห่วงใยท่านที่สุด ย่อมต้องเป็นพี่ซือฉานอย่างไม่ต้องสงสัย นางเพียงแต่ชอบซ่อนความในใจไว้เท่านั้น”

ซูเย่เหลือบมองเยว่ซือฉานด้วยสัญชาตญาณ และได้เห็นภาพหญิงสาวในชุดขาวดั่งหิมะ ยืนอยู่ริมทะเลสาบ สงบเยือกเย็นดั่งฤดูเหมันต์ บริสุทธิ์ประดุจเทพเซียน

จากนั้น ซูอี้หันมองเหวินซินจ้าวซึ่งยืนอยู่ข้างกายตัวเอง และเอ่ยเสียงเบาราวกับสะท้อนใจ “ดีกันทั้งคู่”

ประโยคเดียว สามพยางค์ แต่กลั่นออกจากความรู้สึกของซูอี้

การถูกห่วงใยใส่ใจ ย่อมเป็นเรื่องสุดยอดอยู่แล้ว!

วันรุ่งขึ้น

วันที่สามสิบ เดือนสิบ

พวกซูอี้ตัดสินใจไป

“สหายเต๋าซู เจ้าเก็บสองภาพนี้ไว้ก่อน รอจนไม่มีผู้ใดอยู่รอบ ๆ แล้วค่อยคลี่ดู”

ก่อนจากกัน โต้วโค่วเดินเข้ามาด้วยท่าทีลึกลับ พร้อมยื่นภาพสองม้วนให้ซูอี้

ซูอี้กระจ่างทันที สองภาพนี้วาดโดยอีกจิตวิญญาณหนึ่งของโต้วโค่ว จึงเก็บไว้ทันที

หลังจากนั้น พวกเขาไม่เสียเวลาอีกต่อไป ต่างนำยันต์พระสุเมรุออกมา เร่งด้วยพลังตัวเอง

คลื่นมิติปรากฏขึ้นเลือนรางท่ามกลางฟ้าดิน

พริบตาเดียว ร่างของพวกซูอี้ก็หายวับไปกลางอากาศ

ขณะเดียวกัน ภาพที่คล้ายคลึงกันปรากฏบนพื้นที่ต่าง ๆ ในเกาะเซียนพระสุเมรุ

นี่คือวันสุดท้ายของปฏิบัติการเกาะเซียนพระสุเมรุ บรรดาผู้แกร่งที่ยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้นึกเสียดายในใจเพียงใด ก็จำต้องเดินทางกลับ

……

ห่างจากแหล่งกำเนิดดาวตกไม่ไกล หน้าแท่นรับส่ง

เวลาผ่านเลยไป ร่างแล้วร่างเล่ากลับจากเกาะเซียนพระสุเมรุ

ตอนที่พวกซูอี้กลับมาถึง เฉิงผู ฉือเจี่ยนซู่ เฉินลวี่ เจียงหลี อวี่เหวินซู่ และคนอื่น ๆ รออยู่ที่นั่นนานแล้ว

จนผ่านไปพักใหญ่ เวิงจิ่วผู้เฝ้าอยู่หน้าแท่นรับส่งทำการนับจำนวนคน แล้วต้องเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย “เหตุใดจึงเหลือแค่พวกท่าน”

“สหายเต๋าไม่รู้เสียแล้ว พวกหวนเฉ่าโหยวชีวาวาย กลับมาไม่ได้แล้วล่ะ”

หลวงจีนเฉินลวี่ปริปากบอกด้วยเสียงราบเรียบ เขาเล่าศึกบนแท่นจุติเทียนเต๋าให้ฟังคร่าว ๆ

เมื่อคำพูดนี้ถูกเอื้อนเอ่ย สายตาทุกคนในที่นี้ต่างหันมองซูอี้ด้วยสัญชาตญาณ

ม่านตาของเวิงจิ่วแข็งทื่อไปเล็กน้อย สูดหายใจลึก มีหรือจะไม่รู้ว่าการตายของพวกหวนเฉ่าโหยวเก้าคนซึ่งเป็นผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณเป็นฝีมือของซูอี้

“หมอนี่มีพลังเพียงขอบเขตรวบรวมดาราขั้นกลางแท้ ๆ กลับปลิดชีพพวกหวนเฉ่าโหยวได้ทั้งที่เป็นฝ่ายถูกรุม?”

เวิงจิ่วหัวใจสะท้าน แทบสติหลุด

จากนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ “ยังขาด เยี่ยนจิงอวิ๋น จิงหลิงเจิน ตงกัวอวิ๋น และหร่านฉงสี่คน หรือว่า… พวกเขาก็ตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ”

เห็นดังนั้น เฟิงจื่อตูซึ่งห่างออกไปไม่ไกลเอ่ยเสียงเข้ม “ตงกัวอวิ๋นและหร่านฉงตายไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอพวกเขา”

เวิงจิ่วใจสะท้านอีกครั้ง ผู้แกร่งที่เดินทางไปเกาะเซียนพระสุเมรุครานี้ ทั้งหมดสามสิบสี่คนเท่านั้น และตอนนี้ ผู้ที่มั่นใจว่าเสียชีวิตแล้วมีมากถึงสิบเอ็ดคน!

เรื่องนี้เกินกว่าที่เวิงจิ่วคาดไว้มาก จะให้เขานิ่งเฉยได้อย่างไร?!

ครู่ใหญ่ เวิงจิ่วสูดหายใจเข้าลึก “ถ้าอย่างนั้น… เยี่ยนจิงอวิ๋นกับจิงหลิงเจินเล่า?”

คนอื่นในที่นี้มองหน้ากัน ต่างมึนงงกันหมด

เวิงจิ่วเอ่ยขณะครุ่นคิด “ถ้าอย่างนั้นรออีกหน่อยเถิด เชื่อว่าขอเพียงพวกเขามีชีวิตอยู่ วันนี้ย่อมต้องกลับจากเกาะเซียนพระสุเมรุ”

“ไม่ต้องรอ พวกเขาก็กลับมาไม่ได้แล้ว”

ทันใดนั้น ซูอี้เอ่ยปาก เขาชักรำคาญนิดหน่อย ไม่อยากเสียเวลาไปกับการรอ

เพียงแต่ เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ บรรยากาศในที่นี้พลันเงียบกริบลงในพริบตา สงัดไร้สุ้มเสียงใด

แต่ละคนเหมือนตระหนักถึงบางอย่าง สีหน้าเปลี่ยนไปกันหมด

“หรือว่า…”

เวิงจิ่วกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ทอดสายตามองซูอี้

ซูอี้ไม่จำเป็นต้องโกหกกับเรื่องเล็กแค่นี้ เขาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าเป็นคนฆ่า”

เวิงจิ่ว “…”

คนอื่น ๆ ในที่นี้ “…”

ประโยคง่าย ๆ ทว่ามันกลับมีน้ำหนักดั่งระเบิดสะท้านพิภพที่สร้างแรงสะเทือนให้แก่หัวใจคนทุกคน!!

และสิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงยิ่งกว่านั้นคือ ซูอี้ไม่มีท่าทีต้องการปิดบังแต่อย่างใด เขายอมรับอย่างสง่าผ่าเผย ราวกับไม่ใส่ใจเลยสักนิด ว่าเรื่องนี้จะส่งผลร้ายแรงอย่างไร!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด