บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 287: ความหวาดกลัวของปราชญ์จี้เผิง

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 287: ความหวาดกลัวของปราชญ์จี้เผิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 287: ความหวาดกลัวของปราชญ์จี้เผิง
ตอนที่ 287: ความหวาดกลัวของปราชญ์จี้เผิง

อึก!

ร่างซูอี้ลอยอยู่กลางอากาศ ไม่อาจควบคุมร่างตัวเองทัน เลือดลมปราณปั่นป่วนไม่น้อย…

การโจมตีนี้ ไม่นึกว่าจะน่าหวาดกลัวมากถึงเพียงนี้!

“หลาวรึ?”

ซูอี้เหลือบมองสิ่งที่ซุ่มโจมตีตัวเอง มันคือหลาวสีเพลิงแหลมคมทั้งสองด้าน กว้างดุจตะเกียบไม้ไผ่ ยาวประมาณสี่ฉื่อ

มันกระเพื่อมม้วนตัวกลางม่านอากาศ คล่องแคล่วรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง

มีคนซุ่มโจมตี!

หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ ต่างก็ตกใจไปครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้ตอบสนองกลับมา พลันสีหน้าก็เปลี่ยนไปพร้อม ๆ กัน

หากสับเปลี่ยนเป็นพวกเขา เกรงว่าคงต้านเอาไว้ไม่อยู่ เพราะมันเร็วเกินไปแล้ว!

“พวกเจ้าเดินเลียบกลับไปทางเดิมก่อน”

ซูอี้สูดหายใจเข้าลึก พลันแววตาลุ่มลึก ลมปราณหมุนเวียนไปทั่วร่าง ราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงซือฮวาเห็นซูอี้เผยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังเช่นนี้ออกมา

ขนาดตอนสังหารจิงเหอเมื่อก่อนหน้านี้ ซูอี้ยังมีท่าทีผ่อนคลาย แต่ผิดกับขณะนี้ที่สีหน้าจริงจังน่าเกรงขาม!

“ไป”

หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ ไม่รอช้า รีบหมุนตัวเดินออกไป

ฟิ้ว!

ขณะที่พวกเขาหมุนตัวเดินออกไป หลาวสีเพลิงที่อยู่ไม่ไกลพุ่งไปทางด้านหลังหนิงซือฮวาทันที

คล้ายกับสายฟ้าสีเลือด ผ่ายาวไปกลางอากาศ

เคร้ง!!!

ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าขวางอยู่ด้านหน้า ต้านการโจมตีนี้ไว้

พลังที่เจาะทะลุอย่างน่าสะพรึงกลัวนี้ กระแทกดาบนิลกาฬกลืนฟ้าจนสั่นไหวขึ้นมา และร่างของซูอี้ก็กระเด็นถอยหลังไปอีกครา

แม้ในใจหนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ จะกังวลมาก ทว่าก็รู้ดี ยามนี้มิอาจหยุดฝีเท้าได้ ไม่เช่นนั้นต้องเข้าไปพัวพันกับซูอี้แน่

พรึบ!

หลาวสีเพลิงลอยอยู่ในอากาศ เปล่งประกายเปลวไฟที่งดงามออกมา พลันอานุภาพของมันพุ่งสูงขึ้นอีกเท่าตัว

เป็นแค่หลาวเท่านั้น ทว่าอานุภาพที่แผ่ออกมา กลับแข็งแกร่งกว่าการโจมตีของเทพเซียนเดินดินอย่างจิงเหอไม่รู้เท่าไร!

และทำให้คนมองที่อยู่ไกล ๆ ต่างก็รู้สึกสั่นกลัว!

“ศาสตราเวท!”

ดวงตาซูอี้พลันแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย วัตถุล้ำค่าชิ้นนี้ไม่ถึงกับน่าสะพรึงกลัวมาก ทว่าที่ทำให้เขาแปลกประหลาดใจคือ ชายที่ควบคุมวัตถุล้ำค่านี้ อาจจะเป็นมหาปราชญ์สวรรค์!

ตูม!

ครั้นนึกมาถึงตรงนี้ หลาวสีเพลิงนั้นก็เริ่มเปล่งประกายเปลวไฟอย่างรุนแรงและพุ่งเข้ามาโจมตี

อากาศปั่นป่วน ประหนึ่งเกิดทะเลเปลวเพลิงเผาผลาญโลกา อานุภาพนั่นสั่นสะเทือนไปทั่วหล้า แข็งแกร่งจนมิอาจจินตนาการ

และเกินกว่าพลังทำลายล้างของเทพเซียนเดินดิน!

เมื่อเผชิญหน้ากับการจู่โจมนี้ ซูอี้พลันเผยสีหน้าเคร่งขรึมอย่างไม่เคยเผยมาก่อน จากนั้นก็หลบการโจมตีนั้นทันที

ตู้ม!

แม้จะหลบเลี่ยงการจู่โจมของหลาวสีเพลิงนั้นได้ ทว่าร่างของซูอี้กลับถูกประกายเปลวไฟที่กระจายออกมากระแทกจนลอยกระเด็นออกไป

เลือดไหลออกมาจากปากเขา

ซูอี้ยืนอย่างมั่นคง ใบหน้าเผยความเย็นชาออกมา

ตั้งแต่ที่เขาฝึกตนมา นี่คือการต่อสู้ที่อันตรายที่สุดที่เขาเคยพบเจอ และคู่ต่อสู้อาจจะเป็นมหาปราชญ์สวรรค์!

ซึ่งตัวตนเช่นนั้นแข็งแกร่งกว่า ‘เทพเซียนเดินดิน’ ที่อยู่ในโลกนี้ และต่างกันราวฟ้ากับดิน

ตูม!

ไม่ให้โอกาสซูอี้ได้ครุ่นคิดเลยสักนิด หลาวสีเพลิงนั่นก็โจมตีเข้ามาอีกครั้ง

“เริ่ม!”

นัยน์ตาซูอี้เปล่งประกายเยือกเย็นออกมา สองมือประสานกัน

ตูม!

พระพุทธรูปเก้าจั้งที่ตั้งตระหง่านอยู่กระจัดกระจายในใต้โลกคล้ายกับตื่นขึ้นมา พลันเปล่งประกายแสงเจิดจ้าออกมาทันที

บนร่างพระพุทธรูปทุกองค์ ต่างก็ฉายแสงทรงกลดแวววาวออกมา และเสียงสวดโอ่อ่าพลันดังก้องขึ้น

แค่พริบตาเดียว เกิดแสงสว่างจ้าข้างใต้โลกนี้ ทำให้ความมืดมิดทลายหายไป

และเห็นได้ชัดว่า มีเงาเลือนรางก่อตัวเป็นพระโพธิสัตว์ขนาดใหญ่ สองมือหนีบดอบบัวไว้ ทั่วร่างพันรอบด้วยมังกร อานุภาพที่น่าสะพรึงกลัวนั่น ทำให้ทั่วหล้าสั่นสะเทือนขึ้นมา

ค่ายกลกักหมู่มาร!

“ไป!”

ซูอี้สะบัดมือ

ตูม!

เงาลวงตาพระโพธิสัตว์สีทองพลันตบออกมา

ฝ่ามือสีทองทรงพลังกดทับลงมา ทำให้หลาวสีเพลิงที่พุ่งไปกลางอากาศคล้ายกับได้รับแรงกดทับ จึงเกิดเสียงสั่นสะเทือนขึ้นมาทันที

ทว่าในตอนนี้เอง ส่วนลึกของระลอกคลื่นสีเลือดขนาดใหญ่ในอากาศ ก็ปรากฏคลื่นพลังลึกลับแปลกประหลาดออกมาทันที และก่อตัวเป็นมือขนาดใหญ่สีเลือดประหนึ่งภูเขาสูงใหญ่ที่กดลงมาอย่างรุนแรง!

ตู้ม

ฝ่ามืออรหันต์สีทองและฝ่ามือสีเลือดปะทะกัน ใต้โลกนี้พลันสั่นสะเทือนทันที และกระแสแห่งการทำลายล้างที่รุนแรงก็โหมกระหน่ำและแผ่ขยายออกไป

หลาวสีเลือดถือโอกาสนี้หมุนขึ้นอีกครั้ง หลุดพ้นจากแรงกด เปล่งประกายในอากาศ พลันปรากฏร่างหนึ่งขึ้น

เป็นชายผู้หนึ่ง สวมหมวกทรงสูงและเสื้อผ้าเก่า หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงสง่า ยืนอยู่บนหลาวสีเพลิงนั้น ประหนึ่งราชาที่ให้เกียรติออกมาด้วยตัวเอง

เพียงแต่ ร่างของเขาเป็นร่างมายา ดั่งเงาแสงที่ไม่ใช่ของจริง

เมื่อเห็นภาพนี้ ซูอี้กลับผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย นี่ไม่ใช่มหาปราชญ์สวรรค์ที่แท้จริง ทว่าเป็นเพียงจิตวิญญาณที่เก็บไว้ในหลาวสีแดงเท่านั้น

“ชายหนุ่มมีวิถียุทธ์ขอบเขตหลอมกำเนิด และยังไม่ก้าวผ่านคนธรรมดา แต่กลับควบคุม ‘ค่ายกลกักหมู่มาร’ ที่จัดตั้งไว้ในลานฌาณปัญญา ทำให้ข้าแปลกใจยิ่งนัก”

ชายผู้นั้นเอ่ย น้ำเสียงดั่งฟ้าร้อง และเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม “เอาล่ะ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าชั่วคราว ตราบใดที่เจ้าตอบคำถามไม่กี่ข้อของข้าอย่างเชื่อฟัง ไม่เพียงแต่ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า ข้ายังไม่รังเกียจที่จะรับเจ้าเป็นศิษย์ และถ่ายทอดคำสอนให้”

ซูอี้ยิ้มออกมา

ก็แค่ร่างแยกของมหาปราชญ์สวรรค์คนหนึ่งเท่านั้น ในชาติก่อน แม้แต่จะเข้ามาคุกเข่ากราบเท้าตนก็ยังยาก!

ตูม!

ซูอี้ประสานมือ จู่โจมทันที ไม่คิดพูดไร้สาระใด ๆ

เงาลวงตาพระโพธิสัตว์สีทองโจมตีออกไปทันที นำพาแสงทรงกลดมหาศาล อัดเข้าไปในอากาศ

ชายที่อยู่บนหลาวสีเพลิงนิ่งไปครู่หนึ่ง คล้ายกับไม่อยากจะเชื่อ ในสายตาเขา ชายหนุ่มที่มีขอบเขตหลอมกำเนิดดุจมดแมลงโอหังได้ขนาดนี้เชียวหรือ?

เมื่อเห็นฝ่ามือที่สะท้านโลกทุบเข้ามา

พลันใบหน้าชายผู้นั้นก็เผยความรนรานออกมา และบังคับหลาวสีเพลิงหลบเลี่ยงห่างไปไกลทันที

ทว่าฝ่ามือที่โจมตีมานั้น เป็นพลังที่แปรสภาพมาจากพลังค่ายกลกักหมู่มาร จะธรรมดาได้อย่างไร?

ตู้ม!

ทันใดนั้นแสงทรงกลดสีทองระเบิดแผ่กระจาย หลาวสีเลือดถูกทุบจนสั่นโครงเครง และชายคนนั้นก็หลบเข้าไปภายในหลาวอย่างตกใจทันที

ประหนึ่งเต่าหัวหด ที่หลบซ่อนอยู่ภายในกระดอง

ช่างน่าขันนัก

“เจ้าหนุ่ม! หรือเจ้ากำลังรนหาที่ตาย?”

ภายในหลาวสีเพลิง มีน้ำเสียงโมโหของชายผู้นั้นดังออกมา

“เห็นแก่ที่เจ้าไม่รู้ ข้าจะไม่เอาความกับเจ้า แต่หากเจ้ายังดื้อรั้น…”

ยังไม่ทันเอ่ยจบ ซูอี้ควบคุมค่ายกลต้องห้าม พลันฝ่ามือนั้นก็ทุบลงสู่เบื้องล่าง

ตูม!

ประหนึ่งฟ้าถล่มดินทลาย แม้หลาวสีเพลิงจะพยายามหลบเลี่ยงอย่างดีที่สุด แต่ก็ยังถูกทุบจนเกิดเสียงขึ้น และตกลงสู่เบื้องล่างอย่างรุนแรง พลางแผดเสียงอย่างต่อเนื่อง

“เลวทรามนัก!”

ภายในหลาวสีเพลิง เห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้กำลังหวาดกลัว พลันควบคุมหลาวพุ่งเข้าไปในระลอกคลื่นสีเลือดนั้นทันที

ซูอี้จะทำให้เขาสมความปรารถนาได้อย่างไร?

ตูม!

ทันใดนั้น เพลิงพระโพธิสัตว์สีทองที่ปกคลุมไปทั่วทุกที่พุ่งขึ้น ทอดยาวเป็นสะพานอยู่บนด้านหน้าทางนั้น

ทว่าที่ซูอี้นึกไม่ถึงคือ ในตอนนี้เอง มีพลังลึกลับแปลกประหลาดปรากฏออกมาจากส่วนลึกระลอกคลื่นสีเลือดอีกครั้ง และรวมกันเป็นหอกรบโลหิต แทงลงมาอย่างรุนแรง

ทำให้เพลิงพระโพธิสัตว์สีทองซึ่งปกคลุมไปทั่วถูกทลาย!

หลาวสีเลือดถือโอกาสนี้พุ่งเข้าไปใกล้ระลอกคลื่นสีเลือดนั้น

“เจ้านักเลง ข้าจะให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย หาก…”

ไม่รอให้เขาเอ่ยจบ ซูอี้ก็จู่โจมออกไปอีกครั้ง

ตูม!

ฝ่ามืออรหันต์ตบเข้าไปในอากาศ ต้องการที่จะจับหลาวสีเพลิงนั้น

“บ้าเอ๊ย!!!”

ภายในหลาวสีเพลิง ราวกับชายผู้นั้นโมโหขาดสติ เกรี้ยวกราดเสียจนแผดเสียงคำรามออกมา

“เจ้าหนุ่ม เจ้าจงฟังให้ดี ข้าคือ ‘ปราชญ์จี้เผิง’ แห่งลัทธิปีศาจแปลงดารา และสักวันหนึ่งข้าจะข้ามพรมแดนออกมาคร่าชีวิตเจ้า!”

น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ รวมถึงความรู้สึกบางอย่างที่พูดออกมาไม่ได้

น้ำเสียงยังไม่ทันสิ้นสุดลง หลาวสีเพลิงก็พุ่งเข้าไปในระลอกคลื่นสีเลือดนั่น พริบตาหนึ่งก็หายสาบสูญไป

เมื่อเห็นเช่นนี้ แววตาซูอี้จึงอดเผยความรู้สึกเสียดายออกมาไม่ได้ ไม่นึกเลยว่าจะเก็บชายผู้นี้ไว้ไม่ได้…

“สหายเต๋า เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?”

หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ รีบเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและตกใจ

การต่อสู้ก่อนหน้านี้ อยู่ในสายตาพวกเขาทั้งหมด

“ไม่เป็นไร แค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น”

ซูอี้หายใจเข้าลึก ๆ และหันกลับมองไประลอกคลื่นสีเลือดนั่น

มู่ซีอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “พี่ซู ชายเมื่อครู่นั่น หรือว่าจะเป็นมหาปราชญ์สวรรค์?”

“ถูกต้อง แต่เป็นเพียงแค่ร่างแยกเท่านั้น เมื่อการบำเพ็ญบรรลุไปถึงขอบเขตวงล้อวิญญาณ ก็จะสามารถแบ่งวิญญาณ และหลอมเป็นร่างแยกได้”

ขณะที่ซูอี้กล่าว เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ชายเมื่อครู่แม้การฝึกฝนจะไม่ถึงกับเก่งกาจ ทว่าฐานะนั้นคงไม่ธรรมดาแน่”

ระลอกคลื่นสีเลือดนั่นเป็นผนังกั้นมิติ ทว่าในตอนที่ต่อสู้เมื่อครู่ กลับมีคนจู่โจมมาจากอีกด้านของม่านกั้นนั้น เพื่อช่วยชายที่เรียกตนว่าเป็น ‘ปราชญ์จี้เผิง’ คลี่คลายการต่อสู้นี้

สิ่งเหล่านี้มหาปราชญ์สวรรค์มิอาจทำได้ และอย่างน้อยก็ต้องมีการฝึกฝนในขอบเขตจักรพรรดิ หรือเข้าใจการควบคุมระหว่างอากาศอย่างถ่องแท้ ถึงจะสามารถยื่นมือเข้ามาช่วยผ่านม่านกั้นนี้ได้!

หากทว่าปราชญ์จี้เผิงผู้นี้เป็นมหาปราชญ์สวรรค์ธรรมดา จะได้รับการช่วยเหลือเช่นนี้ได้อย่างไร?

“ลัทธิปีศาจแปลงดารา… หากกล่าวเช่นนี้ โลกอีกใบที่อยู่หลังผนังกั้นมิติ ย่อมมีกองกำลังปีศาจ และในนั้นอาจจะมีมหาปราชญ์สวรรค์อย่างปราชญ์จี้เผิง และอาจจะมีบุคคลระดับขอบเขตจักรพรรดิอาศัยอยู่ในนั้น…”

ซูอี้แอบเอ่ยเบา ๆ

นี่จะต้องเป็นข่าวที่ทำให้ทั้งมหาทวีปคังชิงสั่นสะเทือนแน่

ทว่าซูอี้กลับไม่สนใจ

ในฐานะที่ชาติก่อนเคยถูกเรียกว่าเป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินในเก้ามหาแดนดิน เขาเข้าใจดีที่สุด ยิ่งมีการบำเพ็ญสูงมากเท่าไร การก้าวข้ามโลกนี้ก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น

เรื่องนี้พัวพันไปถึงปัญหากฎของโลก

และเหมือนกับโลกใบนี้อย่างมหาทวีปคังชิง นอกเสียจากว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของแผ่นดิน…

…ไม่เช่นนั้น อย่าเอ่ยถึงบุคคลระดับขอบเขตจักรพรรดิเลย แม้แต่มหาปราชญ์สวรรค์ก็มิอาจใช้พลังของตัวเองบนโลกนี้ได้

มหาทวีปคังชิงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่?

เปลี่ยนแปลงแน่!

ในช่วงหลายปีมานี้ แปดหุบเขามารใหญ่แห่งต้าโจวยิ่งปรากฏเรื่องแปลกประหลาดผิดปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ และสามารถเห็นเบาะแสบางอย่างได้

ครั้งนั้นที่อยู่ข้างใต้ส่วนลึกหุบเขามารบุปผาโลหิต ซูอี้ก็เคยคาดเดาเอาไว้ หากผู้ฝึกตนต่างโลกอยากข้ามม่านกั้นเพื่อมาบนโลกนี้ อย่างน้อยสุดต้องใช้เวลาสามถึงห้าปี

อีกอย่าง บุคคลกลุ่มแรกที่มาถึงมหาทวีปคังชิง จะต้องไม่เป็นบุคคลที่โดดเด่นอย่างแน่นอน

สำหรับคนอื่น ๆ บนโลกนี้ อาจจะเป็นเรื่องที่น่ากังวล และนอนไม่หลับ

แต่สำหรับซูอี้ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีอะไรเลย และเขาก็ตั้งตารอผู้ฝึกตนจากต่างโลกที่กำลังจะมาถึง

หากเป็นเช่นนี้ ก็สามารถเก็บเหยื่อในแต่ละครั้งได้…

ถึงอย่างไร บนร่างผู้ฝึกตนต่างโลกเหล่านั้น จะไม่มีของล้ำค่าที่จำเป็นต่อการฝึกฝนได้อย่างไร?

“พวกเจ้าดู นั่นคือสิ่งใด?”

จู่ ๆ หลานซัวก็เอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ นางยื่นมือไปในความมืดที่อยู่ไกล ๆ นั้น

ที่แห่งนั้นมีแสงสีม่วงติด ๆ ดับ ๆ หากไม่มองดูดี ๆ ก็ยากที่จะเห็นได้

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *