บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 405: นักพรตไฉ

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 405: นักพรตไฉ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 405: นักพรตไฉ

ตอนที่ 405: นักพรตไฉ

ภูเขาฝูเซียน

ค่ำคืนนี้มืดมิดยิ่ง

ในโถงของวัดเทพเจ้าเขาที่ถูกสร้างขึ้นบริเวณเนินสูง มีรูปปั้นของเทพเจ้าที่มีดวงตาเปี่ยมเมตตาและถือขวดหยกไว้ในมือ

บนโต๊ะหน้ารูปปั้นมีธูปและเทียนถูกจุดอยู่ ทำให้แสงที่ริบหรี่สะท้อนกับรูปปั้น ก่อเกิดเงา

ชายชราหลังค่อมที่มีผมบางแต่งกายด้วยชุดคลุมเต๋านั่งสมาธิอยู่บนเบาะรองหน้าโต๊ะ

เห็นได้ชัดว่าเขาสวมชุดผู้ฝึกตนสายเต๋า แต่เขากลับถือสายประคำสีดำนั่งคุกเข่าเหมือนหลวงจีนจากสำนักสายพุทธ

ถ้าเฉาผิงอยู่ที่นี่ เขาจะรู้ทันทีว่าชายชราในชุดคลุมนั้นคือนักพรตไฉ หลวงจีนของวัดเทพเจ้าเขาแห่งนี้

ข้างนอกวัดเทพเจ้าเขา มีสวนที่ปลูกไปด้วยต้นสน ซึ่งยอดไม้เขียวชอุ่มขณะนี้กำลังส่งเสียงกรอบแกรบในยามราตรีออกมา

ทันใดนั้น เงาก็เข้ามาที่ลานวัด ขณะที่กิ่งต้นสนซึ่งไหวเอนก็พลันหยุดลง

เงานั้นเป็นเด็กหนุ่มที่อาบเลือดที่มีผิวซีดโปร่งใสและดวงตาสีแดงเลือด หมอกวิญญาณน่าขนลุกปกคลุมทั่วร่างเขาไว้ โดยมีกะโหลกขนาดเท่ากำปั้นห้อยอยู่ที่คอ เขาเดินออกมาจากความมืดอย่างเงียบงัน

เด็กชายที่สวมชุดอาบโลหิตหยุดอยู่นอกโถง ก่อนคุกเข่าลงแล้วกล่าวด้วยความเคารพว่า

“บรมจารย์ เราจับหญิงพรหมจรรย์สามสิบห้าคนจากหญิงพรหมจรรย์สามสิบหกคนมาตามคำสั่งของท่านแล้ว เหลือหญิงพรหมจรรย์อีกเพียงคนเดียว ท่านก็จะสามารถเปิดใช้ ‘ค่ายกลแปรวิญญาณยมโลก’ เพื่อมอบเครื่องสังเวยแด่ท่านเทพแห่งความกรุณาผู้ยิ่งใหญ่ได้ในคืนนี้”

ภายในวัด นักพรตไฉซึ่งนั่งคุกเข่าเอ่ยเสียงแหบต่ำ “ใครคือหญิงพรหมจรรย์ผู้น่าสงสารที่เหลือ?”

เด็กชายที่สวมชุดอาบโลหิตหวาดกลัวจนตัวสั่น เขาตอบอย่างรวดเร็ว “ควรเป็นเด็กผู้หญิงที่ชื่อเฉาอันจากหมู่บ้านเฉาซีที่เชิงเขา ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ส่ง ‘สุ่ยหมิง’ ไปยังหมู่บ้านเฉาซี ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานก็…”

ไม่ทันจบคำ—

แคร็ก!

เสียงที่แผ่วเบาดังขึ้นพร้อมกับลูกประคำหนึ่งลูกที่อยู่ในมือของนักพรตฉายแตกเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนกลายเป็นผงสีเทาขาว

นัยน์ตาที่ขุ่นมัวของนักพรตไฉพลันมืดมนและคมกล้า มีประกายเย็นชาและดุดันราวกับกระหายเลือดพลุ่งพล่านอยู่

“สุ่ยหมิงตายแล้ว”

นักพรตไฉพลันมองไปยังเด็กชายที่สวมชุดอาบโลหิตซึ่งคุกเข่าอยู่นอกห้องโถงและพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ในบรรดาผีรับใช้สิบสองตนของนายท่านผู้นี้ สุ่ยหมิงเป็นคนที่มีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ขอบเขตเปิดทวารมากที่สุด นับเป็นต้นกล้าที่ดีของผู้ฝึกฝนผี แต่ตอนนี้… นางตายแล้ว…”

เด็กชายในชุดอาบโลหิตสั่นสะท้านไปทั้งตัวแล้วกล่าวว่า “บรมาจารย์โปรดใจเย็นก่อน ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้จะไปที่หมู่บ้านเฉาซี…”

นักพรตไฉเอ่ยขัด “ไม่จำเป็น ขาดเครื่องสังเวยไปหนึ่งไม่นับเป็นอะไร ถ้าพลาดช่วงที่ปราณหยินหนาแน่นที่สุดของปีไป การเตรียมการทั้งหมดของนายท่านผู้นี้จะสูญเปล่า”

หลังจากหยุดชั่วครู่ เขาก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า “เจ้าไปเตรียมเครื่องสังเวยเถิด หลังจากผ่านไปสองเค่อ ข้าจะเปิดใช้ ‘ค่ายกลแปรวิญญาณยมโลก’ ด้วยตัวเอง”

“ขอรับ!”

ภายในวัดเทพเจ้าเขา นักพรตไฉลุกขึ้นจากเบาะก่อนหันไปมองรูปปั้นเทพเจ้าที่ถือขวดหยก โดยมีรอยเย้ยหยันอยู่ที่ริมฝีปากของเขา

“พวกสามัญชนบูชาเทพเจ้าแห่งขุนเขาอย่างเจ้าด้วยธูปทั้งวันทั้งคืน แต่ในสายตาข้า เจ้าเป็นเพียงรูปปั้นดินเผา สามัญชนเหล่านั้นคิดว่าการเผาธูปเทียนบูชาแล้วจะได้รับพร ช่างน่าสมเพชและไร้สาระเสียจริง ๆ”

นักพรตไฉสั่นศีรษะของเขา

ค่ำคืนนั้นมืดมิดยิ่ง

ด้านนอกลานของวัดเทพเจ้าเขาไปไม่ไกล ร่างของซูอี้และหยวนเหิงก็ได้มาถึง

“นายท่าน ที่นี่มีปราณหยินโหมกระหน่ำ หมอกวิญญาณก็เต็มไปหมด นี่วัดเทพเจ้าเขาที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นแหล่งที่มั่นของผีร้าย”

หยวนเหิงกล่าวด้วยเสียงต่ำ

“นี่เป็นวัดเทพเจ้าเขาจริง ๆ แต่มันเพียงถูกยึดไปโดยผู้ฝึกเต๋าเฒ่าตนหนึ่ง”

ซูอี้กล่าว ขณะที่ดวงตาของเขามองไปยังประตูทั้งสองด้านของลานวัด

แม้ว่าจะเป็นคืนที่มืดมิดที่ไม่มีดาวและดวงจันทร์ แต่ภายใต้จิตสัมผัสของซูอี้ เขายังคงมองเห็นกลอนคู่ที่ปิดอยู่ทั้งสองด้านของขื่อประตูได้อย่างชัดเจน

โคลงกลอนนี้ได้รับความเสียหายและจางลงจนอ่านได้แค่ราง ๆ ว่า

‘วัฏจักรกรรมดีชั่วคงอยู่ เช้าค่ำย่อมได้รับผลสนอง’

‘ชื่อเสียงอำนาจแม้นเรื่องลือไกล ไซร้เพียงฉากขันมีขึ้นมีลง’

ซูอี้ส่ายหัวเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านี้ไม่ได้ถูกทิ้งไว้โดยฝีมือของผู้ฝึกตน

สำหรับมนุษย์ทั่วไป หลักการ ‘ผลกรรมของความดีและความชั่ว’ ที่อธิบายในโคลงบทนี้ย่อมมีบทบาทในการบรรเทาจิตใจและชี้นำผู้คนไปสู่ความดีได้อย่างแท้จริง

แต่ในสายตาของผู้ฝึกตน น้อยคนนักที่จะเชื่อในผลกรรมของ ‘ความดีและความชั่ว’

ทว่า ซูอี้มั่นใจว่ามีพลังแห่งเหตุและผลอยู่ซ่อนอยู่ในวิถีสวรรค์นี้ แต่มันก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับ ‘ผลกรรมของความดีและความชั่ว’ เลย

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูอี้ไขว้มือไว้ข้างหลัง ราวกับว่าเขากำลังเดินเล่นยามค่ำคืน ก่อนเดินเข้าไปในวัดเทพเจ้าเขาอย่างสบาย ๆ

หยวนเหิงติดตามไป

หวิ้ว!

ที่ลานวัด กิ่งต้นสนสูงได้เสียดสีกันอย่างรุนแรง ท่ามกลางกิ่งก้านหนาทึบที่ปกคลุมท้องฟ้าพลันมีเสียงกระซิบที่น่าขนลุกดังขึ้น

“เฮ้! กลางดึกป่านนี้ยังมีคนเป็น ๆ มาอยู่อีกเหรอ?”

“นี่มันเทศกาลผี เขาอาจมาถวายธูปด้วยล่ะมั้ง? ฮ่า ๆๆ น่าสนใจ น่าสนใจนัก”

“นี่ น้องชายตัวน้อย ดูเนื้อหนังอันอ่อนนุ่มของเจ้าแล้ว อยากมาเล่นสนุกกับพี่สาวหรือไม่?”

ทันใดนั้นร่างที่งดงามก็พุ่งลงมาจากหลังคาตรงมาหาซูอี้

นางดูอายุราวยี่สิบแปดปี มีผิวขาวและเลอโฉม แต่งกายเหมือนคุณหนูร่ำรวย มือถือพัดใบบัวไว้ ดวงตาที่งดงามของนางจ้องมองไปที่ซูอี้อย่างกล้าหาญและร้อนแรง อีกทั้งยังจงใจบีบเค้นอกคู่ที่ตั้งตระหง่านของตนอีกด้วย

หยวนเหิงตะโกนโดยไม่ต้องรอให้ซูอี้พูด “บังอาจนักเจ้าปีศาจ ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นตัวอะไร แต่เจ้ากล้ามาทำตัวไร้ยางอายต่อหน้าเจ้านายของข้าเช่นนี้ ช่างไม่รู้จักที่ตายเสียแล้ว!”

ตูม!

พูดจบ หยวนเหิงก็ฟาดฝ่ามือดุจเทพเซียนออกไป

ผีสาวตกตะลึง และก่อนที่นางจะทันได้หลบ นางก็ได้ถูกพลังฝ่ามือบดขยี้เป็นชิ้น ๆ ก่อนที่ร่างของนางจะระเบิดกลายเป็นควันสีน้ำเงินพวยพุ่งหายไป

ทั่วบริเวณเงียบงัน เช่นเดียวกับเสียงกรอบแกรบจากต้นสนซึ่งเงียบไปไม่ได้ยินอีกแล้ว

ซูอี้เหลือบมองหยวนเหิง ก่อนกล่าวว่า “ในอนาคตจงถ่อมตัวให้มากขึ้น ถ้าตัวการแท้จริงหวาดกลัวจนหลบหนีไปก่อนจะทำอย่างไร?”

หยวนเหิงพลันแสดงสีหน้าหวั่นเกรง ก่อนรีบตอบ “นายท่านโปรดอย่ากังวลไป ในอนาคตหยวนเหิงจะไม่ประมาทอีก”

ซูอี้พยักหน้า “ผีร้ายในลานนี้มอบให้เจ้าแล้ว”

พูดจบก็มุ่งหน้าไปยังวัดเทพเจ้าเขา

ก่อนจะเข้ามา จิตสัมผัสของเขาตรวจจับได้ถึงกลิ่นอายของผู้ฝึกตนผีในวัดแห่งนี้

“คาดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบกับสหายเต๋าผู้หนึ่งในภูเขาที่ห่างไกลเช่นนี้ ช่างหายากจริง ๆ”

ภายในวัด นักพรตไฉถือสายประคำไว้ในมือพลางมองไปที่ซูอี้ผู้กำลังเดินเข้ามาทีละก้าว แม้ว่าจะมีความประหลาดใจระหว่างคิ้วของเขา แต่ไร้ซึ่งความหวาดกลัว

ซูอี้เหลือบมองนักพรตไฉขึ้นลงแล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “หยกรวบรวมหยินเป็นฝีมือของเจ้ารึ?”

ท่าทีของเขาทำให้นักพรตไฉขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวทันทีว่า “ดูเหมือนว่าจะมีการเข้าใจผิดเกิดขึ้น หากมีการล่วงเกินใด ๆ ชายชราต้องขออภัยสหายเต๋าก่อน และข้าหวังว่าสหายเต๋าจะสามารถละเว้น เพราะการฆ่าฟันหาได้ส่งผลดีกับผู้ใดเลย”

พูดจบก็โค้งตัวเล็กน้อย พลางประสานหมัดคำนับเขาด้วยท่าทางอ่อนน้อมยิ่ง

ซูอี้อดหัวเราะไม่ได้และพูดว่า “เจ้าเป็นตัวอะไร? คู่ควรพูดคำว่า ‘สหายเต๋า’ กับข้าซูผู้นี้ด้วยรึ?”

สีหน้านักพรตไฉหม่นหมอง เขาค่อย ๆ เหยียดร่างขึ้น เผยท่าทีเย็นชาและคุกคาม รัศมีอันน่าสะพรึงกลัวกระจายออกมาจากร่างกาย

ดวงตาที่ขุ่นมัวของนักพรตไฉเกิดประกายกระหายเลือด ขณะจ้องมองไปที่ซูอี้ที่หน้าประตูวัดเทพเจ้าเขา และพูดอย่างเย็นชาว่า

“ผู้คนเคารพข้าฉื่อหนึ่ง ข้าเคารพผู้อื่นหนึ่งจั้ง สหายเต๋า เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่ไว้หน้าชายชรา แล้วเปลี่ยนความเข้าใจผิดในวันนี้เป็นหยกและแพรไหมแทน?”

ซูอี้หัวเราะและกล่าวว่า “ใบหน้าของเจ้ามีค่าเพียงกระดาษเงินสองสามแผ่น เจ้าต้องการให้ข้าเผาไปให้ในภายหลังหรือไม่?”

“ฮ่า”

นักพรตไฉหัวเราะออกมาเช่นกัน เขาโบกแขนเสื้อ ก่อนแสงสีเลือดจะพลันพุ่งออกมา

ตูม!

ข้างหลังเขา รูปปั้นได้ถล่มลงอย่างกะทันหัน และเกือบจะในเวลาเดียวกัน มีดกระดูกที่มีรัศมีสีเทาก็พุ่งออกมาจากด้านในของรูปปั้น

ฟิ้ว!

นักพรตไฉเอื้อมมือออกไปคว้ามัน ซึ่งมีดกระดูกก็ตกลงมาในมือของเขา

มีดกระดูกยาวเพียงสองฉื่อ มีสีขาวและโปร่งบางดุจปีกของจักจั่น เมื่อกุมไว้ในมือแล้ว นักพรตฉายก็ยกมือขึ้นฟันออกไป

ปราณมีดสีเทาสายหนึ่งพุ่งออกมาราวกับสายฟ้าของปีศาจ พลังเช่นนั้นเมื่อเทียบกับตัวตนขอบเขตไร้เบญจธัญในหมู่ผู้ฝึกตนมนุษย์แล้วนับว่ารุนแรงกว่ามาก

แต่ในสายตาของซูอี้เวลานี้ กลอุบายดังกล่าวนับเป็นขยะโดยสมบูรณ์

ตูม!

ซูอี้เคาะนิ้วหนึ่งที ปราณมีดก็แตกออกทีละส่วน

ภายในวัด ม่านตาของนักพรตไฉหดตัวลง

ซูอี้ถามว่า “บอกข้ามา เหตุใดเจ้าถึงใช้หยกรวบรวมหยินเพื่อทำร้ายผู้คน ดูเหมือนเจ้าจะเป็นผู้ฝึกผีที่เริ่มก้าวเข้าสู่ขอบเขตเปิดทวารแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องทำเรื่องชั่วร้ายและต่ำทรามเช่นนี้อีก?”

นักพรตไฉแค่นเสียงโดยไม่ยอมตอบ ร่างของเขาสั่นไหวในทันใด

ตูม!

หมอกวิญญาณลอยเต็มอากาศ เปลี่ยนร่างให้สูงใหญ่กว่าสามจั้ง ทะลุคานของวัดเป็นรูโหว่ กระเบื้องหลังคากับเศษหินหล่นกระจัดกระจาย

ในชั่วพริบตา ร่างค่อมที่ผอมแห้งของนักพรตไฉก็ใหญ่โตขึ้นราวกับภูเขา กล้ามเนื้อเหยียดตึงราวกับหิน ดวงตาของเขาเป็นสีแดงฉาน ขณะที่ปล่อยกลิ่นอายผีร้ายพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

ฟึบ!

ด้วยพลังของนักพรตไฉ มีดกระดูกยาวสองฉื่อในมือของเขาพลันระเบิดแสงมีดสีเทาออกมา

จากนั้นก็กระแทกฝ่าเท้ากับพื้นและใช้มีดพุ่งฟันไปทางซูอี้

ตูม!

ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเงาสีเลือด มันปรากฏขึ้นพร้อมกับปราณมีดสีเทาดุจน้ำตก และเมื่อรวมกัน มันก็ได้ก่อเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวราวกับนรกไร้ขอบเขต

ด้วยมีดเล่มนี้ พลังจะแข็งแกร่งมากกว่าเดิมเป็นสองเท่า!

หากเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตไร้เบญจธัญคนอื่น พวกเขาย่อมจะไม่กล้ายืนหยัดต่อสู้กับนักพรตผู้นี้

ทว่าดวงตาของซูอี้กลับแสดงเพียงความเหยียดหยันออกมา!

“ไม่เจียมตัว!”

แขนเสื้อของเขาพองขึ้น ยกฝ่ามือขึ้นข้างหนึ่งกำเป็นหมัดแน่น แล้วทุบลงในความว่างเปล่า

อาจราวกับพูดเกินจริง หากแต่ยามหมัดสีเขียวปล่อยออกไปยังท้องฟ้า มันเสมือนภูเขาศักดิ์สิทธิ์โบราณกดทับลงมา!

ตูม!

เงาสีเลือดและปราณมีดที่เหมือนกับนรกไร้ขอบเขต ทั้งหมดล้วนถูกหมัดนี้ชกปลิวกระจายออกไปราวกับน้ำตก

ตูม!

หมัดยังคงไม่จางหายไป พุ่งตรงเข้าบดขยี้นักพรตไฉ ร่างสูงสามจั้งของเขาส่งเสียงลั่นของกระดูกที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับลูกบอลที่ถูกเจาะลม ก่อนเงาหมัดนี้จะกระแทกต่อลงไปยังพื้น

ทั่วร่างกายแตกสลาย ผิวหนังฉีกขาด เศษเนื้อและเลือดสาดกระจายปลิวว่อน

จากนั้นฉับพลัน ภายใต้ผลกระทบของการต่อสู้ดังกล่าว ทั้งวัดก็พังทลายลงและกลายเป็นซากปรักหักพังไป

ด้วยการชกเพียงครั้งเดียว เขาได้ปราบผู้ฝึกผีขอบเขตไร้เบญจธัญอันทรงพลังตนนี้ลง!

ที่ลานวัด หยวนเหิงซึ่งวางแผนจะลงมือ เมื่อเห็นฉากนี้ก็ตะลึงไป

ผีร้ายที่ซ่อนอยู่ในเงากิ่งของต้นสนต่างหวาดกลัวจนตัวสั่น ก่อนจะพากันเงียบจนดูราวกับป่าช้า

หมัดนี้ดูราวกับเป็นของเทพเซียนบนสรวงสวรรค์ ด้วยความน่าสะพรึงของมันนั้นไร้ขอบเขต!!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *