บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 267: โดดเดี่ยวในวันที่สี่เดือนสี่

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 267: โดดเดี่ยวในวันที่สี่เดือนสี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 267: โดดเดี่ยวในวันที่สี่เดือนสี่
ตอนที่ 267: โดดเดี่ยวในวันที่สี่เดือนสี่

ข้างบานหน้าต่างที่เปิดอ้า ชายในชุดคลุมหันกลับมาและเอ่ยว่า “ข้าเพิ่งได้ข่าวว่าซูอี้จะเดินทางไปนครหลวงอวี้จิงในวันที่สี่เดือนสี่”

หลังจากหยุดไปครู่ ชายในชุดคลุมก็เอ่ยต่อ “หากข้าคาดไม่ผิด ระหว่างทางเขาจะต้องเผชิญทั้งการสกัดกั้นและลอบสังหารมากมาย”

สตรีและชายชราผมสีเงินผู้ซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างนักหรี่ตาลงเล็กน้อย

สตรีผู้นั้นเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่หลี่ ข่าวนี้น่าเชื่อถือหรือไม่”

“ข่าวมาจากตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิง มันหาได้เป็นความลับใดไม่”

ผู้พูดคือหลี่ตงหลิว

ผู้อาวุโสสายในแห่งสำนักดาบมังกรเร้น บุคคลผู้ซึ่งเข้าสู่ขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์มาแล้วเป็นเวลายี่สิบปี!

หรือให้พูดอย่างเถรตรง หลี่ตงหลิวนับได้ว่าเป็นผู้บ่มเพาะอันแท้จริง ความแข็งแกร่งของเขานั้นนับได้ว่าผู้ใดเทียบเทียมได้ยากแม้จะอยู่ในขอบเขตเดียวกัน

สตรีผู้ที่อยู่ด้านข้างอุทานด้วยความประหลาดใจ “ตระกูลซูเผยแพร่ข่าวเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเขาวางแผนยืมมือผู้อื่นกำจัดซูอี้?”

เลี่ยวอวิ้นหลิว

นางคือผู้อาวุโสลำดับสองสายนอกแห่งสำนักดาบมังกรเร้น ฉายา ‘ดาบวินาศ’ บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ผู้ซึ่งเป็นเลิศในวิถีดาบ

เมื่อยี่สิบปีที่แล้วระหว่างที่นางยังอยู่ในปรมาจารย์ขั้นห้า นางเคยสามารถสังหารบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ได้!

“สิ่งนี้เป็นเรื่องไม่แปลกเลย หลังจากเหตุการณ์สังหารหมู่ที่จวนเจ้าแคว้น ความสัมพันธ์ของซูอี้และตระกูลซูนับได้ว่าขาดสะบั้นลงโดยสมบูรณ์ ตอนนี้คนทั้งโลกต่างกำลังรอดูว่าตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร”

ชายชราผู้นั่งอยู่เอ่ยขึ้นอย่างเฉยเมย “ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การเปิดเผยเวลาการเดินทางของซูอี้ไปยังนครหลวงอวี้จิงล่วงหน้านั้นไม่ต่างจากยืมมือผู้อื่นฆ่าคนแม้แต่น้อย”

หลีชาง

ผู้อาวุโสใหญ่สายนอกของสำนักดาบมังกรเร้น บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ขั้นสมบูรณ์แบบ ว่ากันว่าอีกเพียงก้าวเดียวเขาก็จะก้าวเข้าสู่วิถีต้นกำเนิด ความแข็งแกร่งของเขานั้นยากจะหยั่งถึง

“ตอนนี้เรามีทางเลือกแล้ว”

หลี่ตงหลิวพูดอย่างเฉยเมย “หากเราลงมือตอนนี้ ตราบใดที่เราสามารถสังหารซูอี้ได้ ‘โชค’ ของซูอี้จะเป็นของสำนักดาบมังกรเร้นเราแต่เพียงผู้เดียว”

“หรือเราจะรอให้เขาออกจากนครหลวงอวี้จิงในวันที่สี่เดือนสี่ และรอโอกาสที่จะลงมืออีกครั้ง”

“นี่คือตัวเลือกทั้งสองซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทว่าข้าชอบอย่างหลังมากกว่า”

“ท้ายที่สุด เรายังไม่รู้ว่าพลังต่อสู้ของซูอี้มากล้ำเพียงใด และไม่รู้ว่าเขามีไพ่ตายอันทรงพลังที่เราไม่รู้จักอยู่เท่าไร การลงมือจู่โจมโดยไม่รู้สิ่งใดเลยเช่นนี้นับว่าไม่ฉลาด”

หลังจากหยุดชั่วคราว หลี่ตงหลิวกล่าวต่อ “และในเมื่อเด็กผู้นี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็เดินทางไปที่นครหลวงอวี้จิงอยู่แล้ว ดังนั้นชะตากรรมของเขาย่อมถูกกำหนดให้ถูกสกัดกั้นและเผชิญการลอบสังหารมากมายตลอดทาง ด้วยวิธีนี้เราสามารถยืมมือผู้อื่นตรวจสอบเขาได้ และเมื่อใดที่ทุกอย่างเหมาะสม เมื่อนั้นเราค่อยลงมืออีกครั้งก็ยังไม่สายไป”

“ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของการทำเช่นนี้คือเด็กคนนี้มีแนวโน้มจะถูกผู้อื่นสังหาร และเราจะถูกขโมยโชคลาภไปเสียก่อน”

หลังจากนั้นหลี่ตงหลิวเหลือบมองหลีชางและเลี่ยวอวิ้นหลิวพูดว่า “พวกท่านคิดเห็นอย่างไร”

หลีชางยิ้มและเอ่ยตอบ “ข้าคิดเห็นเช่นเดียวกับผู้อาวุโสหลี่”

เลี่ยวอวิ้นหลิวลังเลอยู่ครู่หนึ่งและในที่สุดก็พยักหน้า

ซูอี้ไม่ใช่ปรมาจารย์ขั้นหนึ่งธรรมดา เขาเคยฆ่าบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ ดังนั้นถ้าหากบอกว่าซูอี้ไม่มีไพ่ตายในมือเลยคงไม่มีใครเชื่อ

ด้วยเหตุนี้เหล่าตัวตนยิ่งใหญ่ทั้งสามจากสำนักดาบมังกรเร้นจึงระมัดระวัง

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามนี้ ในวันที่สี่เดือนสี่ เราจะออกเดินทางติดตามซูอี้ไป!”

ดวงตาของหลี่ตงหลิวเป็นประกาย

“หลิงเสวี่ย ข้าจะไปนครหลวงอวี้จิงในวันที่สี่เดือนสี่ ช่วงเวลาระหว่างนั้นข้าอยากให้เจ้าอยู่แต่ในตำหนักเทียนหยวนอย่าได้ออกไปเที่ยวเล่นที่ใด”

ซูอี้นั่งอยู่ริมทะเลสาบในเรือนพำนักหินศิลา เขาเอ่ยเตือนเบา ๆ

ขณะที่พูด เขาหันมองไปที่ฉาจิ่น “เจ้าก็เช่นกัน”

เหวินหลิงเสวี่ยและฉาจิ่นทั้งคู่พยักหน้า

“ท่านอาซูอี้ แล้วข้าเล่า?”

เจิ้งมู่เหยาอดไม่ได้ที่จะถาม

ซูอี้กล่าวว่า “เจ้าเป็นศิษย์ของตำหนักเทียนหยวนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”

เจิ้งมู่เหยาสีหน้าแข็งค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะอย่างเก้อเขิน “เอ่อ… จริงด้วย~”

“นายท่าน ท่านจะไปเพียงคนเดียวเลยงั้นหรือ?” ฉาจิ่นถามเบา ๆ สีหน้าของนางบ่งบอกถึงความกังวล

ซูอี้กล่าวตอบ “มากคนมากความ”

ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับอันตรายร้ายแรง เขาก็ยังมีวิธีแก้ไข

ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้ที่เขาไปนครหลวงอวี้จิงไม่ใช่เพื่อท่องเที่ยว ดังนั้นการพาผู้อื่นไปด้วยมันย่อมจะกลายเป็นภาระให้กับตัวเอง

เมื่อใกล้ค่ำ หนิงซือฮวาก็กลับมาพร้อมกับนกอินทรียักษ์อีกครั้ง

“สหายเต๋า นี่เป็นของขวัญขอบคุณท่านจากหลานซัว โปรดรับมันด้วยเถิด”

หนิงซือฮวาหยิบกล่องหยกออกมาแล้วยื่นให้ซูอี้

ซูอี้กล่าวว่า “เมื่อระหว่างข้าช่วยนาง ข้าได้เอาเศษเสี้ยววิญญาณร้ายมาสร้างประโยชน์ให้กับตัวข้าแล้ว ซึ่งแค่นั้นนับว่าเพียงพอ เจ้าจงนำกล่องหยกนี้กลับคืนไปเถิดข้าไม่ต้องการ”

หนิงซือฮวาส่ายหัวและกล่าวว่า “หนี้ชีวิตก็คือหนี้ชีวิต บุญคุณช่วยชีวิตใหญ่หลวงไม่อาจมองข้าม หลานซัวต้องการขอบคุณท่านด้วยความจริงใจ หากท่านปฏิเสธ นางคงไม่อาจหลับได้ลงเป็นแน่แท้”

ซูอี้ไม่เคยต้องการอยากจะวุ่นวายกับปัญหาทางโลกเล็กน้อยเช่นนี้ ทว่าด้วยความแน่วแน่ของหนิงซือฮวา เขาจึงไม่พูดอะไรต่อและยอมรับกล่องหยกทันที

หนิงซือฮวายิ้มอย่างอ่อนหวาน ทว่าดวงตาของนางแฝงด้วยความนัย “ท่านไม่เปิดดูสักหน่อยหรือว่ามีสิ่งใดอยู่ข้างใน”

ซูอี้ประหลาดใจ มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับของในกล่องหยกนี้?

เขาเปิดกล่องหยกอย่างเฉยเมย แต่แล้วยามที่กล่องแง้มออก แสงรัศมีอันงดงามซึ่งเต็มไปด้วยสีสันเจิดจ้าออก จากนั้นเขาเห็นชัดเจนว่ารัศมีที่เจิดจ้านี้สำแดงออกมาจากเหล่าลูกปัดหยกที่อยู่ภายใน

ภายในกล่องคือลูกปัดหยกห้าเม็ดซึ่งถูกคล้องไว้ด้วยสายเอ็น ลูกปักหยกเหล่านี้มีห้าสีได้แก่ แดง เขียว เหลือง ขาว และดำ แต่ละเม็ดถูกโอบล้อมด้วยรัศมีทั้งห้าธาตุของไฟ ไม้ ดิน ทอง และน้ำตามลำดับ ซึ่งเชื่อมโยงหมุนเวียนด้วยหลักแห่งฟ้าดิน

“ลูกปัดหยกปัญจธาตุ?”

ซูอี้อดแปลกใจไม่ได้

ในเก้ามหาแดนดิน ‘ลูกปัดหยกปัญจธาตุ’ คือสมบัติที่เหล่าผู้บ่มเพาะวิถีวิญญาณมักจะสร้างขึ้นเพื่อมอบให้กับเหล่าศิษย์ของตนเองที่อยู่ในขอบเขตปรมาจารย์ใช้มันเพื่อปรับเสริมรากฐานเต๋าให้มั่นคง

แม้ว่าของสิ่งนี้จะไม่ใช่ของแปลกอันใด แต่ซูอี้ก็ไม่ได้คาดหวังว่าในโลกนี้ที่แห้งแล้ง เขาจะยังมีโอกาสเห็นสมบัตินี้ได้

ต้องรู้ว่าการสร้างลูกปัดหยกปัญจธาตุนั้นจำเป็นต้องรวบรวม ‘มวลพลังธาตุทั้งห้า’ จนเพียงพอ จากนั้นผู้บ่มเพาะวิถีวิญญาณจึงจะสามารถควบแน่นมวลพลังธาตุทั้งห้าและสร้างมันขึ้นมาได้

อันที่จริงยังไม่จำเป็นต้องพูดถึงการรวบรวม ‘มวลพลังธาตุทั้งห้า’ เอาแค่เพียงประเด็นเรื่องในทวีปคังชิงนี้ แม้แต่ผู้บ่มเพาะวิถีต้นกำเนิดที่ถูกเรียกว่าเทพเซียนเดินดินนั้นนับได้ว่าหายากมากแล้ว นับประสาอะไรกับการหาผู้บ่มเพาะขั้นวิถีวิญญาณสักคนมาสร้างมัน

ตามข่าวลือ มีเฉพาะใน ‘อาณาจักรต้าเซี่ย’ ผู้ปกครองทวีปคังชิงเท่านั้นที่มีข่าวลือเรื่องผู้บ่มเพาะวิถีวิญญาณ

หนิงซือฮวากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หลานซัวตั้งใจมอบลูกปัดหยกปัญจธาตุนี้ให้ท่านหลังจากนางได้รับรู้ระดับการบ่มเพาะของท่าน ตราบใดที่สหายเต๋าชอบ ข้าก็โล่งใจ”

ซูอี้เอ่ยถามอย่างครุ่นคิด “สหายของเจ้าได้สมบัตินี้มาจากที่ใดกัน?”

หนิงซือฮวาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “หลานซัวมาจากสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน หนึ่งในสามสำนักยุทธ์อันยิ่งใหญ่แห่งต้าฉิน และตัวตนของนางนั้นพิเศษสูงส่งยิ่ง สำหรับคนอื่น ๆ ลูกปัดหยกปัญจธาตุนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า แต่สำหรับนางมันไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นหากนางต้องการได้มาครอบครอง”

“กลายเป็นว่าสหายของเจ้าคือศิษย์สำนักใหญ่”

ซูอี้พยักหน้า

เขารู้ว่าในบรรดาสามอาณาจักรที่มีพรมแดนติดกับต้าโจว ต้าฉินเป็นอาณาจักรที่มีอำนาจมากที่สุด

ในแง่ของกองกำลังสำนักยุทธ์อันยิ่งใหญ่เพียงอย่างเดียว ในอาณาจักรฉินนั้นมีถึงสามสำนัก ซึ่งห่างไกลหากเทียบกับต้าโจวซึ่งมีสำนักดาบมังกรเร้นเพียงสำนักเดียว

หลานซัวนี้มาจากสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนแห่งต้าฉิน และแม้แต่หนิงซือฮวายังกล่าวว่าสถานะของนางนั้นพิเศษสูงส่งอย่างยิ่ง ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมไม่มีทางที่ผู้บ่มเพาะธรรมดาทั่วไปจะเทียบเทียมกับนางได้

หลังจากคุยกันไปสักพักหนิงซือฮวาก็ออกไป

แน่นอนว่าเหวินหลิงเสวี่ยก็ถูกพาตัวไปเช่นกัน

นับจากวันนี้เป็นต้นไป ชีวิตของซูอี้เข้าสู่สภาวะสุขสงบชั่วคราว

นอกเหนือจากการฝึกฝน ชายหนุ่มยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับการบ่มเพาะแก่ฉาจิ่น และนอกจากนี้ เขายังเปิดปัญญาให้ลูกพยัคฆ์ สอนวิธีการบ่มเพาะที่เรียกว่า ‘ผสานเรียงดารา’ ให้กับมัน

สองวันต่อมา

วันนี้คือวันที่สามสิบเดือนสาม หยวนอู่ทงผู้นำตระกูลหยวนได้นำหยวนลั่วซี หยวนลั่วอวี่ เฝิงเสี่ยวเฟิง เฝิงเสี่ยวหราน และคนอื่น ๆ รวมทั้งหวงอวิ๋นชง ผู้นำตระกูลหวงแห่งเมืองกว่างหลิงมาเยี่ยมเยียนด้วยตนเอง

ซูอี้จัดงานเลี้ยงและสนทนาระหว่างดื่มกับเขา

ในท้ายที่สุด เฝิงเสี่ยวเฟิงและเฝิงเสี่ยวเหรินก็ถูกซูอี้ส่งตัวต่อไปยังตำหนักเทียนหยวนเพื่อการบ่มเพาะในอนาคต และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้พี่น้องคู่นี้ถูกศัตรูของเขาจับตัวไปอีก

วันแรกของเดือนสี่

ซูอี้ฝึกฝนเช่นเดิม แต่ทว่าวันนี้เขากินสมุนไพรวิญญาณระดับสี่ถึงเจ็ดชนิดในคราวเดียว ซึ่งมันทำให้ระดับการบ่มเพาะของเขาอยู่ในขอบเขตปรมาจารย์ขั้นหนึ่งขั้นสมบูรณ์แบบ!

และในวันเดียวกันนี้ ซูอี้ก็ก้าวเข้าสู่ขั้นสองของขอบเขตปรมาจารย์ และเริ่มฝึกฝนตำแหน่งตับของเขา

ตับ ตำหนักแห่งธาตุไม้ ยิ่งฝึกฝนเส้นลมปราณก็ยิ่งแข็งแกร่งและบริสุทธิ์ หล่อเลี้ยงพลังทั้งร่างกายยิ่งไหลลื่น ขจัดปราณปนเปื้อนในร่างกาย ส่งเสริมตันเถียนและจิตวิญญาณ

เมื่อมาถึงสถานะนี้ ความแข็งแกร่งของซูอี้เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน

วันที่สองของเดือนสี่

ซูอี้ได้รับจดหมายจากโจวจือหลีองค์ชายหกแห่งต้าโจว

ในจดหมาย โจวจือหลีบอกซูอี้ด้วยความกังวลว่าตอนนี้ทั้งต้าโจวรู้ว่าซูอี้จะเดินทางไปนครหลวงอวี้จิงในวันที่สี่ของเดือนสี่

เหล่าตัวตนที่โหดเหี้ยมและแข็งแกร่งในกองกำลังใหญ่น้อยจำนวนมากพร้อมที่จะเคลื่อนไหวแล้วเพื่อหยุดซูอี้ และฉวยโอกาสหาผลประโยชน์จากความลับที่เขาอาจมี

ในหมู่ตัวตนยิ่งใหญ่ที่ร่วมด้วย มีกระทั่งเหล่าปีศาจเฒ่าที่หายหน้าไปจากโลกมานานนม

ในตอนท้ายของจดหมาย โจวจือหลีบอกซูอี้ให้ระวัง ถ้าเป็นไปได้ เขาหวังว่าซูอี้ควรเปลี่ยนตารางเวลาเดินทาง

หลังจากอ่านจดหมายแล้วซูอี้ยิ้มเย้ย

วันที่สามของเดือนสี่

ซูอี้ส่งฉาจิ่นไปที่ตำหนักเทียนหยวน และทำข้อตกลงกับหนิงซือฮวา ว่าจะไปพบกับนางในเมืองจินหลิวซึ่งอยู่ห่างจาก ‘หุบเขาปีศาจวัดวิปัสสนา’ ราวสิบลี้หลังจากนี้

แน่นอนว่าหนิงซือฮวาจะแจ้งมู่ซีให้ไปที่หุบเขาปีศาจวัดวิปัสสนาด้วยเช่นกัน

วันที่สี่ของเดือนสี่

ในตอนเช้าฝนตกเบา ๆ จากท้องฟ้า

เหมือนเช่นเคย ซูอี้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยหลังจากฝึกฝนและอาบน้ำเสร็จ เขาถือร่มกระดาษน้ำมัน เดินออกจากเรือนพำนักหินศิลาเพียงลำพัง

ก่อนจะออกจากเมือง เขาแวะทานอาหารเช้าที่ภัตตาคารเตามัจฉาอชะในเมือง แล้วจึงเดินออกไปนอกประตูเมือง

เช่นเดียวกับตอนที่ออกจากมหานครอวิ๋นเหอ สำหรับซูอี้ เขาเลือกที่จะเดินทางด้วยการเดินเท้าท่องไปตามภูเขา แม่น้ำ ชมทิวทัศน์ตลอดทางซึมซาบในเต๋าแห่งฟ้าดิน

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *