บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 530: คู่ต่อสู้ของหวนเฉ่าโหยว

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 530: คู่ต่อสู้ของหวนเฉ่าโหยว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 530: คู่ต่อสู้ของหวนเฉ่าโหยว

ตอนที่ 530: คู่ต่อสู้ของหวนเฉ่าโหยว

เคร้ง! เคร้ง!

ดาบท่องไปในอากาศ และปราณดาบที่ไม่มีใครเทียบได้พลันพุ่งขึ้นจากสนามต่อสู้ ภาวะดาบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทั้งสองแบบทำให้เกิดแสงเปล่งประกาย ทำให้ทั่วทั้งสนามตกตะลึง

การต่อสู้ครั้งนี้ของเยว่ซือฉานและอวี่เหวินซู่กำลังปะทุขึ้น!

ทั่วทั้งสนามเงียบสงัด จิตใจของผู้คนต่างถูกดึงดูดไป

ร่างสูงสง่างามของอวี่เหวินซู่ มีกระดูกหนาและใหญ่ สวมเสื้อผ้าใยถักทอเรียบง่าย บรรยากาศหนักแน่นดุจเหล็กกล้า

ผู้นำศิษย์รุ่นเยาว์คนปัจจุบันของสำนักดาบเทียนชู ดาบเปรียบเสมือนคน เคร่งขรึมและหนักแน่น สง่าผ่าเผย

ด้วยผลการฝึกของเขาที่อยู่ในขอบเขตรวบรวมดาราขั้นกลาง ภาวะดาบในวิถีต้นกำเนิดที่แสดงออกมาช่างสมบูรณ์ไร้ช่องโหว่ ราวกับภูเขาสูงตระหง่านเพียงแค่มองจากระยะไกลก็ทำให้เกิดความรู้สึกกดดันต่อจิตใจอย่างมาก

ดาบวิญญาณที่อยู่ในมือชื่อ ‘ทองบังเหิน’ ได้รับการขัดเกลาใหม่โดยปรมาจารย์การหลอมอวี๋ซูเหยาที่หอมรกต มันแผ่พลังที่ไม่ธรรมดาออกมา

ปราณดาบทุกเส้นที่ฟันออกไปราวกับกระแสน้ำสีทองอร่าม มีศักยภาพทำให้ภูเขาถล่มทะเลทลาย

ความงดงามของท่วงท่าและจิตวิญญาณของมัน… ทำให้ผู้คนทั้งสนามตกตะลึง!

ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณและเหล่าผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันพวกนั้นต่างแสดงสีหน้าตั้งใจดูออกมาเช่นกัน

นักดาบคือกลุ่มคนที่มีพลังสังหารทรงพลังที่สุดในโลก

วิถีดาบจึงเป็นทางเลือกของผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน

แต่มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถบรรลุวิชาดาบได้โดยแท้จริง

แก่นแท้จะขึ้นกับการแสวงหาของเส้นทางวิชาดาบและยากกว่าเส้นทางเต๋ามาก

ในฐานะนักดาบ ไม่เพียงแต่ต้องเจียระไนผลการฝึกของตนและเข้าถึงวิถีดาบเท่านั้น แต่ยังต้องลับคมจิตวิญญาณแห่งดาบ และฝึกฝนความกล้าและความเอาใจใส่ด้วย!

ดังนั้นแม้ว่าจะมีนักดาบจำนวนมากอยู่ในโลก แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นนักดาบที่แท้จริง

แม้แต่ในสายตาของซูอี้ที่มาตรฐานการประเมินทั้งเข้มงวดและละเอียด ยังยกให้อวี่เหวินซู่เป็นนักดาบที่แท้จริง

ไม่ใช่เพราะอวี่เหวินซู่บอกว่าระดับวิถีดาบของตนสูงเพียงใด

แต่เพราะเขามีคุณสมบัติที่นักดาบควรมีอยู่แล้ว จิตวิญญาณแห่งดาบเหมือนเหล็กกล้า สังหารอย่างไม่ลังเล!

เทียบกับอวี่เหวินซู่แล้ว สิ่งที่แสดงออกมาในการต่อสู้ของเยว่ซือฉานสะดุดตากว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

หญิงสาวผิวขาวราวหิมะ เยือกเย็นราวกับเซียน ความงดงามไม่มีใครเทียบจึงทำให้ได้รับความสนใจไปโดยปริยาย

และในไม่ช้า เยว่ซือฉานก็ได้พิสูจน์วิชาดาบที่อยู่ในมือ ว่านางไม่เพียงแต่มีรูปลักษณ์ที่งดงามเท่านั้น แต่ยังมีพลังพอจะทำให้โลกตกตะลึงอีกด้วย!

นางมีรูปร่างที่สง่างาม เคลื่อนไหวดั่งสายฟ้า แม้ว่าผลการฝึกของนางจะอยู่ลำดับขอบเขตเปิดทวารขั้นสมบูรณ์ แต่ระดับวิชาดาบของนางเพียงพอที่จะแข่งอวี่เหวินซู่ได้

กิริยาท่วงท่าอันไร้ที่เปรียบทำให้ผู้ฝึกตนในสนามแสดงสีหน้าหลงใหลออกมา

“ศิษย์พี่ซู แม่นางซือฉานของศิษย์พี่สุดยอดมากจริง ๆ”

เซี่ยชิงหยวนประหลาดใจจนลืมแทะเมล็ดแตงโม

“ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นสุดยอดหรอก แต่หลังจากนี้จะต้องคู่ควรกับคำว่า ‘สุดยอด’ สองคำนี้แน่นอน”

ซูอี้รู้สึกโล่งใจ

ในฐานะที่เป็นผู้ชี้แนะวิถีดาบของเยว่ซือฉาน การได้เห็นหญิงสาวงดงามราวกับเซียนและเปล่งประกายภายใต้ความสนใจของทุกคน ซูอี้ก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

เปรียบเสมือนศิษย์ที่ดีในสายตาอาจารย์ และเข้าชิงรางวัลเหรียญทองแบบนั้น

“ศิษย์พี่ซู วิชาดาบอะไรที่ศิษย์พี่ถ่ายทอดให้กับแม่นางซือฉานหรือ มันทรงพลังเกินไปแล้ว”

ในไม่ช้า เซี่ยชิงหยวนก็ร้องตกใจออกมา

ในสนามต่อสู้ ดาบทุกเล่มของเยว่ซือฉานฟันออกไปราวกับหมู่ดารากำลังถอยกลับ สว่างไสวราวสายรุ้ง จิตวิญญาณที่กำลังกระจัดกระจายในความว่างเปล่า

“นั่นคือคัมภีร์ดาบดาราพินาศ ศักยภาพของดาบเหมือนกับผืนฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว เหมาะสมที่สุดกับพรสวรรค์อย่าง ‘หยั่งเห็นลึกล้ำกายวิญญาณ’ แต่คัมภีร์ดาบนี้ไม่สามารถพูดได้ว่าอยู่ในอันดับต้น ๆ ข้อดีคือมันสามารถช่วยซือฉานได้ ทำให้นางได้เข้าใจว่าควรทำอย่างไรจึงจะผสานความสามารถและพรสวรรค์กับวิชาดาบของตนเข้าด้วยกันได้”

ซูอี้พูดอย่างไม่ใส่ใจ

เขาขบคิดมานานแล้วว่าเมื่อเยว่ซือฉานก้าวเข้าสู่เส้นทางวิถีวิญญาณ เขาจะสอนมรดกวิชาดาบอีกรูปแบบหนึ่งให้นาง

แน่นอนว่ายังเร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องพวกนี้

บนสนาม การต่อสู้พลันเข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อเวลาผ่านไป อวี่เหวินซู่และเยว่ซือฉานต่างก็ได้รับบาดเจ็บทั้งคู่

แต่ทั้งสองคนดูเหมือนจะไม่รู้ตัว กลับกัน… การโจมตีกลับยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีก!

ฉากนั้นทำให้คนหลายคนตื่นตกใจ

เหล่าคนใหญ่คนโตที่อยู่บนแท่งหยกตรงกลางเริ่มอยู่ไม่สุข

บนร่างกายอวี่เหวินซู่ได้รับบาดเจ็บมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ใบดาบมีคราบเลือดหยด

เยว่ซือฉานก็เช่นเดียวกัน มีบาดแผลจากดาบที่ปรากฏให้เห็นมากมายบนร่างกายนาง เสื้อผ้าสีขาวราวกับหิมะโชกไปด้วยเลือดสีแดงก่ำดูแล้วร้ายแรงนัก

ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือมาจนถึงขั้นนี้แล้ว แต่อวี่เหวินซู่ยังสงบนิ่งเหมือนเก่า ภาวะดาบทั่วร่างเขาแข็งแกร่งและสง่างาม

ส่วนเยว่ซือฉาน ยกเว้นใบหน้างดงามที่ซีดลงเล็กน้อย… สีหน้าของนางกลับยังคงสงบเช่นเคย และพลังวิชาดาบที่แสดงออกมาก็ยังน่าเกรงขามและน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม

นักดาบแนวหน้าของโลกสองคนที่ฟาดฟันจนถึงระดับนี้ ฉากเหล่านั้นทำให้ผู้คนโดยรอบสนามประลองพลอยลุ้นระทึกไปด้วย

“ศิษย์พี่ซู แม่นางซือฉานของศิษย์พี่ได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ ไม่กังวลหรือ?”

ฝ่ามือที่ประหม่าของเซี่ยชิงหยวนชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่เมื่อเห็นซูอี้ที่อยู่ข้างกาย ก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ เพราะซูอี้ดูเฉยเมยไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ทั้งยังแทะเมล็ดแตงโมอีกด้วย…

“ชีวิตของนักดาบไม่อาจหยุดนิ่ง และไม่สามารถเลี่ยงการบาดเจ็บได้ ตราบใดที่ไม่ตาย อาการบาดเจ็บเหล่านั้นก็คือที่มาของความแข็งแกร่งจากการลับคมดาบ”

ซูอี้พูดอย่างสบาย ๆ “นี่ถือเป็นเรื่องที่ดี”

เซี่ยชิงหยวน “…”

เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย ไม่นานหลังจากนั้น ภายในสนามต่อสู้ก็—

จู่ ๆ อวี่เหวินซู่ก็เก็บดาบ กำหมัดประกบกันเล็กน้อย ก่อนจะกล่าว “การต่อสู้ในครั้งนี้ ข้าแพ้แล้ว”

ผู้ชมตกตะลึง

เยว่ซือฉานขมวดคิ้วเล็กน้อย “ยังไม่ได้ตัดสินแพ้ชนะกันจริง ๆ เลย เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเจ้าแพ้?”

อวี่เหวินซู่ส่ายหัว “ข้าเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตรวบรวมดาราขั้นกลาง ส่วนเจ้าเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเปิดทวารขั้นสมบูรณ์ การต่อสู้มาจนถึงจุดนี้ เหตุใดจึงไม่รู้ว่าต้องถอยหลังหรือเดินหน้า? หากนี่คือการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด ข้าย่อมทุ่มสุดชีวิต แต่ถ้าหากเป็นการต่อสู้ประลองชิงชัย จะแบ่งเป็นสูงต่ำ ซึ่งไม่ใช่เป็นหรือตาย”

พูดจบ เขาก็หมุนตัวลงจากสนามต่อสู้ไป

เงาร่างสง่างามแม้เปื้อนเลือดแต่ก็ยังตัวตรงราวกับดาบเหมือนเดิม

“อันที่จริง สูงต่ำนั้นได้แบ่งออกมานานแล้วนะ…”

ดวงตาของเจียงหลีซับซ้อน

อวี่เหวินซู่มีความภาคภูมิใจ เขามีความแน่วแน่และหลักการของเขาเอง

บนแท่นหยกตรงกลาง หลูเต้าถิงแห่งสำนักดาบเทียนชูถอนหายใจ ไม่ว่าใครก็ได้ยินถึงความไม่เต็มใจในใจของเขา

ท้ายที่สุด อวี่เหวินซู่ก็ยังเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นเด็กหนุ่มสาวของสำนักดาบเทียนชู…

แม้ว่าจะมีโอกาสชดเชยในการต่อสู้ครั้งต่อไปก็ตาม…

แต่การพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ได้กำหนดแล้วว่าไม่มีโอกาสคว้าอันดับหนึ่งไป!

“อวี่เหวินซู่ผู้นี้ตรงไปตรงมาเสียจริง”

เซี่ยชิงหยวนกล่าวอย่างขุ่นเคือง

“เขาต่อสู้จนถึงที่สุด และถูกกำหนดว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซือฉาน ตอนนี้เขายอมรับความพ่ายแพ้โดยสมัครใจ พูดได้เพียงแค่ว่าฉลาด”

ซูอี้พูดเบา ๆ

ในสายตาของชายหนุ่ม เขารู้ผลลัพธ์การต่อสู้ศึกนี้ตั้งนานแล้ว!

หลังจากศึกประลองระหว่างเยว่ซือฉานและอวี่เหวินซู่จบไป คู่ประลองอีกมากมายก็ทยอยกันขึ้นเวทีและปะทะกันอย่างต่อเนื่อง

ตัวตนชั้นนำอย่างเฉิงผู ฉือเจี่ยนซู่ และหลี่หานเติงเหล่านี้ที่ปรากฏตัวขึ้นตามลำดับ แต่ละการแสดงที่แสดงออกมาล้วนพร่างพราวจนผู้คนประหลาดใจ

ยามเห็นฉือเจี่ยนซู่ หญิงสาวผู้ดื้อรั้นและมีบรรยากาศดุดันปล่อยออกมาทั่วทั้งร่าง ซูอี้ก็ตกใจเล็กน้อย และทันใดนั้นก็นึกไปถึงชายชราตาบอดที่มีเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพผู้นั้น

ชายชราตาบอดเคยพูดไว้ว่า หลายปีมานี้เขาพยายามอย่างหนัก เฝ้าตามหาผู้สืบทอดที่จะสามารถสืบทอดมรดกได้ แต่ก็เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร มีความหวังเพียงน้อยนิด

ทว่าขณะนี้… ฉือเจี่ยนซู่เป็นผู้สืบทอดที่เหมาะสมอย่างไม่ต้องสงสัย!

เพราะผู้หญิงคนนี้มีกระดูกหยินยมโลกที่หายากมาก!

พรสวรรค์แบบนี้ไม่สามารถพูดได้ว่าทรงพลัง แต่กลับหายากยิ่ง เท่าที่ซูอี้รู้ แม้ว่าจะเป็นเก้ามหาแดนดินก็นับว่าหายาก

และมรดกของเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพ ก็มีแต่ผู้ครอบครองพรสวรรค์แบบเช่นนี้เท่านั้นที่จะสืบทอดได้!

“ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้ชายชราตาบอดอยู่ที่ใด”

ซูอี้กล่าวอย่างลับ ๆ

ทันใดนั้นภายในสนามประลองก็เกิดความเคลื่อนไหว… บรรยากาศกลายเป็นร้อนรุ่มไปหมด!

หวนเฉ่าโหยวปรากฏตัว

ทายาทของตระกูลหวนเผ่ามารผู้มีผมสีม่วงและสวมกวานสีทอง สวมชุดเขียวหยกและใบหน้าที่หล่อเหลา เขาได้กลายเป็นจุดสนใจของผู้ชมทันทีที่ปรากฏตัว

ที่งานชุมนุมมวลพฤกษาเมื่อไม่กี่วันก่อน ในการต่อสู้ทุกครั้ง หวนเฉ่าโหยวจัดการคู่ต่อสู้ได้ในครั้งเดียว

แม้แต่ตัวตนจากยุคโบราณและผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันบางส่วนก็ไม่ใช่ศัตรูของเขา!

จนถึงตอนนี้ หวนเฉ่าโหยวยังคงรักษาสถิติการเอาชนะศัตรูด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นับว่าแข็งแกร่งไร้ขอบเขต!

เมื่อเห็นเขาปรากฏตัว เหล่าผู้มีอำนาจบนแท่นหยกตรงกลางทั้งหมดพากันแสดงความจริงจังออกมา สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณอย่างหวนเฉ่าโหยว มีพลังและสติปัญญาที่สามารถข้ามผ่านเส้นทางเต๋าและจัดการผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ผู้ใดจะกล้าเมินเฉยเรื่องนี้กัน?

“ไม่แปลกใจ หากอันดับหนึ่งของชุมนุมมวลพฤกษาในครั้งนี้จะถูกครอบครองโดยคนผู้นี้”

หลูเต้าถิงพูดเสียงเบา

ไม่มีใครปฏิเสธ หวนเฉ่าโหยวได้พิสูจน์ผ่านการต่อสู้แล้วว่าความแข็งแกร่งของเขาน่ากลัวและทรงพลังเพียงใด

เขาจึงเป็นผู้เข้าร่วมที่ทุกคนยอมรับ และถูกคาดหวังมากที่สุดว่าอาจคว้าอันดับหนึ่งไปครอบครอง!

“ศิษย์พี่ซู ข้าได้ยินจากพ่อของข้าว่าผู้ชายคนนี้เคยนั่งเรือล่องล้อเมฆามารนับพันทะยานเหนือน่านฟ้านครหลวงจิ๋วติ่ง เย่อหยิ่งและทะนงตัวมาก หากครั้งนี้ไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้ ศิษย์พี่จะสั่งสอนเขาอย่างไรหรือ?”

เซี่ยชิงหยวนกล่าวอย่างรวดเร็ว นางยังคงไม่ปิดบังความเกลียดชังต่อหวนเฉ่าโหยว

“ข้าไม่ได้ลงสมัครไว้ อีกอย่างคือชุมนุมมวลพฤกษาจะแบ่งเป็นผู้ชนะและผู้แพ้ ไม่มีการแบ่งเป็นหรือตาย การไม่สามารถฆ่าไอ้สารเลวนี่ได้และไม่สนุกด้วย”

ซูอี้พูดอย่างไม่ใส่ใจ

“ใครบอกว่าไม่ลงสมัครก็ไม่สามารถเข้าร่วมได้กัน?”

เซี่ยชิงหยวนกะพริบตา “ศิษย์พี่ไม่รู้หรือ ตามกฎแล้ว แค่พ่อของข้าพยักหน้าให้ ก็สามารถให้ข้อยกเว้นแก่ผู้ที่ไม่ได้สมัครเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้นะ?”

ซูอี้ตกใจ เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับชุมนุมมวลพฤกษาอย่างจริงจัง แล้วจะไปรู้กฎดังกล่าวได้อย่างไร?

และก็เป็นในตอนนี้เอง ที่ดวงตาของซูอี้หรี่ลงเล็กน้อย

คู่ต่อสู้ของหวนเฉ่าโหยวคือหยวนเหิง!

ในสนามตอนนั้นพลันมีเสียงโกลาหลดังขึ้น

“หยวนเหิง? แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่ง แต่จะเป็นคู่ต่อสู้ของหวนเฉ่าโหยวได้อย่างไร?”

“เฮ้ ข้าคิดว่านี่จะเป็นการประลองครั้งยิ่งใหญ่เสียอีก แต่ไม่เคยคิดเลยว่าคู่ต่อสู้ของหวนเฉ่าโหยวคือหยวนเหิง ชัยชนะไม่มีความน่าตื่นเต้นแล้ว”

…หลายคนรอบสนามต่างผิดหวัง ทั้งยังไม่ได้มองหยวนเหิงในแง่ดีด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น ยังตะโกนเสียงดังตรง ๆ อีกว่า “สหายเต๋าหยวนเหิง ยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดีเถิด ไม่อย่างนั้นตอนถูกจัดการจะอับอายเอานะ”

เสียงนี้ทำให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นในสนาม

บนเวทีการต่อสู้

สีหน้าของหยวนเหิงสงบ ดวงตาของเขากวาดไปทั่วสนาม ก่อนจะพูดอย่างเคร่งขรึม “ต่อให้ข้าหยวนเหิงจะรับมือไม่ไหว ทว่าก็ติดหนึ่งในร้อยอันดับแรกด้วยด้วยความแข็งแกร่งของข้าเอง ส่วนพวกเจ้าก็เป็นแค่กลุ่มคนดูเอาสนุก มีสิทธิ์อะไรมาดูหมิ่นข้า?”

เสียงกระจายไปทั่วสนาม หยุดเสียงหัวเราะและเสียงหนวกหูพวกนั้นลง

“พูดได้ดี!”

มีบางคนที่ปรบมือแล้วตะโกนสนับสนุนหยวนเหิง

เมื่อเห็นฉากนี้ หวนเฉ่าโหยวที่ยืนอยู่บนสนามต่อสู้ก็มีรอยโค้งขี้เล่นบนริมฝีปากเขา

ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้นและชี้ไปทางซูอี้บนแท่นหยกตรงกลาง ขณะที่ดวงตาหันไปทางหยวนเหิง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แล้วความสัมพันธ์ระหว่างซูอี้กับเจ้าคืออะไรเล่า?”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *