บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 610: สัมผัสถึงจิตสังหาร

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 610: สัมผัสถึงจิตสังหาร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 610: สัมผัสถึงจิตสังหาร

ตอนที่ 610: สัมผัสถึงจิตสังหาร

มหาทวีปคังชิงในอดีต มีผู้ฝึกตนน้อยนักจะหยั่งรู้ถึงขอบเขตจักรพรรดิ

ในต้าโจว กระทั่งเส้นทางสู่การฝึกตนยังแทบจะเป็นตำนาน

ทว่าชายหนุ่มชุดขาวนามว่าชิงลั่วผู้นี้กลับกล่าวถึงการพิสูจน์มหาวิถี ก้าวสู่ขอบเขตจักรพรรดิอย่างแสนเรียบง่าย เช่นนี้จะไม่ให้ซูอี้แปลกใจได้อย่างไร?

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่มาของชิงลั่วผู้นี้ไม่ได้ธรรมดา

เขามีพื้นฐานการฝึกฝนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นต้น

นี่ยังหมายความด้วยว่าเขามีพื้นฐานการฝึกฝนเช่นนี้มานับแต่ตื่นจากโลงเมื่อครึ่งเดือนก่อนแล้ว

สิ่งนี้ย้ำเตือนซูอี้ประการหนึ่ง

ก่อนจากนครหลวงจิ๋วติ่งแห่งต้าเซี่ย จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยเคยกล่าวไว้ว่า บนมหาทวีปต้าเซี่ยมีผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณตื่นขึ้นคนแล้วคนเล่าเป็นระลอกที่สอง

ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณกลุ่มที่สองนี้ ทุกผู้ต่างอยู่ในวิถีวิญญาณ!

สิ่งนี้ทำให้ซูอี้เคลือบแคลงว่าชิงลั่วตรงหน้าเขาจะเป็นผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณ ทว่าแค่ความจำเสื่อม

แน่นอนว่าเขายังเคลือบแคลงในชิงลั่วอยู่หลายประการ

ต่างจากผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณคนอื่น ๆ อีกฝ่ายมีลักษณะนิสัยซึ่งผู้ผ่านร้อนหนาวแห่งโลกามาแล้วเท่านั้นจึงพึงมี

กล่าวให้ชัดเจนก็คือกลิ่นอายแห่งกาลเวลา!

เพราะเหตุนี้ ซูอี้จึงล้มเลิกความคิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้เวียนวัฏสงสาร

เพราะถึงอย่างไร สำหรับผู้กลับมาเกิดเช่นเขา อายุกระดูก ลักษณะนิสัย ความมีชีวิตชีวา ปราณและเลือดล้วนอยู่ในขอบเขตที่คนหนุ่มสาวพึงมี เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีบรรยากาศเจนจัดในชีวิตเช่นนี้

“สหายเอ๋ย เจ้าไม่ได้ดูเหมือนผู้ฝึกตนทั่วไป”

ชิงลั่วโพล่งขึ้นกะทันหัน “ข้ากระทั่งดมเจอกลิ่นอายอันตรายที่ทำให้ข้ารู้สึกหดหู่หวาดกลัวได้ เป็นความรู้สึกฝังแน่นในกมลสันดาน ไม่มีทางโกหกได้”

ดวงตาคู่นั้นลึกล้ำเยี่ยงวังวน สีหน้าเจือความใคร่รู้

ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา “ข้าย่อมแตกต่างจากผู้อื่น”

ชิงลั่วยิ้มอย่างไม่อาจอธิบาย พลางกล่าวลอยชาย “ทุกคนบนโลกแตกต่างกัน ทว่าไม่ควรมีผู้คนมากมายนักในมหาทวีปคังชิงนี้ที่เป็นเช่นข้าและเจ้า”

เขาเก็บคันเบ็ดไป จากนั้นลุกขึ้นและกล่าวว่า “ก้นบ่อน้ำแห้งนี้ทะลุผ่านชีพจรบาดาลเจวี๋ยซาอิน ข้าแน่ใจว่ามัจฉาวิญญาณไท่หยินอาศัยอยู่ที่นั่น เจ้าจะลองดูหรือไม่?”

ซูอี้พยักหน้ากล่าว “เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว”

เขาเดินมายังบ่อน้ำแห้ง และเมื่อยกมือยกนิ้วขึ้นเบา ๆ กระแสพลังแสงศักดิ์สิทธิ์อันเปี่ยมปราณหยางก็ผุดขึ้นต่อเนื่อง เกี่ยวกระหวัดรัดพันซึ่งกัน ถักทอเป็นตาข่ายทิพย์

“นี่มันบัญญัติอันใดกัน?”

ชิงลั่วสนใจ

ตาข่ายทิพย์ขนาดยักษ์สยายออก ปราณหยางยิ่งใหญ่อลังการ เส้นใยแต่ละตาถักทอหนาแน่น เต็มไปด้วยอำนาจบัญญัติลึกลับ

“ตาข่ายทิพย์เสวียนหยาง” ซูอี้กล่าวเนิบ ๆ จากนั้นคว้าตาข่ายทิพย์โยนลึกลงไปในบ่อน้ำแห้ง มือถือเชือกทิพย์อันโยงเข้ากับตาข่ายทิพย์ไว้

“มหัศจรรย์!”

ชิงลั่วตื่นตะลึง

“เจ้าตัวดีอยู่หนใด?”

ซูอี้ถาม

“บัญญัตินี้น่าจะถูกสืบต่อจากกลุ่มเต๋าต่าง ๆ เมื่อใช้ปราณหยางสร้างตาข่าย สำหรับมัจฉาวิญญาณไท่หยิน มันจะเหมือนพบเหยื่ออันโอชะที่สุดในโลกหล้า”

ชิงลั่วกล่าว “ข้าแปลกใจยิ่งกว่าที่สหายเต๋าสามารถควบคุมปราณหยางเสียจน ‘รีดเป็นเส้นไหมทิพย์ ปรับขยับตามใจปรารถนา’ ซึ่งชวนลืมหายใจนัก หากไม่ได้เห็นกับตา คงไม่เชื่อว่ายอดยุทธ์เช่นนี้เป็นเพียงสหายเต๋าในขอบเขตรวบรวมดารา”

เขาไม่ได้กล่าวเกินจริง แต่คิดเช่นนั้นอย่างชัดเจน

ซูอี้มองลึกเข้าไปในบ่อน้ำแห้ง พลางกล่าวเนิบ ๆ “แค่ลูกไม้เล็กน้อย ไม่ควรค่าให้เอ่ยสรรเสริญ”

ชิงลั่วอึ้งไปครู่หนึ่ง จึงแย้มยิ้ม “เจ้าช่างถ่อมตัว”

ถ่อมตัว?

ซูอี้ไม่กล่าวมากไปกว่านั้น

ไม่นานนัก ข้อมือของเขาก็กระตุก

จ๋อม!

ลึกเข้าไปในบ่อน้ำแห้ง ตาข่ายทิพย์อันถักทอจากบัญญัติตาข่ายทิพย์เสวียนหยางถูกรวบขึ้นมา มีปลาตัวหนึ่งดิ้นอยู่ภายในปากตาข่าย

ปลาตัวนี้เป็นสีเงินทั่วทั้งตัว สว่างเจิดจ้าราวหิมะน้ำแข็ง มีขนาดเท่าฝ่ามือ แต่บรรยากาศที่มันแผ่ออกมาจากทั่วร่างนั้นเย็นเยียบเสียดกระดูก

ดวงตาของชิงลั่วทอประกาย ก่อนจะกล่าวว่า “ตัวยาวกว่าห้าชุ่น ปลาตัวนี้น่าจะมีอายุขัยแปดสิบปี ซึ่งถือว่าเป็นปลาหายากล้ำค่า และยิ่งหายากขึ้นอีกเมื่อมันยังคงมีจังหวะวิถีแห่งหยินตกค้าง มูลค่ายากประมาณ”

“ต้องการมันหรือไม่? ข้าให้เจ้า”

ซูอี้สะบัดตาข่ายใหญ่ในมือ โยนมัจฉาวิญญาณไท่หยินให้ ซึ่งชิงลั่วก็ยื่นมือรับไว้

“สหายเต๋าตั้งใจจะให้มัจฉานี้กับข้าจริง ๆ หรือ?”

ชิงลั่วแปลกใจเล็กน้อย

ซูอี้กล่าว “มันไร้ประโยชน์สำหรับข้า กินไปก็ไม่ได้เรื่อง”

ชิงลั่วอึ้งค้างมองมัจฉาวิญญาณไท่หยินในมือ สุดท้ายก็กล่าวว่า “เช่นนั้น ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว”

เมื่อกล่าวเช่นนั้น เขาก็จับปลาเป็น ๆ ยัดเข้าไปในปาก เคี้ยวกร้วม ๆ หยาดโลหิตแทบทะลัก เขาใช้ปลายลิ้นเลียปากกลืนกินเลือดส่วนที่เกินออกมา และทั้งเนื้อและก้างปลาลงท้องไปทั้งหมด

เขาดูหล่อเหลา มีกิริยาเกินธรรมดา ทว่าการกินอาหารอันแสนนองเลือดนี้ทำให้ผู้พบเห็นตัวสั่น

“สบายจัง”

ชิงลั่วลูบท้องพลางทอดถอนใจอย่างแสนสบาย และกล่าวว่า “ข้าตกปลาที่นี่อยู่สามวันแล้ว ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้กิน ทว่าเมื่อได้สหายเต๋าช่วย ข้าก็ได้ลิ้มอาหารเลิศล้ำ”

จากนั้น เขาก็โบกมือกล่าว “ข้าควรไปได้แล้ว”

เขาหันหลังเดินจากไป

ทว่าเมื่อไปถึงประตูอาราม เขาก็หยุดลงกะทันหัน หันมากล่าวยิ้ม ๆ ว่า “สหายเต๋า จู่ ๆ ข้าก็จำบางอย่างได้ขึ้นมา อยากฟังหรือไม่?”

ซูอี้ยกน้ำเต้าสุราขึ้นจิบ พลางกล่าวว่า “เจ้าอยากพูดอันใด? หรือจะเป็นเรื่องที่ข้าแผ่จิตสังหารในใจยามตกปลาเมื่อครู่?”

ดวงตาลึกล้ำเยี่ยงวังวนของชิงลั่วหรี่ลงเล็กน้อย จากนั้นจึงหัวเราะพลางกล่าวว่า “กะแล้วเชียว สหายเต๋าไม่ธรรมดาเลย!”

ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “น่าเสียดายจริง”

ชิงลั่วถาม “เสียดายสิ่งใด?”

ซูอี้ตอบ “เสียดายที่มัจฉานั่นไม่มีผล”

“หมายความเช่นไร?”

ชิงลั่วงุนงง

ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าจับปลา แต่ก็ตกเจ้าอยู่ด้วย ทว่าสุดท้ายเจ้าก็ไม่ได้ลงมือ เสียปลาตัวนี้โดยใช่เหตุ”

รอยยิ้มของชิงลั่วเลือนลง เขากล่าวอย่างประหลาดใจ “สหายเต๋าคาดการณ์ไว้แล้วว่าข้าจะจับจิตสังหารได้หรือ?”

ซูอี้กล่าวอย่างเยือกเย็น “นับแต่ยามที่เจ้ากล่าวว่าจับเค้าลางอันตรายได้จากข้า ข้าก็ตระหนักว่าเจ้ามีบางสิ่งผิดปกติ ทว่ายังไม่อาจจับจุดได้ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด นี่คือเหตุที่ข้าลงมือทำเช่นนั้น ใช้โอกาสการตกปลาเพื่อหยั่งว่าเจ้าจะลองทำเช่นไร”

ชิงลั่วตระหนักรู้โดยพลัน “เช่นนี้เอง”

เขาส่ายหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงกระดากอายในทันที “สุดท้ายแล้ว จิตใจของข้าก็ยังไม่สงบนิ่งพอ ยังคงเผยความผิดปกติเล็กน้อย แน่นอนว่ามันแยกไม่ได้กับสายตาทะลุทะลวงของสหายเต๋า”

ซูอี้กล่าว “ในเมื่อเจ้าวางแผนจะไปอยู่แล้ว ไฉนจึงยังมีจิตสังหารในใจก่อนหน้านี้เล่า?”

ชิงลั่วครุ่นคิด จากนั้นจึงกล่าวคำออก “สัญชาตญาณ”

“สัญชาตญาณ?”

“ถูกต้อง บรรยากาศอันตรายของสหายเต๋าทำให้ข้าไม่สบายตัวนัก และสิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือความรู้สึกครั่นตัวนี้”

ชิงลั่วกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าสังหรณ์ว่าแม้เราจะนับสหาย แต่ความรู้สึกไม่สบายใจนี้จะยังคงอยู่ ดังนั้นข้าจึงเคยคิดฆ่าเจ้า”

เหตุผลนี้ช่างน่าขันอย่างไม่ต้องสงสัย

ทว่าซูอี้เชื่อเขา

ยามเมื่อหนูเห็นแมว มันจะรู้สึกอันตรายและหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณ

ศัตรูทางธรรมชาติเป็นเช่นนั้น

ชิงลั่วกล่าวยิ้ม ๆ “สหายเต๋าบอกก่อนหน้านี้ว่าปลาเสียโดยใช่เหตุ ทว่าเป็นปลาตัวนี้เองที่ทำให้ข้าล้มเลิกความคิดกระทำเช่นนั้น”

จากนั้น เขาก็โบกมือ “ยามเราพบพานกาลหน้า ข้าหวังว่าจะไม่สัมผัสบรรยากาศอันตรายที่ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจนี้จากสหายเต๋าอีก หากเช่นนั้น เราอาจจะได้เป็นสหายกัน แทนจะกล่าวลาด้วยท่าทีดูสงบ ทว่า… เต็มไปด้วยความทุกข์ใจเช่นนี้”

เสียงยังไม่ทันจางหาย ชิงลั่วก็เดินจากไปแล้ว

“เจ้าไม่คิดหรือว่าเหมือนหนูพบแมว?”

ซูอี้ยังอยู่ที่เดิม ไม่ได้เดินตามเขาไป

ชิงลั่วไม่หยุดเดิน เขาโบกมือโดยไม่หันมอง “ใครหนูใครแมว ยากกล่าวในยามนี้ ทว่าเจ้าควรจับตามองรอบข้างไว้ เราทั้งสอง… ต้องได้สร้างความแตกต่างในภายหน้าเป็นแน่!”

ซูอี้ร้องโอ้ พลางกล่าวว่า “ยามเราพบคราหน้า อย่าทำให้ข้าผิดหวังแล้วกัน หาไม่ ข้าคงรู้สึกแย่ที่ปล่อยเจ้าไปเสียวันนี้”

เสียงหัวเราะของชิงลั่วลอยมาตามลม “สหายเต๋า เจ้าก็เช่นกัน!”

ชายหนุ่มผู้มีที่มาประหลาดและต้องสงสัยจะความจำเสื่อมหายตัวไปอย่างสมบูรณ์

“คงน่าเสียดายแย่หากพบผู้คู่ควรสนใจ ทว่าฆ่าทิ้งไปทันที…”

ซูอี้ลอบกล่าว

เขายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งในลานอันทรุดโทรม จากนั้นจึงเดินจากไป

ไม่นานจากนั้น ซูอี้ก็เดินลึกเข้าไปในป่าท้อบนยอดเขามารดาภูตผี

ในตอนแรก ที่นี่คือจุดที่เขาได้พบปีศาจผู้ถือกำเนิดขึ้นเฝ้าต้นท้อเถาชิงซาน และแผ่นศิลาที่เก๋อฉางหลิง ราชากลืนสมุทรทิ้งไว้

ทว่าเมื่อเขามาในครานี้ ป่าท้อกลับกลายเป็นเต็มไปด้วยค้างคาวผี!

เจ้าผีน้อยเหล่านี้มีร่างกายดำเมี่ยม หน้าน้ำเงินคล้ำพร้อมด้วยเขี้ยวเล็บ ชอบกินปราณศพและเศษซาก มีขนาดเพียงฝ่ามือ แต่เหี้ยมโหดชั่วร้ายยิ่ง

หากถูกมันกัด จะถูกโจมตีโดยพิษศพตายอนาถ

แม้แต่ผู้ฝึกตนทั่วไปในวิถีต้นกำเนิดยังไม่เต็มใจรบกวนผีบ้าเหล่านี้ เพราะพวกมันมักอยู่เป็นฝูง เคลื่อนไหวรวดเร็ว เชี่ยวชาญการโจมตีด้วยเสียง และยังรับมือยากสุด ๆ

ทว่าเหล่าค้างคาวผีที่ซูอี้เห็นในยามนี้ เห็นได้ชัดว่ามนุษย์เลี้ยงมันไว้ มีหม้อดินเหนียววางอยู่บนกิ่งไม้ทุกกิ่งที่ค้างคาวผีแต่ละตัวห้อยอยู่

หม้อเหล่านั้นบรรจุปราณวิญญาณที่กลั่นแล้ว

ปราณวิญญาณบางเยี่ยงขนวัวเป็นสีเทาขาว หลั่งไหลแทรกร่างค้างคาวผีราวเป็นควัน เหมือนเช่นมันกำลังฝึกตน

เมื่อเห็นภาพดังกล่าว ซูอี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

เคล็ดวิชาเลี้ยงค้างคาวผีพรรค์นี้ชั่วร้ายโหดเหี้ยมนัก ผู้ใช้ต้องได้วิญญาณคนเป็นจำนวนมากไม่ขาดสายเพื่อกลั่นเป็นปราณวิญญาณ ซึ่งใช้เป็นอาหารสำหรับค้างคาวผีเหล่านี้

ปราณวิญญาณที่เพิ่มพูนในหม้อดินเหนียวนี้ ขั้นต่ำต้องใช้วิญญาณคนเป็นนับร้อย ๆ

และในป่าท้อตรงหน้านี้ มีหม้อดินเหนียวแขวนอยู่อย่างน้อยก็หลายพัน!

นี่ยังหมายความว่า มีชีวิตอย่างน้อยแสนชีวิตถูกพรากไป และวิญญาณถูกนำไปกลั่น!

“ดูเหมือนโลกาจะวุ่นวาย เหล่าสัตว์ร้ายกล้าออกมาก่อกวน…”

ซูอี้เพิ่งคิดเรื่องนี้ ทันใดนั้น เขาก็สังเกตเห็นเงาร่างหนึ่งวูบไหวในอากาศ

ไม่กี่อึดใจถัดมา

วูบ!

ร่างเงาวูบไหวคล้ายสตรีผู้หนึ่งเร่งรี่มายืนนอกป่าท้อ นางมองลึกเข้ามาพร้อมกล่าวอย่างตื่นตระหนก “นายท่าน แย่แล้ว สัตว์ปีศาจที่เราขับออกไปยังไม่ทันเข้าเมืองกว่างหลิง พวกมันก็ถูกผู้ฝึกตนปีศาจที่แข็งแกร่งยิ่งผู้หนึ่งไล่ไปแล้ว!”

ก่อนเสียงจะกล่าวจบ หมอกวิญญาณสีดำก็ลอยขึ้นจากลึกเข้าไปในป่าท้อทันที

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด