บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 145 : ภูเขาและแม่น้ำลึกลับ

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 145 : ภูเขาและแม่น้ำลึกลับ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จู้กู่ชิงจากไปด้วยความละอาย

นางกังวลว่าถ้านางอยู่ต่อไปอีก นางอาจจะยอมสู้แลกชีวิตกับซูอี้เพราะความโกรธ

เห็นนางจากลับหาย เฉินเจิ้งรู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อย ถ้อยคำหดหู่กล่าวออก “จู้กู่ชิงนับว่าเป็นสตรีงามอันดับต้นในตำหนักเทียนหยวน โดยเฉพาะขณะนี้นางย่างเข้าสามสิบแล้ว ยิ่งทำให้ผู้ชราเช่นข้ายิ่งตื่นตา”

ซูอี้อดแปลกใจไม่ได้ จวิ้นอ๋องอู๋หลิงผู้มักมีอารมณ์เย็นชากลับเอ่ยถ้อยคำเชยชมหญิงสาวโดยไม่กระดากอาย

“คุณชายซู ข้าควรทำอย่างไรกับสตรีนางนี้?”

เฉินเจิ้งชี้ไปที่หลิวเซียงหลาน ซึ่งยังคงคุกเข่าอยู่ไม่ไกลนัก สีหน้านางยังคงหวาดกลัวและทำอะไรไม่ถูก

“ท่านเฉินสนใจนางด้วยงั้นหรือ?” ซูอี้อดไม่ได้ที่จะถาม

หากเป็นก่อนหน้า เขาคงไม่เอ่ยประโยคเช่นดังนี้

แต่หลังจากเฉินเจิ้งแสดงความชื่นชมต่อความงามของจู้กู่ชิง ซูอี้จึงสงสัยว่าเฉินเจิ้งอาจมีรสนิยมชอบสตรีวัยกลางคนเป็นพิเศษ

เฉินเจิ้งไอแห้ง ๆ

จางอี้เหรินรีบก้าวมาข้างหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายซูอาจไม่ทราบ เหล่าทหารในกองทัพที่ประจำการอยู่ในเขตกันดารล้วนแล้วแต่เปล่าเปลี่ยวตลอดทั้งปี ชายเหล่านั้นที่เลือดลมพลุ่งพล่านต่างมีปัญหาเก็บกด มันคงเหมาะสมที่สุดหากเราจะพาสตรีบาปหนาผู้นี้ไปชดใช้กรรมโดยการส่งตัวเข้ากองทัพเป็นที่ระบายแก่ไพล่พล”

ซูอี้หัวเราะในใจ กระนั้นถ้อยคำกลับเอ่ยอย่างจริงจัง “งั้นเอาตามที่ท่านว่า”

เฉินเจิ้งยกมือขึ้นเล็กน้อยและกล่าวว่า “คุณชายซู ถ้าอย่างนั้นเฉินขอตัวก่อน พรุ่งนี้ข้าจะกลับไปที่หุบเขามารบุปผาโลหิต หากคุณชายซูมีเวลา ข้าหวังว่าเราจะได้เจอกันอีกครา ที่หุบเขามารบุปผาโลหิตในอีกหนึ่งเดือน”

“ตกลง” ซูอี้พยักหน้า

ทันใดนั้น หวงเฉียนจวินวิ่งพรวดออกจากเรือนพร้อมกล่าวคำร้องขอ “พี่ซู ข้า… ข้าอยากเข้าร่วมกองทัพและขัดเกลาตัวเองในสนามรบ!”

ซูอี้ตกใจแต่ก็นึกขึ้นได้ในทันใด ว่าก่อนหน้านี้ หวงเฉียนจวิน เคยเปิดเผยความปรารถนาอยากต่อสู้ในสนามรบ

“เจ้าแน่ใจ?” ซูอี้เอ่ยคำถามกลับ

หวงเฉียนจวินก้มศีรษะลงไม่กล้ามองซูอี้โดยตรง มีเพียงปากขยับเอ่ยถ้อยคำเบา “พี่ซู พักหลังนี้ข้ารู้สึกตนเองไร้ค่า แม้แต่ปัญหาของตนเองยังไม่สามารถคลี่คลายได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังสร้างภาระเพิ่มให้พี่ซู…”

เขาสูดลมหายใจลึกก่อนจะกล่าวต่อ “การไปครั้งนี้ถือว่าฝึกตน เพื่อที่ภายภาคหน้าจะได้กลับมาตอบแทนพี่ซูได้อย่างเต็มที่ หวังว่าพี่ซูจะสนับสนุน!”

ความซาบซึ้งปรากฏในดวงตาของซูอี้ “อยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่นั้นมีข้อดีคือสุขสบายไร้กังวล แต่ข้อเสียนั้นใหญ่ยิ่งเนื่องจากไม่อาจเติบโตได้อย่างสมบูรณ์ ก็ดี ทางเลือกเช่นนี้ของเจ้าทำให้ข้าพอใจนัก”

ซูอี้ตระหนักดีในเรื่องของหวงเฉียนจวิน …เป็นที่ชัดเจนว่าอีกฝ่ายเป็นคนรับใช้ที่ยอดเยี่ยม

หากอีกฝ่ายเป็นเพียงคนธรรมดา นั่นย่อมไม่เป็นไร แต่หวงเฉียนจวินคือผู้บ่มเพาะที่มีฝัน แม้จะฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ดีเลิศสักเพียงใด หากไม่ได้ถูกหล่อหลอมด้วยความเป็นและความตาย ความสำเร็จในอนาคตย่อมถูกจำกัด ภายภาคหน้าเขาจะไม่มีวันเดินตามเส้นทางที่ใฝ่ฝันสำเร็จ

“ท่านเฉิน คิดอย่างไรกับเขา?” ซูอี้มองไปที่เฉินเจิ้ง

เฉินเจิ้งพยักหน้า “ไม่ว่าเขาจะกล้าหาญเช่นขุนศึกหรือขี้ขลาดประหนึ่งสุนัข มีเพียงกลางสนามรบจริงเท่านั้นจะพิสูจน์ แต่แน่นอน เฉินผู้นี้เชื่อว่า ผู้ที่สามารถอยู่ข้างกายคุณชายซูได้ย่อมไม่ธรรมดา หากเขาต้องการ รุ่งเช้าพรุ่งนี้เขาไปกับข้าได้”

เขาไม่ใช่คนเขลา เขาเห็นได้อย่างรวดเร็วว่าซูอี้ต้องการขัดเกลาจิตใจของหวงเฉียนจวินให้กล้าแกร่ง

“ขอบคุณจวิ้นอ๋องที่เมตตา!”

หวงเฉียนจวินประสานมือคารวะขอบคุณ

เฉินเจิ้งพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา ถ้อยคำดุดันเอ่ยออก “อย่าเพิ่งด่วนขอบคุณข้า กฎในกองทัพเกราะเขียวนั้นเข้มงวด เจ้าจะไม่ได้รับการดูแลใดเป็นพิเศษ ในทางกลับกัน เนื่องจากความสัมพันธ์ของเจ้ากับคุณชายซู ข้าจะยิ่งเรียกร้องจากเจ้ามากกว่าผู้อื่น ข้อนี้เจ้าจงจำให้ขึ้นใจ… เจ้าเข้าใจหรือไม่!”

“ข้าเข้าใจ!”

หวงเฉียนจวินตอบรับอย่างเคร่งขรึม

เฉินเจิ้งไม่พูดอะไรอีก และไม่นานจึงจากไปพร้อมกับจางอี้เหรินและหลิวเซียงหลาน

“ไปเก็บกวาดของที่ริบมาได้ก่อน แล้วค่อยมาหาข้าที่ศาลา”

ซูอี้ออกคำสั่ง สองมือไพล่หลังเดินกลับเข้าไปในลานบ้าน

หวงเฉียนจวินรับคำสั่งและทำตามในทันที

ในศาลา

เวิงอวิ๋นฉียามตื่นขึ้น เขาเห็นซูอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย สีหน้าจึงพลันเปลี่ยนไป พยายามลุกขึ้นและพูดว่า “ขอบังอาจถาม เหตุใดคุณชายถึงได้โหดร้ายต่อชายชราผู้นี้นัก?”

“หยกวิญญาณนั่นอยู่ที่ใด?” ซูอี้ไม่ตอบ แต่เอ่ยถามกลับ

เมื่อครู่เขาค้นหาเวิงอวิ๋นฉีจนทั่วร่างแล้วแต่กลับไม่พบหยกวิญญาณ

“เช่นนี้นี่เอง”

ดวงตาของเวิงอวิ๋นฉีเป็นประกาย ถ้อยคำเอ่ยถามกลับว่า “คุณชายก็ต้องการทราบถึงที่มาของชิงหว่านเช่นกันใช่หรือไม่?”

ดวงตาของซูอี้แฝงแววเย็นชา ถ้อยคำกล่าวออกด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “ข้าไม่ชอบรับฟังเรื่องไร้สาระ ข้าจะให้เจ้าเลือกแล้วกัน มอบหยกวิญญาณชิ้นนั้นมาให้ข้า แล้วหากข้าพอใจ ข้าอาจจะเหลือทางรอดไว้ให้เจ้า ไม่เช่นนั้นข้าสัญญาว่าจะทำให้ชีวิตเจ้าตายดีกว่าอยู่!”

เวิงอวิ๋นฉีเงียบอยู่นาน ก่อนกล่าวว่า “คุณชายยินดีปล่อยให้ชายชรามีชีวิตอยู่ได้จริงหรือ?”

ซูอี้กล่าวว่า “เชื่อหรือไม่ เจ้าต้องเดิมพัน”

“เช่นนั้นแล้ว ชายชราผู้นี้ขอเลือกไว้ใจคุณชาย!”

เวิงอวิ๋นฉีสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะใช้ปลายนิ้วของตนกรีดผิวหนังที่ท้องแขน แล้วสอดนิ้วเข้าไป จากนั้นดึงจี้หยกออกมาอย่างรวดเร็ว

หน้าผากของเขามีเหงื่อออกจากความเจ็บปวด แต่ใบหน้าไม่แปรเปลี่ยน เขาเช็ดทำความสะอาดจี้หยกจนไร้คราบโลหิตด้วยเสื้อผ้าของตน ก่อนจะส่งมอบมันออกให้ “คุณชาย เชิญรับชม”

ซูอี้ถือมันไว้ในมือ รับชมพบว่าจี้หยกนั้นมีขนาดเพียงอุ้งมือ มีสีเหลืองสลัวคล้ายอำพันซึ่งแผ่ไออุ่นเมื่อสัมผัส

ด้านหน้าจี้หยกสลักอักขระโบราณซึ่งมีอำนาจสร้างภาพเสมือนจริง เป็นภาพฉากแปลกตาของเทือกเขายาวและแม่น้ำวนล้อมรอบหุบเหวลึกลับแห่งหนึ่ง

หรือหากมองภาพโดยรวมประกอบกัน จะคล้ายเห็นเป็นภาพของดวงตากลมโตขนาดยักษ์ ภูเขาและแม่น้ำที่ล้อมรอบนั้นประหนึ่งเป็นรูม่านตา และส่วนลึกของหุบเหวคือตาดำ มันมืดมิดสุดหยั่งไม่ต่างจากขุมนรก

ส่วนที่ด้านหลังของจี้หยก มีการสลัก ‘บัญญัติ’ ที่บิดเบี้ยวและซับซ้อนกำกับไว้

ดวงตาของซูอี้หรี่ลงเล็กน้อย แปลก!

จี้หยกนี้ถูกสร้างขึ้นด้วย ‘กระดูกแก่นแท้มหาวิญญาณ’ ซึ่งพบเจอได้แต่ที่เก้ามหาแดนดินที่เขาเคยอาศัยเท่านั้น!

ในสายตาของผู้บ่มเพาะวิชามาร ‘กระดูกแก่นแท้มหาวิญญาณ’ นับได้ว่าเป็น ‘สมบัติศักดิ์สิทธิ์’ ซึ่งมีอำนาจน่าทึ่งหาสิ่งใดเปรียบมิได้ มันมีคุณอนันต์มหาศาลต่อการหล่อเลี้ยงและบ่มเพาะภูตผี

ในชีวิตก่อนหน้านี้ แม้สมบัติของซูอี้จะมีมากมายมหาศาล แต่กระนั้นเขากลับมีสมบัติศักดิ์สิทธิ์เพียงสิบชิ้น

ทว่า ในโลกปุถุชนนี้ กลับมีจี้หยกชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งผิดธรรมชาติอย่างรุนแรง!

นอกจากนี้ อักขระที่ด้านหน้าจี้หยกก็แปลกพิสดาร ภูเขาและแม่น้ำถูกพลิกหัวล้อมรอบขุมนรก แม้แต่ชายหนุ่มยังมองไม่ออกว่ามันหมายความถึงสิ่งใด

ส่วน ‘บัญญัติ’ ที่ด้านหลังของจี้หยก คล้ายว่าไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับมัน มันเป็นเพียงบัญญัติซึ่งให้อำนาจ ‘จิตวิญญาณ’ ส่งผลให้จี้หยกนี้สามารถกักเก็บดวงวิญญาณและหล่อเลี้ยงได้

หลังจากนั้นไม่นาน ซูอี้ก็หลับตาลง มองไปที่เวิงอวิ้นฉีและกล่าวว่า “หยกวิญญาณชิ้นนี้มาจากไหน”

เวิงอวิ๋นฉีพลันตอบกลับด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน “ชายชรารู้แค่เพียงว่าเมื่อสามสิบปีที่แล้ว หูเยี่ยนไห่ หัวหน้าสาขาพรรคมารหยินแห่งแคว้นกุ่นเป็นผู้นำหยกวิญญาณนี้กลับมาและถือว่ามันเป็นสมบัติส่วนตัวโดยซ่อนไว้ในคลังของเขา”

“หูเยี่ยนไห่?” ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย “เช่นนั้นขณะนี้ คนผู้นี้อยู่ที่ใด?”

“ปกติแล้วหัวหน้าสาขาแห่งแคว้นเช่นเขา จะอาศัยอยู่ที่แหล่งซุ่มซ่อนซึ่งตั้งอยู่ในส่วนลึกของหุบเขาสัมฤทธิ์ห่างจากเมืองกุ่นโจวไปสามร้อยลี้ แต่เนื่องด้วยเหตุการณ์ที่ชายชราผู้นี้ทรยศในอดีต หากคาดเดาไม่ผิด ป่านนี้ที่ซุ่มซ่อนคงถูกย้ายไปที่อื่นแล้ว”

กล่าวถึงตรงนี้ เวิงอวิ๋นฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนถ้อยคำพลันดังต่อ “คุณชาย หูเยี่ยนไห่และข้ามีความบาดหมางล้ำลึก หากท่านไม่ชอบเขาเช่นกัน เวิงผู้นี้ยินดีช่วยเหลือทุกวิถีทาง!”

ซูอี้หรี่ตาจ้องไปที่ร่างชราผอมสูงตรงหน้า และเอ่ยคำด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “เจ้าคิดจะยืมมือข้าล้างแค้นงั้นหรือ?”

เวิงอวิ๋นฉีกล่าวอย่างขมขื่น “หูเยี่ยนไห่สำเร็จขอบเขตหลอมกำเนิดถึงขั้นสอง และยังเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาชั่วร้ายทุกแขนง อีกทั้งยังมีลูกสมุนอีกมากมาย แม้แต่ปรมาจารย์วิถียุทธ์ระดับเดียวกันกับเขายังไม่อาจต่อกร ดังนั้นแล้ว ชายชราผู้โดดเดี่ยวเช่นข้าจะแก้แค้นเขาด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร”

“แล้วเจ้าจะช่วยข้าได้อย่างไร” ซูอี้ถามอีกครั้ง

เวิงอวิ๋นฉีกล่าวอย่างเคร่งขรึม “แม้ว่าชายชราจะไม่แข็งแกร่งนัก แต่ด้วยประสบการณ์เป็นหนึ่งในสี่ผู้พิทักษ์แห่งสาขาแคว้นกุ่น เวิงผู้นี้จึงรู้ความลับมากมายเกี่ยวกับพรรคมารหยิน”

ซูอี้กล่าวว่า “ทิ้งวิธีการติดต่อตัวเจ้าเอาไว้ เมื่อใดที่ข้าต้องการหาหูเยี่ยนไห่ในอนาคต ข้าจะติดต่อไปเรียกใช้”

เวิงอวิ๋นฉีรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย โดยตระหนักว่า ซูอี้คิดว่าตนเองไม่ดีพอให้รับใช้ข้างกาย แต่กระนั้น การแสดงออกยังคงพยักหน้าและกล่าวคำนอบน้อม

“ทราบแล้ว!”

จากนั้นเขาหยิบเหรียญทองแดงสภาพหักครึ่งออกมาแล้วเอ่ยต่อ “ชายชราจะออกเดินทางทันทีเพื่อไปที่เมืองกุ่นโจว หากคุณชายซูต้องการตามหาชายชราเมื่อใด คุณชายสามารถส่งคนรับใช้ของท่าน นำเอาเหรียญทองแดงนี้ไปที่ ‘โรงเตี๊ยมสุขสงบ’ ในเมืองกุ่นโจว และมอบให้กับเถ้าแก่ของที่นั่น”

ซูอี้พยักหน้า “เจ้าไปได้”

เวิงอวิ๋นฉีประสานมือคารวะพร้อมโค้งกายก่อนจะหันหลังกลับ

เมื่อเห็นเขาจากไป ซูอี้ก็เล่นกับเหรียญทองแดงที่หักครึ่ง ในใจลอบคิดอย่างเย้ยหยัน “เมื่อข้าไปหาหูเยี่ยนไห่ผู้นั้น หากเจ้าร่วมมือกับข้าอย่างซื่อสัตย์ก็แล้วไป แต่หากเจ้ากล้าเล่นเล่ห์แม้เพียงน้อย ซูผู้นี้ยินดี บดขยี้เจ้าเป็นเถ้าถ่าน…”

หวงเฉียนจวินรีบเดินเข้ามาพร้อมกับของที่ริบได้

“พี่ซู…” ก่อนหวงเฉียนจวินจะทันได้เอ่ยต่อประโยค ซูอี้โบกมือกล่าวคำขัดอย่างรวดเร็ว “เก็บศิลาวิญญาณและวัตถุวิญญาณไว้สำหรับตัวเจ้าเองเสีย คิดเสียว่ามันคือทรัพยากรที่ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าไปฝึกฝน”

หวงเฉียนจวินตกตะลึงชั่วขณะหนึ่ง จมูกพลันแดงขึ้นเล็กน้อย

เขาสูดหายใจเข้าลึก และเอ่ยออกอย่างตื้นตัน “พี่ซู นอกจากศิลาวิญญาณและวัตถุวิญญาณทั้งหลาย ข้ายังพบสิ่งแปลก ๆ อีกด้วย”

หลังจากจบประโยค หวงเฉียนจวินแสดงเทียนสีเลือด กระดาษยันต์สีดำหลายแผ่นซึ่งเขียนอักขระโบราณเอาไว้ ลูกปัดที่ทำจากกระดูกสีขาวออกมา และหุ่นเชิดเปื้อนเลือด

ซูอี้มองดูพวกมันครู่หนึ่ง และสั่งหวงเฉียนจวินโดยตรงให้นำกระดาษยันต์สีดำและลูกปัดกระดูกสีขาวไปทำลาย

พวกมันทั้งสองเป็นสิ่งของต่ำช้าและไม่มีค่าใดต่อคนเช่นเขา

ตรงกันข้าม เทียนสีเลือดและหุ่นเชิดโลหิตกลับกระตุ้นความสนใจของซูอี้

“เทียนสะกดรอยวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นด้วยโลหิตอย่างนั้นหรือ? ย่อมไม่แปลกที่สมุนแห่งพรรคมารทั้งสามคนนี้จะสามารถสะกดรอยหาที่อยู่ของเวิงอวิ๋นฉีได้อย่างแม่นยำ ด้วยเทียนสะกดรอยวิญญาณเล่มนี้ ต่อให้เวิงอวิ๋นฉีหนีไปสุดโลกหล้าก็ยากที่จะหลุดพ้น”

ซูอี้ครุ่นคิดเกี่ยวกับมันครู่หนึ่ง ก่อนจะเก็บเทียนโลหิตใส่ใจจี้หยกข้างกาย

ด้วยเทียนเล่มนี้ เขาไม่จำเป็นต้องใช้เหรียญทองแดงเพื่อตามตัวอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ยามไปถึงเมืองกุ่นโจว เขาก็สามารถค้นหาเวิงอวิ๋นฉีได้ตลอดเวลาตามใจปรารถนา

“คล้ายว่านี่จะเป็น หุ่นเชิดซากศพโลหิต…”

ซูอี้มองดูหุ่นเชิดขนาดเท่าฝ่ามือซึ่งเปื้อนเลือด มันทำจากผิวหนังมนุษย์ ถูกปกคลุมไปด้วยโลหิตแห่งปีศาจและมารหลายชนิด รัศมีน่าสะพรึงแผ่ออกไม่ขาดห้วง

“คนเหล่านั้นน่าจะตั้งค่ายกลั่นโลหิตในเมืองล่วงหน้า และหุ่นเชิดซากศพโลหิตนี้สมควรเป็นกุญแจสำคัญในการสำแดงอานุภาพแห่งค่ายกล แต่กระนั้น ท้ายที่สุดก่อนจะได้ใช้มันกลับตกตายและถูกจับเสียก่อน…”

ขณะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซูอี้ชี้นิ้วประหนึ่งมีดไปที่ส่วนคอของตัวหุ่นเชิด ก่อนตวัดอย่างแผ่วเบา

หัวหุ่นเชิดพลันล่วงหล่นลงกับพื้น

ในเวลาเดียวกัน ณ เรือนร้างผู้คนแห่งหนึ่งในเมือง แท่นบูชาที่ทำด้วยกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วน ส่งเสียงคำรามอันขุ่นเคืองดังขึ้น

ตูม!

แท่นบูชากระดูกแตกย่อยยับ

ที่ด้านล่างซึ่งมีศพอัปลักษณ์ค่อย ๆ สลายกลายเป็นโคลมตม

ในศาลา ซูอี้คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อหวงเฉียนจวินซึ่งอยู่ไม่ไกลห่าง “ครั้งเมื่อเราเข้ามาในเมือง หากข้าจำไม่ผิดเจ้าสนใจศาลาคลื่นซัดทรายมาก เอาเป็นว่าคืนนี้ข้าจะพาเจ้าไปเดินเล่น”

หวงเฉียนจวินตกตะลึง “พี่ซู น…นี่ท่านกำลังจะพาข้าไป… ซ่องนางโลมอย่างนั้นหรือ!?”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *