บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 355: พลีชีพกับสนับสนุน

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 355: พลีชีพกับสนับสนุน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 355: พลีชีพกับสนับสนุน

ตอนที่ 355: พลีชีพกับสนับสนุน

ถึงซูอี้จะขี้เกียจเอามาก ๆ

ทว่าเขาไม่ใช่พวกไร้หัวใจ เมื่อเห็นว่าฉาจิ่นเกิดเรื่อง ชายหนุ่มย่อมไม่อาจเพิกเฉยดูดายได้เป็นธรรมดา

วันเดียวกันนั้น เขาขี่อินทรเกล็ดเขียวของหนิงซือฮวาออกจากตำหนักเทียนหยวนพร้อมกับฉาจิ่น

——

อาณาจักรต้าเว่ยตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของอาณาจักรต้าโจว มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ หนาวเหน็บตลอดทั้งปี ในช่วงเวลาหนึ่งปีมีหิมะตกมากกว่าครึ่งปี

ด้วยเหตุนี้ อาณาจักรต้าเว่ยจึงได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘เมืองหิมะ’

ภายในอาณาจักรต้าเว่ยให้ความนิยมการฝึกยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เด็กหรือผู้ใหญ่ ล้วนภาคภูมิใจที่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์

นครหลวงเทียนเชวีย

เมืองหลวงแห่งอาณาจักรต้าเว่ยมีความเจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็นด้านกำลังคนหรือเศรษฐกิจ ทั้งหมดล้วนไม่ด้อยไปกว่านครหลวงอวี้จิงของอาณาจักรต้าโจวเลย ถึงขั้นรุ่งเรืองยิ่งกว่าเสียอีก

วันที่สิบเจ็ดเดือนห้า

ท้องฟ้ามืดครึ้ม หิมะขนาดเท่าขนห่านปลิวว่อน ลมหนาวเหน็บราวกับมีดเชือดเฉือนลงบนกระดูก

ห่างจากนครหลวงเทียนเชวียออกไปหลายลี้ ซูอี้กับฉาจิ่นสั่งอินทรีเกล็ดเขียวให้ร่อนลง

หิมะปกคลุมแผ่นดิน เหยียบลงไปเกิดเสียงดังฉึบ ๆ

มองออกไปไกล หิมะขาวปกคลุมไปทั่ว ลมหนาวพัดกระโชก ทุกอย่างเวิ้งว้าง

ถึงแม้ซูอี้จะสวมเพียงชุดคลุมยาวสีเขียวตัวบาง ทว่ากลับไม่รู้สึกหนาวเหน็บแม้แต่น้อย เขากล่าวเนิบ ๆ “อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ ก่อเตาดินแดงขึ้นมาสักเตา ล่องเรือบนแม่น้ำน้ำแข็ง เตรียมสุราฤทธิ์แรงสักไห ด้านหนึ่งชมความงดงามของแม่น้ำหิมะ อีกด้านหนึ่งต้มหม้อไฟ สบายอารมณ์อย่างที่สุด”

ฉาจิ่นนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นหัวเราะพลางกล่าว “คุณชายอารมณ์ดีเสียจริง ไกลออกไปสิบลี้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของนครหลวงเทียนเชวีย มีแม่น้ำใหญ่แห่งหนึ่งชื่อว่า ‘ทะเลสาบเชียนเสวี่ย’ ที่ตรงนั้นมีภูเขาล้อมรอบ มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี กลางแม่น้ำมีปลาใหญ่ประเภทหนึ่งชื่อว่า ‘ปลาชิงซัว’ ขึ้นชื่อว่าเป็นปลาเลิศรสในต้าเว่ย เมื่อมีเวลาว่าง ข้าจะพาคุณชายไปชิม พวกเราไปพายเรือในแม่น้ำเล่น ดื่มสุราต้มหม้อไฟกัน”

“แล้วแต่โอกาสเถิด นึกอยากจะไปแล้วค่อยไป หากไม่อยากไป ไปแล้วก็ไม่สนุก ไปกัน ไปที่บ้านเจ้ากันก่อน”

สองมือของซูอี้ไพล่หลัง เดินนำออกไปก่อนแล้ว

ฉาจิ่นตบปีกของอินทรีเกล็ดเขียวเบา ๆ ด้วยความใกล้ชิด กล่าว “ชิงเอ๋อร์ เจ้าจงรออยู่ตรงนี้ เมื่อข้ากับคุณชายจัดการธุระเสร็จ ค่อยเดินทางกลับสู่อาณาจักรต้าโจว”

อินทรีเกล็ดเขียวพยักหน้า จากนั้นขยายปีกทั้งสองบินร่อนออกไป

นครหลวงเทียนเชวียมีความใหญ่โตยิ่งนัก ตั้งตระหง่านอยู่บนผืนแผ่นดิน กำแพงเมืองสีดำราวกับมังกรใหญ่คดเคี้ยว แลดูเด่นชัดบนผืนแผ่นดินสีขาวสว่าง

บริเวณประตูเมืองมีผู้คนผ่านไปมามากมาย เบียดเสียดคึกคัก ผู้ฝึกยุทธ์พกดาบสะพายกระบี่ก็มีจำนวนไม่น้อย

ถึงแม้การปรากฏตัวของซูอี้กับฉาจิ่นจะเป็นที่จับตามองของคนจำนวนไม่น้อย ทว่าก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความระส่ำระสายอันใด

ในอาณาจักรต้าโจว ซูอี้เป็นคนหนุ่มในตำนานผู้มีชื่อเสียงดังทั่วใต้หล้า และเป็นอัครมหาเสนาบดีแห่งต้าโจวซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากองค์รัชทายาทโจวจือหลี

ทว่าในนครหลวงเทียนเชวียแห่งอาณาจักรต้าเว่ยแห่งนี้ ซูอี้เป็นเพียงแค่หนุ่มน้อยแปลกหน้าที่ไม่มีใครรู้จักคนหนึ่งเท่านั้น สาเหตุที่ตกเป็นเป้าสายตาก็เพราะความงดงามโดดเด่นของฉาจิ่นผู้อยู่ข้างกาย

มาถึงนครหลวงเทียนเชวีย เห็นได้ชัดว่าฉาจิ่นมีอาการตื่นเต้นไม่น้อย ทว่าความกลัดกลุ้มที่แสดงออกมาทางสีหน้ากลับไม่ลดน้อยลงไปเลย ทั้งยังเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

ยิ่งใกล้ถึงบ้านก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่น ที่นี่เป็นสถานที่ที่นางพำนักอาศัยมาตั้งแต่เด็กจนโต

ทว่ากลับมาในครั้งนี้ เป็นเพราะทางบ้านเกิดเหตุ ทำให้นางรู้สึกดีใจไม่ออก

เข้ามาในเมือง ฉาจิ่นจ้างรถม้าคันหนึ่ง มุ่งหน้าเดินทางกลับสู่บ้านซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของนครหลวงเทียนเชวียกับซูอี้

ตระกูลเสิ่น เป็นตระกูลใหญ่สุดยอดในจำนวนที่นับนิ้วได้ของอาณาจักรต้าเว่ย

เมื่อหลายสิบปีก่อน เสิ่นฉางคงผู้นำตระกูลได้รับการแต่งตั้งจากจักรพรรดิเว่ยให้เป็น ‘จวิ้นอ๋อง’ กล่าวได้ว่ามีอำนาจยิ่งใหญ่มาก

จวนของตระกูลเสิ่นก่อสร้างขึ้นในเขตตะวันออกเฉียงเหนือของนครหลวงเทียนเชวีย มีเนื้อที่นับร้อยไร่ มีสวนหลายแห่ง เรือนหลายหลัง ลำพังเพียงแค่บ่าวรับใช้ก็มีจำนวนหลายร้อยคนแล้ว แลดูยิ่งใหญ่อลังการมาก

เมื่อนั่งรถม้ามาจนใกล้จะถึงจวนตระกูลเสิ่น ฉาจิ่นก็รู้สึกลังเลขึ้นมา พลางกล่าวเบา ๆ “คุณชาย ข้า… ข้าอยากจะกลับไปดูสถานการณ์เองเพียงลำพังก่อน”

ซูอี้พยักหน้า

เพียงแค่มองเขาก็รู้ว่าฉาจิ่นเป็นห่วงว่าหากพาตนเองกลับไปบ้านด้วย จะโดนซักถามจนอาจทำให้กลายเป็นเรื่องยุ่งยากโดยไม่จำเป็นขึ้นมาได้

เพราะอย่างไรเสีย ฉาจิ่นก็เป็นถึงบุตรสาวของผู้นำตระกูลเสิ่น การที่จู่ ๆ พาผู้ชายแปลกหน้ากลับมาด้วย จะกลายเป็นจุดดึงดูดความสนใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จากนั้นฉาจิ่นจึงรีบเดินทางกลับไปเพียงคนเดียว

ซูอี้คิดสักครู่แล้วจึงลงจากรถม้า ตั้งใจว่าจะหาโรงสุราใกล้ ๆ สักแห่งเพื่อดื่มให้สบายตัว

ทว่าหาโรงสุรายังไม่พบ กลับมองเห็นคนคุ้นเคยคนหนึ่งอยู่ไกล ๆ

คน ๆ นั้นสวมชุดคลุมยาวสีแดง ท่าทางสง่าผ่าเผย รูปงามหล่อเหลา มีบ่าวรับใช้เฒ่าสองคนติดตาม เดินส่ายอาด ๆ เข้ามาในประตูจวนตระกูลเสิ่น

“ที่แท้ก็เป็นเขานั่นเอง”

ซูอี้ขมวดคิ้วครุ่นคิดสักครู่จึงนึกขึ้นได้ว่าชายหนุ่มชุดสีแดงคนนี้มีชื่อว่าลู่หาว ซึ่งเป็นศิษย์พี่ของฉาจิ่น

ตอนที่อยู่มหานครอวิ๋นเหอ คน ๆ นี้เคยใช้ยันต์ดาบฟันตนเองอย่างลับ ๆ

ต่อมาตอนอยู่ที่มหานครกุ่นโจว คน ๆ นี้พาหลิ่วหงฉีผู้อาวุโสหนุ่มของสำนักวงเดือนมาหาเรื่องตนเองถึงเรือนพำนักหินศิลา

ผลปรากฏว่า หลิ่วหงฉีถูกตนเองฆ่าตาย ส่วนลู่หาวคนนี้กลับหนีรอดไปได้

ซูอี้ยังจำได้ว่า ตอนที่เจ้าหนุ่มคนนี้หนีไปยังตะโกนด้วยความเคียดแค้นว่าวันข้างหน้าจะต้องกลับมาล้างแค้น

ไม่นึกเลยว่า หลังจากวันเวลาผันผ่านไปหลายเดือน กลับมาเจอกับเจ้าหนุ่มคนนี้อีกครั้งที่นครหลวงของอาณาจักรต้าเว่ย

“หรือว่า เรื่องที่ตระกูลเสิ่นประสบจะมีความเกี่ยวข้องกับสำนักวงเดือน?”

ซูอี้คิดสักครู่ แล้วก็รู้สึกไม่อยากจะดื่มสุราอีก ฉับพลันเขาก็มาถึงบริเวณที่ใกล้กับกำแพงรั้วจวนตระกูลเสิ่น ยืนสงบนิ่ง

ทว่าจิตสัมผัสของเขากำลังกวาดมองเข้าไปในจวนตระกูลเสิ่นอย่างเงียบงัน

——

จวนตระกูลเสิ่น

“พี่ชาย ในจดหมายบอกมาว่า… พี่ถูกจับไม่ใช่หรือ?”

ฉาจิ่นเบิกตาโพลง ทำสีหน้ายากนักจะเชื่อ

นางไม่คาดคิดมาก่อนว่า บ่าวรับใช้จะพามาพบกับเสิ่นเหยียนสิง ผู้เป็นพี่ชายคนโตของตัวเอง

“น้องสาว อย่าเพิ่งถามตอนนี้ ข้าจะพาเจ้าไปพบกับท่านพ่อก่อน”

เสิ่นเหยียนสิงถอนใจยาว ๆ สีหน้าดูสับสน

เขามีรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้างดงามประดุจหยก มีหน้าตาคล้ายคลึงกับฉาจิ่น เป็นบุรุษหนุ่มรูปงามในอาณาจักรต้าเว่ย

ตอนนี้ดำรงตำแหน่งเป็น ‘เสนาปราบปรามลงอาญา’ ในวังของต้าเว่ย รับฟังพระราชโองการของจักรพรรดิเว่ยโดยตรง และยังเคยได้รับคำชมเชยจากจักรพรรดิเว่ยอีกด้วย

“พี่ชาย เรื่องนี้ที่แท้มันเป็นอย่างไรกันแน่? เหตุใดจึงต้องเขียนจดหมายโกหกข้าด้วย?”

เดิมทีฉาจิ่นรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของบิดากับพี่ชายเป็นอย่างมาก ทว่าเวลานี้กลับรู้สึกไม่ชอบมาพากลราวกับโดนหลอก

เสิ่นเหยียนสิงไม่ค่อยกล้าสบตาฉาจิ่น พลางกล่าว “พบกับท่านพ่อแล้วเจ้าก็จะเข้าใจ”

พูดพลางหมุนตัวเดินไปยังห้องโถงใหญ่ของจวนตระกูลเสิ่น

ฉาจิ่นรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก ทว่ายังคงเดินตามไป

ตลอดทางที่เดินนางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า ไม่ว่าจะพบกับญาติสนิทในตระกูลเสิ่น หรือบ่าวรับใช้ทหารองครักษ์ สายตาที่พวกเขามองดูตนเองนั้นล้วนส่อแววประหลาด

“ที่แท้… มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่? หรือว่าเรียกให้ข้ากลับมาครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะทางบ้านเกิดเรื่องเช่นนั้นหรือ?”

ฉาจิ่นเกิดความสงสัยมากมายขึ้นในใจ

เมื่อไปถึงห้องโถงใหญ่แล้ว ก็เห็นว่าในห้องโถงใหญ่อันโอ่อ่ากว้างขวางมีผู้ใหญ่ในตระกูลอยู่พร้อมหน้ากันแล้ว พวกเขาต่างก็นั่งบนเก้าอี้ที่ตั้งสองข้างของห้องโถง

คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้อาวุโสในตระกูลของนาง บ้างก็ทำหน้าที่เป็นผู้อาวุโส บ้างก็ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแล

ทว่าบนที่นั่งประธานซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง มีชายวัยกลางคนท่าทางน่าเกรงขามนั่งอยู่ หนวดเครายาวสยาย ระหว่างดวงตาทั้งสองราวกับมีประกายไฟเย็นวาบปรากฏ ช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก

เขาก็คือเสิ่นฉางคงผู้นำตระกูลเสิ่น หนึ่งในแปดจวิ้นอ๋องของต้าเว่ย ผู้แข็งแกร่งซึ่งย่างเข้าสู่ขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน และมีชื่อเสียงระบือไปทั่วแผ่นดินต้าเว่ย

เมื่อเห็นผู้ใหญ่ทั้งหลายของตระกูลมารวมตัวกันเช่นนี้ ฉาจิ่นจึงรู้สึกตื่นตระหนกใจเป็นอย่างมาก เมื่อมองเห็นเสิ่นฉางคงผู้เป็นบิดาแล้ว นางก็ไม่อาจยับยั้งความสงสัยภายในใจไว้ได้อีก แล้วถามด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก

“ท่านพ่อ ท่าน… ท่านไม่ได้เป็นไรเช่นนั้นหรือ?”

ในจดหมายที่นางได้รับ บอกว่าบิดาของนางถูกถอดจากตำแหน่ง ‘จวิ้นอ๋อง’ ล้มป่วยลุกไม่ขึ้น ทั้งตระกูลสับสนปั่นป่วน

และพี่ชายของนางเสิ่นเหยียนสิงถูกจับ…

ทว่าเวลานี้ นางรู้สึกสับสนงงงวยขึ้นมา ทุกสิ่งที่กล่าวมาในจดหมายดูเหมือนจะไม่ใช่ความจริง!

“ลูกรัก ในที่สุดเจ้าก็กลับมา”

เสิ่นฉางคงลุกขึ้น สายตามีแต่ความสับสน

ลักษณะเช่นนี้ไม่เหมือนกับอาการปลื้มปีติเวลาที่พ่อกับลูกได้พบหน้ากันหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนาน สีหน้าแววตาเช่นนั้นทำให้ฉาจิ่นรู้สึกว่าไม่ได้เจอกันนานหลายปี ดูเหมือนว่าบิดาห่างเหินและดูไม่คุ้นเคย

“อย่าหาว่าพ่อเขียนจดหมายโกหกเจ้าเลย ข้าทำไปเพราะความจำเป็น”

เสิ่นฉางคงถอนใจเบา ๆ จากนั้นกลับไปนั่งที่อีกครั้ง ก่อนจะกล่าว “ยังดี ที่เจ้ากลับมา ไม่เช่นนั้น ตระกูลเสิ่นของพวกเราคงจะต้องเจอกับภัยพิบัติร้ายแรงเป็นแน่”

“ภัยพิบัติร้ายแรง?”

ฉาจิ่นยิ่งฟังก็ยิ่งสับสน “ในดินแดนอาณาจักรต้าเว่ยแห่งนี้ มีผู้ใดจะกล้าข่มขู่ตระกูลเสิ่นของพวกเราเช่นนี้? ท่านพ่อ ที่แท้แล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่? เหตุใดจึงต้องทำให้ข้ารู้สึกสับสนด้วย?”

เสิ่นฉางคงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าว “ลูกรัก อย่าได้ถามอีกเลย ข้ากล่าวได้เพียงแค่ว่า ตอนนี้มีแต่เจ้าเท่านั้นจึงจะสามารถช่วยตระกูลเสิ่นของพวกเราได้”

พูดจบ ความขมขื่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา จากนั้นก็หันไปกล่าวกับผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “ผู้อาวุโสใหญ่เป็นคนเล่าก็แล้วกัน”

ผู้เฒ่าท่านนั้นใส่ชุดคลุมยาวเนื้อผ้าดี หนวดเครายาวน่าเกรงขาม ดวงตาประดุจพญาเหยี่ยว นามว่าเสิ่นซานจ้ง

ได้ฟังความ เขาจึงเบนสายตามองไปยังฉาจิ่น แล้วกล่าวเสียงเคร่งเครียด “แม่หนู ตระกูลเสิ่นของพวกเราในเวลานี้ กำลังเผชิญกับภัยพิบัติร้ายแรง ข้าขอถามเจ้าเพียงประโยคเดียว ในฐานะที่เจ้าเป็นคนในตระกูลเสิ่น หากว่าเจ้าสามารถช่วยชีวิตคนในตระกูลได้ เจ้าจะช่วยหรือไม่?”

ฉาจิ่นตอบแบบไม่ต้องคิด “ช่วย!”

เสิ่นซานจ้งแสดงสีหน้าปลาบปลื้มออกมา แล้วจึงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นข้าถามเจ้าอีกครั้ง หากว่าต้องพลีชีพของเจ้าคนเดียวเพื่อช่วยชีวิตของคนในตระกูล เจ้า… จะยินดีหรือไม่?”

เมื่อกล่าวเช่นนี้ออกมา ทุกสายตาก็หันไปมองที่ฉาจิ่นในทันใด มีแต่เพียงเสิ่นฉางคงกับเสิ่นเหยียนสิงเท่านั้นที่ไม่กล้ามองฉาจิ่น ราวกับรู้สึกละอายแก่ใจ

ฉาจิ่นนิ่งตะลึง ถามด้วยความสับสน “พลีชีพของข้า สามารถช่วยคนทั้งตระกูลได้เช่นนั้นหรือ?”

ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้าพลางกล่าว “ไม่ผิด! หากไม่ใช่เช่นนี้ พวกเราก็คงไม่เขียนจดหมายเรียกให้เจ้ากลับมา เพราะความอยู่รอดของคนทั้งตระกูล ล้วนอยู่ในการตัดสินใจของเจ้าเพียงคนเดียว”

ฉาจิ่นยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากล จิตใจมีความกังวล โดยสัญชาตญาณจึงเบนสายตามองไปที่บิดากับพี่ชาย ทว่าพวกเขาทั้งสองต่างก็เบือนหน้าหนีสายตาของนาง ไม่ยอมมองตอบ

เช่นนี้จึงทำให้นางรู้สึกสลดใจ มือเท้าเย็นไปหมด ที่แท้แล้วมันเรื่องอันใดกันแน่ กระทั่งบิดากับพี่ชายก็ยังยอมตัดใจพลีชีพของข้าเช่นนั้นหรือ?

เหตุใด… พวกเขาจึงได้เลือดเย็นและไร้หัวใจถึงเพียงนี้

สูดหายใจเข้าลึก ๆ ทีหนึ่ง ฉาจิ่นจึงเบนสายตามองไปยังเสิ่นซานจ้งอีกครั้ง พลางกล่าว “ผู้อาวุโสใหญ่ หากว่าข้าไม่รับปากเล่า?”

ฉับพลัน คนทั้งหมดในห้องโถงเกิดเสียงถกเถียงขึ้นมา

เสิ่นซานจ้งกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “แม่หนู เทียบกับชีวิตของคนทั้งตระกูลแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมสละชีวิตของตัวเอง? หรือว่าเจ้าจะทนมองดูบิดา พี่ชาย ญาติสนิท… รวมไปถึงคนอื่น ๆ ในตระกูลพบเจอกับภัยพิบัติรุนแรงได้เช่นนั้นหรือ?”

สีหน้าและแววตาของเขาเคร่งเครียด สายตาแหลมคม น่าหวาดกลัวยิ่งนัก

ฉาจิ่นรู้สึกแต่เพียงหายใจลำบาก ใบหน้างดงามขาวซีด นางไหนเลยจะคาดคิดว่า เดินทางระหกระเหินจากอาณาจักรต้าโจวกลับมา แต่เมื่อมาถึงบ้านอันคุ้นเคยของตัวเองแล้ว กลับต้องมาเจอกับเรื่องเช่นนี้?

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *