บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 121 : มังกรมีเกล็ด ทุกคนล้วนมีขอบเขตที่ไม่อาจแตะต้องได้

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 121 : มังกรมีเกล็ด ทุกคนล้วนมีขอบเขตที่ไม่อาจแตะต้องได้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“รายงานต่อท่านผู้ว่า ท่านลุงโจวต้องการพาศิษย์น้องหนานอิ่งกลับไปยังสำนักโดยเร็วที่สุด โดยขอให้ข้ารับฟังคำถามของท่านแต่เพียงลำพังก่อน”

เมื่อเดินเข้ามายังห้องทำงานของฉินเหวินเยวียน หนีเฮ่าจึงกล่าวทักทายด้วยความเคารพและรู้สึกประหม่า

นี่คือตัวตนผู้มีอำนาจมหาศาลในมหานครอวิ๋นเหอ ทั้งยังเป็นยอดยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ราวกับมังกรเหินเวหา!

ฉินเหวินเยวียนพยักหน้ารับ ถ้อยคำกล่าวออก “อย่าได้กังวล เพียงบอกข้าว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในค่ำคืนนี้อย่างละเอียด จำไว้ว่าอย่าคิดปิดบังสิ่งใด”

“ขอรับ”

หนีเฮ่าตั้งสติและบอกกล่าวเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนี้

ตั้งแต่ต้นจนจบ ท่าทีของฉินเหวินเยวียนยังคงสงบนิ่ง

แต่เมื่อได้รับฟังว่า โจวฮวายชิวพ่ายแพ้แก่ดาบเดียวของซูอี้ ท่าทีของผู้ว่ายังคงดูสงบ ทว่านิ้วของเขากลับสั่นไหว

“เขาแข็งแกร่งมากเพียงนั้น แล้วเหตุใดจึงไม่ฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด?”

หลังจากรับฟังเรื่องราวทั้งหมด ฉินเหวินเยวียนก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น

สีหน้าหนีเฮ่าหม่นหมอง ถ้อยคำขมขื่นกล่าวออก “เขาบอกว่าตนเองไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์โดยไม่เลือกหน้า แต่ในความเห็นข้า เขาคงทำเช่นนั้นเพื่อเป็นการเหยียดหยาม”

“เหยียดหยาม?” ฉินเหวินเยวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ใช่ ข้ารู้สึกได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวข้าหรือท่านลุงโจว ในสายตาของเขา เราไม่มีค่าพอให้ใส่ใจ…”

หนีเฮ่าถอนหายใจ

ฉินเหวินเยวียนเงียบไปนาน ก่อนโบกมือกล่าวออก “เจ้ากลับไปได้”

หนีเฮ่าบอกลา ท่าทีดูโล่งอก

“นายท่าน เรื่องราวนี้ดูผิดแปลกมากมาย!”

ชายชราชุดดำกล่าวถ้อยด้วยความประหลาดใจ “หนึ่งปีก่อน เขาสูญเสียการบ่มเพาะและกลายเป็นเขยแต่งเข้าบ้าน อีกหนึ่งปีต่อมา เขากลับสามารถเอาชนะโจวฮวายชิวด้วยดาบเดียว นี่มันแปลกเกินไป! อีกทั้งระดับการบ่มเพาะของโจวฮวายชิวนั้นเรียกได้ว่าเป็นผู้บ่มเพาะอันดับต้น ๆ ในหมู่ผู้ที่อยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณด้วยกัน!”

หลังจากหยุดครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวเสริม “นอกจากนี้ ท่าทีของนายหญิงชุ่ยอวิ๋นก็ดูผิดวิสัยมาก คล้ายกับนางไม่กล้ายั่วยุซูอี้ผู้นี้ แต่จากข้อมูลที่ได้ทำการสอบถาม ซูอี้ไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่โต มิเช่นนั้นเขาคงไม่มีวันลงเอยเป็นเขยตระกูลเหวิน”

ฉินเหวินเยวียนยังคงนั่งเงียบ

เขาจะไม่แลเห็นสิ่งแปลกประหลาดเหล่านี้ได้อย่างไร?

“นายท่าน ตามความเห็นของผู้น้อยเฒ่าชรา เราควรอดทนสักระยะก่อน คอยสืบหาเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนี้ต่อไป”

ชายชราชุดดำลังเลครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวแนะนำ “ยังไม่สายเกินไปที่จะตัดสินใจ… เมื่อทุกอย่างกระจ่างชัดเจน”

“ข้าเกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้น เขาคงเดินทางออกจากมหานครอวิ๋นเหอไปแล้ว”

ฉินเหวินเยวียนขมวดคิ้วมุ่น ท่าทีเผยความไม่แน่ใจชั่วขณะ ไร้ความสงบนิ่งดั่งก่อนหน้า

เห็นได้ชัดว่าหัวใจเขายุ่งเหยิงเพียงใด

ไม่นาน ฉินเหวินเยวียนก็กล่าวขึ้น “ในเรื่องนี้ บางทีเราอาจยืมพลังของผู้อื่นทดสอบความสามารถของเขาได้”

ดวงตาฉายประกายแวววับอย่างน่าประหลาด “หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ สำนักดาบชิงเหอคงไม่ปล่อยไปแน่ อีกทั้งเหล่าตระกูลเบื้องหลังศิษย์ทั้งเจ็ดของสำนักดาบชิงเหอก็ไม่มีทางนิ่งเฉย และนี่คือโอกาสดีของเรา!”

ดวงตาชายชราชุดดำเปล่งประกาย “นายท่านกำลังวางแผนยืมดาบฆ่าคน*[1]หรือขอรับ?”

ฉินเหวินเยวียนพยักหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ปรมาจารย์แห่งสำนักดาบชิงเหอ ‘มู่ชางถู’ เขาเป็นยอดยุทธ์ผู้มีชื่อเสียงมาหลายปี การบ่มเพาะเองก็ไม่ด้อยไปกว่าข้า ทั้งยังมีพลังลึกล้ำแข็งแกร่ง หลังทราบเรื่องราวนี้ เขาจะนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร?”

กล่าวถึงเรื่องนี้ เขามีท่าทีผ่อนคลาย ดวงตาเปล่งประกาย “ด้วยวิธีนี้ บางทีเราไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวใดเลย ด้วยการไล่ล่าจากปรมาจารย์วิถียุทธ์ เจ้าซูอี้ไม่มีทางหนีพ้น!”

ชายชราชุดดำหัวเราะกล่าวเห็นด้วย “เรื่องนี้ช่างดียิ่ง”

ในเวลานั้นเอง

“นายท่าน ข้ามีเรื่องด่วนขอเข้าพบ!”

เสียงหนึ่งดังจากด้านนอกห้องศึกษา

“เข้ามา”

ฉินเหวินเยวียนกล่าวออก แลเห็นทหารองครักษ์ผู้สง่างามเดินเข้ามา ก่อนคุกเข่าลงข้างหนึ่ง มือประสานกันพลางกล่าวออก “นายท่าน มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับกลุ่มขวานโลหิต!”

ฉินเหวินเยวียนที่รับฟังพลันตกใจ

ชายชราชุดดำด้านข้างสีหน้าแปรเปลี่ยน รีบกล่าวอธิบายทันใด “นายท่าน คืนที่ท่านสั่งให้ข้าน้อยหาผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเราเพื่อตรวจสอบสองพี่น้องแซ่เฝิง ข้าน้อยได้ไปติดต่อผู้นำกลุ่มขวานโลหิต ‘ต่งซานเตา’ จึงได้ฝากเรื่องนี้ไว้กับเขา…”

หลังพูดจบประโยคนี้ เหงื่อเย็นไหลเริ่มออกจากหน้าผาก

ฉินเหวินเยวียนขมวดคิ้ว เอ่ยถามทหารองครักษ์ “บอกรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้มา”

“เมื่อไม่นานนี้ ต่งซานเตาพาคนไปยังตรอกน้ำเต้า แต่ภายในไม่ถึงหนึ่งในสี่ชั่วยามหลังจากเข้าไปในลานบ้านที่สองพี่น้องแซ่เฝิงอาศัยอยู่ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในทันใด ทั่วทั้งลานถูกฟ้าผ่าสะเทือนเลือนลั่น เปลวเพลิงลุกโหมน่าพรั่นพรึง…”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของทหารองครักษ์เผยความสยดสยอง “ฉากนั้นคล้ายกับมนต์คาถาของเทพเซียน แม้จะปรากฏเพียงครู่เดียว แต่หลังจากภัยพิบัติจบลง ต่งซานเตาและคนอื่นก็ไม่ออกมาจากที่นั่นอีกเลย ข้าสงสัยว่าพวกเขาคงได้รับความทุกข์ทรมานอย่างถึงที่สุด”

หลังจากรับฟังเรื่องราว ชายชราชุดดำก็อ้าปากค้าง ปรากฏลางสังหรณ์ที่ไม่ดี

ใบหน้าฉินเหวินเยวียนหม่นหมอง

ไม่ว่าจะใจเย็นมากเพียงใด แต่ในเวลานี้เขาโกรธเคืองอย่างยิ่งจนฟันขบกันแน่น “บัดซบ! ทำไม่สำเร็จไม่พอ ยังล้มเหลวไม่เป็นท่า!”

ตุบ!

ชายชราชุดดำรีบคุกเข่าลงพื้น น้ำเสียงสั่นเครือกล่าวออก “เป็นเพราะข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ จึงได้ฝากฝังกับเจ้าต่งซานเตาที่โง่เขลา!”

ใบหน้าฉินเหวินเยวียนมืดหม่น ดวงตาแข็งกร้าวน่าเกรงขาม “ข้าคำนวณทุกอย่างไว้แล้ว แต่ไม่ได้คำนวณถึงเจ้าพวกสารเลวเหล่านั้น! หลังจากเหตุการณ์นี้ ตราบใดที่ซูอี้ไม่ใช่คนเขลา เขาต้องสงสัยว่าเป็นข้าที่ลงมือ นี่แทบไม่ต่างจากการตีหญ้าให้งูตื่นหรอกหรือ?”

ชายชราชุดดำตกใจจนเหงื่อไหลโซมกาย ก่อนกล่าวว่า “นายท่าน ในสายตาข้าน้อย ซูอี้ผู้นี้อาจไม่กล้าเผชิญหน้ากับผู้ว่าเช่นท่านด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้น”

“ท้ายที่สุด ตอนนี้เขาได้ยั่วยุสำนักดาบชิงเหอ หากกลายเป็นศัตรูของเราอีก นี่แทบไม่ต่างจากการรนหาที่ตาย!”

สิ้นเสียง เขาก้มหน้าลงพื้น ไม่กล้ามองอีกฝ่าย

มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่า ฉินเหวินเยวียนเลือดเย็นและน่ากลัวเพียงใดยามเคืองโกรธ

ใบหน้าฉินเหวินเยวียนคล้ายกับมีเมฆดำปกคลุม หลังจากนั้นไม่นานเขาสูดหายใจเข้าลึกและกล่าวออก “ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรจะกล่าวถึงอีก เจ้าไปยังสำนักดาบชิงเหอและบอกกล่าวมู่ชางถูด้วยตนเอง หากเขาต้องการแก้แค้น ข้าฉินเหวินเยวียนยินดีเข้าช่วยเหลือ!”

ในที่สุด คิ้วของเขาก็กลับมาสงบและเย็นชา

ในคราแรก เขาวางแผนยืมดาบฆ่าคน

แต่ด้วยการเสียชีวิตของต่งซานเตา ทำให้ซูอี้ผู้เป็นงูถูกตีจนตื่น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาจึงทำได้เพียงต้องตัดสินใจโดยเร็วที่สุด!

“ขอรับ!”

ชายชราชุดดำรีบลุกขึ้นและเดินออกไปพร้อมทหารองครักษ์

ฉินเหวินเยวียนขมวดคิ้ว ตกอยู่ในห้วงความคิดตัวเอง

แม้ตอนแรกไม่คิดลงมือทำการใด

แต่เมื่อเริ่มเคลื่อนไหว ต้องทำให้เสร็จในคราวเดียว!

ตรอกน้ำเต้า เรือนเงียบสุขสงบ

ซูอี้ยืนเอามือไพล่หลัง มองดูความยุ่งเหยิงในลานบ้าน ดวงตาลุ่มลึกส่องประกายแสงเย็นเยือก

“ศิษย์พี่ซู พวกนั้นอ้างว่ามาจากกลุ่มขวานโลหิต บอกกล่าวว่ามาเยี่ยมเยียนอะไรสักอย่าง ข้านึกสงสัยจึงไม่ได้เปิดประตูและขอให้พวกเขากลับมาในวันอื่น”

ด้านหนึ่ง เฝิงเสี่ยวเฟิงนั่งบนรถเข็น กล่าวอธิบายด้วยสีหน้าลำบากใจ “แต่ใครจะคาดคิด อีกฝ่ายยืนกรานที่จะไม่จากไป ในที่สุดก็พังประตูเข้ามา โชคดีที่ข้าและเสี่ยวหรานซ่อนตัวอยู่ในโถงใหญ่ล่วงหน้าแล้ว ทันทีที่เห็นพวกมันวิ่งตรงมา จึงได้บดขยี้แผ่นหยกที่ท่านให้ไว้อย่างเร็วที่สุด…”

รับฟังดังนั้น ซูอี้เอ่ยถาม “เจ้าและเสี่ยวหรานไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”

เฝิงเสี่ยวเฟิงส่ายศีรษะ “น่าเสียดายที่ต้องทำลายแผ่นหยก ข้าไม่คาดคิดว่าพลังของมันจะน่าเหลือเชื่อเพียงนี้”

ซูอี้เอ่ยคำเบา “มันเป็นเพียงค่ายกลเล็กจ้อย ในเมื่อเสียไปแล้วก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่ยังปลอดภัยก็นับว่าดี”

กล่าวถ้อยออกไป ทว่าภายในใจกลับรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย

ค่ายกลนี้ ทำให้เขาเสียวัตถุวิญญาณและศิลาวิญญาณจำนวนมาก ซึ่งเพียงพอจะสังหารปรมาจารย์วิถียุทธ์อย่างง่ายดาย แต่ตัวตนต่ำต้อยกลุ่มขวานโลหิตกลับทำให้มันสูญเปล่า!!

สิ่งที่ทำให้เขาโกรธมากขึ้นก็คือ อีกฝ่ายคล้ายกับต้องการโจมตีสองพี่น้องเฝิงเสี่ยวเฟิงและเฝิงเสี่ยวหราน ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นการกระทำที่ข้ามเส้นของเขาซูเสวียนจวินไปแล้ว

“พี่ซู เราไม่มีความขัดแย้งกับกลุ่มขวานโลหิต พวกมันมาหาท่านได้อย่างไร?” หวงเฉียนจวินอดไม่ได้จะกล่าวออก

ซูอี้กล่าวตอบเฉยเมย “กลุ่มขวานโลหิตจะต้องได้รับคำสั่งจากใครบางคน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ พวกมันอาจได้รับคำสั่งจากผู้ว่าเขตปกครองให้ลงมือ”

ใบหน้าหวงเฉียนจวินแปรเปลี่ยนกะทันหัน “เช่นนั้นแล้ว จวนผู้ว่าต้องการจัดการเรางั้นหรือ?”

คืนก่อนหน้า เฉิงอู้หย่งมาที่นี่ด้วยความตั้งใจ โดยบอกกล่าวว่า ผู้ว่ากำลังส่งคนตามสืบหาเรื่องราวของพวกเขา คล้ายกับคิดตอบโต้

กระทั่งวันนี้ พลันเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น!

“หากต้องการจัดการจริง คงไม่ส่งตัวตนต่ำต้อยเหล่านี้มาตาย”

ซูอี้ยังคงกล่าวออกอย่างเฉยเมย “ในความคิดข้า พวกเขาทำเช่นนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการทดสอบเรา”

“ศิษย์พี่ซู ผู้ว่าคงไม่ยอมปล่อยพวกเราไว้แน่” เฝิงเสี่ยวเฟิงกล่าวออกเคร่งขรึม

“ข้าเองที่จะไม่ปล่อยเขาไว้”

ซูอี้ตบไหล่เฝิงเสี่ยวเฟิงแผ่วเบา ถ้อยคำกล่าวออก “มังกรมีเกล็ดย้อน บุรุษย่อมมีขอบเขตที่ไม่อาจแตะต้องได้ สำหรับเรื่องราวคืนนี้ จะต้องมีคนชดใช้”

คำพูดราบเรียบ แต่ทำให้หวงเฉียนจวินร่างกายสั่นเทา

ตอนนี้เขาตระหนักรู้ได้ทันที ยิ่งถ้อยคำของซูอี้สงบนิ่งมากเท่าใด ก็ยิ่งเคืองโกรธมากขึ้นเท่านั้น!

“พี่ซู ท่านต้องการเตรียมการล่วงหน้าหรือไม่?” หวงเฉียนจวินเอ่ยถาม

เขาเพิ่งฉีกหน้าสำนักดาบชิงเหอที่ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์คืนนี้ ครั้งกลับถึงบ้านก็พบว่าตนถูกทดสอบโดยจวนผู้ว่า สิ่งเหล่านี้โชยกลิ่นของสายลมและพายุฝนที่กำลังตั้งเค้า

“ไม่ต้องเตรียมสิ่งใด พวกมันจะมาหาข้าเอง”

ซูอี้กล่าวออกเฉยเมย “เมื่อลมและฝนตั้งเค้า เพียงฟาดฟันหนึ่งดาบ กำจัดอันตรายซ่อนเร้นสิ้น”

ภายในคืนเดียวกัน

ตระกูลหยวน

ภายในลานหรูหราและกว้างขวาง

หลังจากได้รับฟังเรื่องราวจากเฉิงอู้หย่ง คิ้วเรียวบางของหยวนลั่วซีถูกยกขึ้น ถ้อยคำกล่าวออก “ตอนนี้เริ่มมีปัญหามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำนักดาบชิงเหอไม่อาจกล้ำกลืนได้อีกต่อไป ควบคู่ไปกับความขุ่นเคืองจากจวนผู้ว่า สถานการณ์ของคุณชายซูนับว่าย่ำแย่มาก”

พูดถึงเรื่องนี้ นางลุกขึ้นในทันใด ริมฝีปากชมพูกล่าวถ้อยคำออก “ตอนนี้ ข้าคงทำได้แค่ขอให้ท่านพ่อออกมาเคลื่อนไหว”

เฉิงอู้หย่งรีบกล่าวค้าน “คุณหนู จากพฤติกรรมของคุณชายซูที่ข้าเห็น เขาไม่ได้เกรงกลัวการคุกคามเหล่านี้…”

“แต่เราไม่สามารถนิ่งเฉยเพียงอย่างเดียวได้”

หยวนลั่วซีกล่าวออกท่าทีหนักแน่น “ต่อให้ไม่สามารถช่วยได้มากนัก ตราบใดที่ยื่นมือช่วยเหลือก็เพียงพอแล้ว”

นางรีบเดินจากไปทันที

เฉิงอู้หย่งตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะออกมาด้วยความโล่งอก

คุณหนูได้เติบใหญ่และมีความคิดเป็นของตัวเองอย่างแน่วแน่

เขารีบวิ่งตามออกไป โดยรู้ดีว่า หากต้องการเกลี้ยกล่อมให้ผู้นำตระกูลออกหน้าด้วยตัวเอง เพียงหยวนลั่วซีคนเดียวอาจไม่เพียงพอ

อันที่จริง แม้แต่ตัวเขาเฉิงอู้หย่งก็อาจทำไม่ได้เช่นกัน

ดังนั้นจึงต้องลากนายน้อยรองเข้าร่วมด้วย เพื่อความมั่นใจที่มากขึ้น!

[1] ยืมดาบฆ่าคน หมายถึงการกำจัดศัตรูแข็งแกร่ง โดยไม่ต้องลงมือเอง เพียงยืมกำลังของผู้อื่นจัดการ

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *