บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 440: เมืองหลิงชวี

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 440: เมืองหลิงชวี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 440: เมืองหลิงชวี

ตอนที่ 440: เมืองหลิงชวี

คนพายเรือ

นักฆ่าขอบเขตรวบรวมดาราได้ลอบสังหารตัวตนทรงพลังที่เพิ่งบุกทะลวงกลายเป็นขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณลง!

นี่เป็นปาฏิหาริย์ ซึ่งหากแพร่กระจายออกไปจะทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่

เพราะถึงอย่างไร ขอบเขตการเปลี่ยนแปลงวิญญาณก็เป็นถึงขอบเขตแรกของวิถีวิญญาณ

ผู้ที่มาถึงระดับนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นมหาปราชญ์แห่งสวรรค์ ซึ่งในต้าเซี่ย พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นตัวตนที่อยู่บนจุดสูงสุด

แต่คนพายเรือสามารถลอบเข้าไปในห้องของ ‘นักพรตมู่’ และลอบสังหารเขาอย่างลงเงียบ ๆ ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าน่ากลัวอย่างยิ่ง

เฉียนเทียนหลงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที ก่อนกล่าวว่า “ศิษย์พี่ฮั่ว ท่านสามารถติดต่อนักฆ่าจากทะเลทุกข์ได้อย่างนั้นหรือ?”

ฮั่วอวิ๋นเซิงพยักหน้า “ใช่ แต่ศิษย์น้องเฉียน เจ้าอย่าเพิ่งมีความสุขเกินไป ถ้าเจ้าต้องการเชิญนักฆ่าจากทะเลทุกข์มา ราคาที่เจ้าต้องจ่ายค่อนข้างไม่ธรรมดา”

เฉียนเทียนหลงตะลึง ก่อนสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดว่า “ขอให้ศิษย์พี่ฮั่วโปรดชี้แนะข้าด้วย”

“ตามกฎของทะเลทุกข์ การลอบสังหารตัวตนขอบเขตไร้เบญจธัญ ผู้จ้างจะต้องเตรียมเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลของเป้าหมายไว้ ต้องจำไว้ว่าข้อมูลต้องเป็นของจริง นักฆ่าจากทะเลทุกข์จะส่งคนไปสืบรายละเอียดของเป้าหมาย”

ฮั่วอวิ๋นเซิงกล่าว “นอกจากนี้ ผู้จ้างจะต้องจ่ายหินวิญญาณระดับหกสามสิบก้อนเป็นเงินมัดจำก่อน”

ริมฝีปากของเฉียนเทียนหลงกระตุก

หินวิญญาณระดับหกจำนวนสามสิบก้อน?

เป็นแค่เงินมัดจำ?

ค่าตัวของนักฆ่าแห่งกลุ่มทะเลทุกข์นี่สูงเกินไปหรือไม่!?

“หลังจากเสร็จเรื่อง ทะเลทุกข์จะคิดค่าตอบแทนที่เหลือตามความแข็งแกร่งและฐานะของเป้าหมายสังหาร”

ฮั่วอวิ๋นเซิงกล่าวต่อ “นี่เป็นเพียงเงื่อนไขแรกเท่านั้น เงื่อนไขที่สองคือการติดหนี้บุญคุณทะเลทุกข์”

เฉียนเทียนหลงสับสน “ติดหนี้บุญคุณ? นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?”

ฮั่วอวิ๋นเซิงกล่าวอย่างสบาย ๆ “มันง่ายดายยิ่ง หลังจากการลอบสังหารสำเร็จลงจะถือว่าเจ้าติดหนี้ทะเลทุกข์ ซึ่งเมื่อทะเลทุกข์ต้องการ พวกเขาจะส่งคนไปหาเจ้าเพื่อชำระหนี้นี้คืน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉียนเทียนหลงก็ลังเล

การจ่ายหินวิญญาณ เขายังพอจะกัดฟันตกลงได้

แต่เรื่องติดหนี้บุญคุณได้นี่พูดยาก จะเกิดอะไรขึ้นถ้ากลุ่มทะเลทุกข์มาหาและร้องขอให้ทำอะไรที่ยอมรับไม่ได้เล่า?

ฮั่วอวิ๋นเซิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้องเฉียน ด้วยพลังของทะเลทุกข์ ถึงแม้ว่าเจ้าจะติดหนี้บุญคุณก็ตาม เกรงว่าในอนาคตพวกเขาคงไม่บังคับให้เจ้าทำสิ่งที่ขัดต่อเจตจำนงหรอก แน่นอนว่าเจ้าจะจ้างนักฆ่าจากทะเลทุกข์ไปจัดการซูอี้กับพวกหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้า”

เฉียนเทียนหลงเงียบไป สีหน้าของเขาดูลังเล

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กัดฟันก่อนพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ฮั่ว ข้าตกลง!”

ดวงตาของฮั่วอวิ๋นเซิงเปล่งประกายด้วยความชื่นชมพลางกล่าว “กล้าหาญมาก! เมื่อถึงเวลา ข้าจะช่วยศิษย์น้องเฉียนจ่ายค่าตอบแทนครึ่งหนึ่ง เพราะมันก็ถือเป็นความคิดของข้า”

เฉียนเทียนหลงกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณศิษย์พี่ ในอนาคตตราบใดที่สำนักส่งไปทำภารกิจ ไม่ว่าที่ใดเมื่อไรข้าจะไม่ปฏิเสธ!”

ฮั่วอวิ๋นเซิงยิ้มและพยักหน้า จากนั้นเหลือบมองซุนเฟิงและกล่าวว่า “ศิษย์น้องซุน เรื่องในวันนี้อย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มทะเลทุกข์ เข้าใจหรือไม่?”

ซุนเฟิงชะงัก ก่อนจะพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

ในอาณาเขตแคว้นเทียนหนาน เมืองหลิงชวีถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด

หอการค้าอันดับหนึ่งทั้งสามแห่งของต้าเซี่ยล้วนก่อตั้งฐานที่มั่นขึ้นในเมืองนี้

นอกจากนี้ภายในเมืองยังมีร้านค้ามากมายแน่นขนัดดุจผ้าทอ ดูแล้วเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง

ในโลกการฝึกฝนของแคว้นเทียนหนาน ผู้ฝึกฝนทุกคนต่างรู้ว่ามีเพียงในเมืองหลิงชวีเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถซื้อโอสถวิญญาณและวัตถุวิญญาณระดับห้าขึ้นไปได้!

นอกจากนี้ ทุก ๆ ช่วงหนึ่งจะมีการจัด ‘งานใหญ่หลิงชวี’ หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ชุมนุมหลิงชวี’ ขึ้น ซึ่งทั้งนี้มันก็จัดเพื่อประมูลสมบัติหายากบางส่วนที่สามารถพานพบแต่ยากจะได้มาครอบครองโดยเฉพาะ

สิ่งนี้ได้ดึงดูดผู้ฝึกตนจำนวนมากจากทั่วทุกมุมโลก

หลังจากนั้นครึ่งวัน

เรือล่องล้อเมฆาที่บรรทุกซูอี้และพวกมาค่อย ๆ ร่อนลงมายังประตูทางตะวันออกของเมืองหลิงชวี

“ธงนภาแปดฉากของวังเทพสวรรค์เมฆา! นี่คือเรือของผู้ฝึกตนแห่งวังเทพสวรรค์เมฆา!”

“วังเทพสวรรค์เมฆา สวรรค์ พวกเขาก็มาเข้าร่วมชุมนุมหลิงชวีที่จะเริ่มวันมะรืนนี้ด้วยหรือ?”

“น่าจะเป็นเช่นนั้น ชุมนุมครั้งนี้ต่างไปจากเดิม เพราะมันได้ดึงดูดตัวตนที่ทรงพลังมามากมาย”

เมื่อเรือล่องล้อเมฆาลงจอดก็เกิดความโกลาหลขึ้นใกล้ประตูเมือง

ยามซูอี้และคนอื่น ๆ ก้าวลงจากเรือล่องล้อเมฆา พวกเขาเห็นว่าในพื้นที่ใกล้เคียงมีผู้คนนับไม่ถ้วนกำลังชะเง้อมองมา มีทั้งคนธรรมดา ผู้ฝึกยุทธ์ และผู้บำเพ็ญ

แต่ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนมีท่วงท่าเต็มไปด้วยความเคารพ

กระทั่งยามฮั่วอวิ๋นเซิง เฉียนเทียนหลง และคนอื่น ๆ ก้าวลงจากเรือล่องล้อเมฆา ความโกลาหลและเสียงพูดคุยในบริเวณใกล้เคียงก็หายไปสิ้น ส่งผลให้พื้นที่ขนาดใหญ่ใกล้กับประตูเมืองบังเกิดความเงียบสงัด

ฉากนั้นทำให้หลิงอวิ๋นเหอและหยวนเหินรู้สึกตกใจ พวกเขาเริ่มตระหนักถึงพลังของวังเทพสวรรค์เมฆาในต้าเซี่ยมากขึ้นเรื่อย ๆ!

แม้เป็นเพียงการเดินทางของศิษย์บางส่วน แต่ไม่ว่าจะไปที่ใดพวกเขาก็ยังเป็นจุดสนใจ

สำหรับซูอี้ เขาค่อนข้างไม่ชมชอบความรู้สึกเช่นนี้

เขาชอบที่จะเป็นเหมือนนกกระเรียนป่าท่องเมฆาไปในทะเลผู้คนอย่างอิสระ บ้างแวะชมดอกไม้และลิ้มรสชาติกลิ่นอายของโลกปุถุชนระหว่างทางมากกว่า

“ใต้เท้าทุกท่าน รถม้าวิเศษพร้อมแล้ว เชิญมาทางนี้เร็ว!”

ที่หน้าประตูเมือง ชายวัยกลางคนผู้สง่างามในชุดคลุมสีดำก้าวไปข้างหน้าและคำนับด้วยรอยยิ้ม

พลันเกิดความโกลาหลขึ้นในฝูงชน

อู่โหยวหยวน!

เจ้าสำนักของ ‘สำนักวิญญาณหวนกลับ’ ซึ่งเป็นกองกำลังที่ใหญ่เป็นอันดับสามแห่งแคว้นเทียนหนาน ผู้เป็นมหาปราชญ์ขอบเขตรวบรวมดารามานานแล้ว!

ในสายตาของผู้ฝึกตนทั่วแคว้นเทียนหนาน อู่โหยวหยวนเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่ต้องแหงนหน้ามอง ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะพบเจอในยามปกติ

แต่ในเวลานี้ ผู้นำของสำนักวิญญาณหวนกลับได้ปรากฏตัวขึ้นเอง และเป็นฝ่ายทักทายอย่างถ่อมตนเสมือนคนรับใช้คนหนึ่ง!

ฉากนั้นทำให้หลายคนนึกตกใจ ซึ่งดวงตาที่มองมายังฮั่วอวิ๋นเซิงและคนอื่น ๆ ก็ดูเคารพมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ศิษย์น้องเริ่น เจ้าพาสหายเต๋าหลิงและคนอื่น ๆ ไปหาศิษย์พี่เหวินก่อนเถิด พวกข้าศิษย์น้องเฉียนกับศิษย์น้องซุนจะไปเดินเล่นในเมืองกันก่อน”

ฮั่วอวิ๋นเซิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยสั่งการ

เริ่นโหยวโหย่วตะลึงไปอึดใจก่อนพยักหน้าเห็นด้วย

จากนั้นภายใต้การนำของอู่โหยวหยวน ผู้นำของสำนักวิญญาณหวนกลับ เริ่นโหยวโหย่ว ซูอี้ และคนอื่น ๆ ก็ได้เข้าไปในเมืองหลิงชวีด้วยรถม้า

หลังจากที่ฮั่วอวิ๋นเซิง เฉียนเทียนหลง และซุนเฟิง เข้ามาในเมือง พวกเขาก็แยกไปทางอื่น

“แปลกจริง ซูอี้และพวกไปอยู่กับผู้คนจากวังเทพสวรรค์เมฆาได้อย่างไรกัน?”

ใกล้ประตูเมือง ท่ามกลางฝูงชน ชายหนุ่มสวมมงกุฎและเสื้อคลุมหยกมีสีหน้ามึนงงเล็กน้อย

คนผู้นี้คือกู่ชางหนิง

ย้อนกลับไปในแม่น้ำเทียนหลานแห่งต้าฉู่ เขากับซูอี้ได้ประมือกัน

“นายน้อย ซูอี้คือผู้ใดกันหรือ?”

หญิงงามในชุดเรียบง่ายถามเสียงต่ำ

“บุรุษที่เรียกได้ว่ายากเกินหยั่ง”

กู่ชางหนิงตอบด้วยแววตาประหลาด “ถ้าสามารถเป็นสหายได้ก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าเป็นศัตรู… จะยุ่งยากนัก”

หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวแปลกใจมาก ก่อนกล่าวว่า “นายน้อย เป็นไปได้หรือไม่ที่อีกฝ่ายจะเป็นตัวตนทรงพลังซึ่งรอดชีวิตจากการจองจำแห่งยุคมืดมาได้”

ดวงตาของกู่ชางหนิงลุ่มลึกขึ้น “ด้วยฝีมือของข้า ข้าสามารถระบุผู้ที่ตื่นขึ้นมาจากการจองจำแห่งยุคมืดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้เกือบทั้งหมด”

หญิงในชุดธรรมดาอดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ จากนั้นนางจึงกล่าว “ในบรรดาผู้ฝึกฝนในอาณาจักรต้าเซี่ยยุคนี้ มีอัจฉริยะที่โดดเด่นอย่างเหวินซินจ้าว อวี่เหวินซู่ หลี่หานเติง หลวงจีนน้อยเฉินลวี่ และคนอื่น ๆ อยู่ เป็นไปได้ไม่ที่ซูอี้จะเทียบได้กับบุคคลเหล่านี้?”

กู่ชางหนิงคิดครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวคำออก “พูดยาก เมื่อวานเจ้าเองก็เห็นเหวินซินจ้าวแล้ว นางคือนักดาบอัจฉริยะจริง ๆ แต่ข้าไม่คิดว่าเหวินซินจ้าวผู้นี้จะทรงพลังกว่าซูอี้”

หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวเรียบง่ายหรี่ตาที่งดงามของนาง สีหน้าเย็นชาของนางได้ปรากฏรอยยิ้มทรงเสน่ห์และเย้ายวนออกมา ริมฝีปากสีแดงงามเม้มเข้าเล็กน้อย “นายน้อย ถ้าท่านพูดเช่นนี้ ข้าก็อดนึกอยากที่จะลองฝีมือของซูอี้ผู้นี้ไม่ได้”

กู่ชางหนิงแค่นเสียง “เจ้าสมควรแล้วที่ถูกเรียกว่าแพศยา”

หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวกะพริบตา แล้วพูดขึ้นด้วยความคับข้องใจ “ข้าเพียงต้องการช่วยนายน้อย นายน้อยจะสาปแช่งผู้คนได้อย่างไร?”

ดวงตาของกู่ชางหนิงเย็นชาขึ้น ขณะกล่าวคำออก “หลันซาง เจ้าควรยับยั้งตัวเองไว้เสียหน่อย ถ้าไม่ใช่เพราะข้า เจ้าคิดว่าด้วยพรสวรรค์ทางสายเลือดของเจ้า จะรอดจากการจองจำแห่งยุคมืดสามหมื่นปีก่อนมาได้อย่างนั้นหรือ?”

หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อย สีสันอันทรงเสน่ห์บนใบหน้าของนางจางหายไป และมีร่องรอยของความตื่นตระหนกก็ปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้วของนาง ก่อนกล่าวว่า “นายน้อยวางใจเถิด ข้าจะไม่สร้างปัญหาให้กับท่าน”

“ไปกันเถิด ‘ชุมนุมหลิงชวี’ ครั้งนี้ ข้าเกรงว่าจะมีตัวแปรมากมาย ข้าไม่ต้องการให้ ‘ครรภ์อสูร’ นั่นถูกผู้อื่นคว้าไป”

จากนั้น กู่ชางหนิงก็เอามือไพล่หลังเดินเข้าไปในเมือง

“นายน้อย เมื่อวานนี้ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อแห่งโถงวิญญาณหยินทมิฬได้ส่งจดหมายแจ้งว่าหากนายน้อยตกลงที่จะร่วมมือกับนางเพื่อจัดการกับเหวินซินจ้าว เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน นางยินดีที่จะช่วยนายน้อยคว้าครรภ์อสูรนั้นมา นายน้อยคิดจะตัดสินใจเรื่องนี้อย่างไร”

หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวไล่ตามเขามา

“โถงวิญญาณหยินทมิฬ? หึ มันถือว่าเป็นกองกำลังฝึกผีอันดับหนึ่งของโลกเมื่อสามหมื่นปีก่อนก็จริง แต่ตอนนี้มันได้หายไปในสายธารแห่งประวัติศาสตร์นานแล้ว จะยังเหลือเงาของโถงวิญญาณหยินทมิฬในวันวานได้อย่างไร ในความคิดของข้า เจ้าควรจะเรียกนางว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์จากพรรคมารหยินถึงจะถูก”

ดวงตาของกู่ชางหนิงฉายแววดูถูกเหยียดหยาม “เจ้าส่งจดหมายไป บอกนางว่าข้าสามารถช่วยได้ แต่นางต้องเลือกยอมจำนนต่อข้า!”

หลันซางพยักหน้ารับ

เมืองหลิงชวี

ในลานกว้างที่มีเนื้อที่หนึ่งร้อยไร่ และมีสะพานเล็ก ๆ ที่มีน้ำไหลกับศาลาหลายหลัง

“ใต้เท้าทุกท่าน ชายชราขอส่งเพียงเท่านี้”

อู่โหยวหยวนเจ้าสำนักวิญญาณหวนกลับแย้มยิ้มก่อนคำนับ

“ขอบคุณมาก”

เริ่นโหยวโหย่วพยักหน้ารับ

หลังจากที่อู่โหยวหยวนจากไป เริ่นโหยวโหย่วก็พาซูอี้และพวกข้ามสะพานที่คดเคี้ยวมาถึงยังส่วนลึกของลาน

ที่นั่นมีทะเลสาบเล็ก ๆ ซึ่งรายล้อมไปด้วยป่าไผ่ ดอกไม้และพืชพรรณเขียวชอุ่มอยู่ และไม่ไกลออกไปมีศาลาสามชั้นตั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ

ด้านหน้าศาลา ชายชราร่างผอมมีเคราสีเทานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ซึ่งกำลังหลับตาลงราวกับว่ากำลังงีบหลับ มุมคิ้วและดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเงียบสงบ

“ศิษย์ผู้นี้คารวะท่านอาจารย์จาง!”

เริ่นโหยวโหย่วก้าวไปข้างหน้าและคำนับเขาด้วยความเคารพ

บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ชายชราพลันลืมตาขึ้น และฉับพลันนั้นเอง ดวงตาราวกับดาบสายฟ้าเย็นเยียบคู่หนึ่งก็กวาดมองไปทางซูอี้และพวก

หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงตัวแข็งทื่อยามรู้สึกถึงรัศมีกดดันที่พุ่งเข้ามาหาพวกเขา

ม่านตาของหลิงอวิ๋นเหอหดลง

ชิงหยาคล้ายผงะไปกับการจ้องมองที่ดุจจะทำลายจิตวิญญาณของชายชรา ก่อนก้าวถอยหลัง

มีเพียงซูอี้เท่านั้นที่ยืนอยู่ที่นั่นโดยไพล่มือสองข้างไว้ข้างหลัง สีหน้าของเขาดูสงบและไม่แยแส

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *