บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 665: พี่เขย

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 665: พี่เขย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 665: พี่เขย

ตอนที่ 665: พี่เขย

ซูอี้สงบลง

ดวงตาของเขาประเมินชายชราผู้เนื้อตัวสกปรกตรงหน้าอีกครั้ง

รูปร่างผอมบางราวไม้ไผ่ เคราและผมสีเทายุ่งเหยิง ใบหน้าแก่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น นัยน์ตาขุ่นมัวไร้ประกาย อาภรณ์ชุดพรตเต๋าเก่าแก่ขาดการบำรุงซักสะอาด ทั้งหมดเต็มไปด้วยคราบของฝุ่นดิน

ทว่านักพรตเฒ่าเนื้อตัวสกปรกมอมแมมคนนี้กลับเรียกขานเขาว่าพี่เขย…?

มุมปากของซูอี้กระตุกอย่างไม่มีใครสังเกตเห็น ทันใดนั้นซูอี้ก็จำเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาได้

ดวงตาของชายหนุ่มพลันไม่แน่ใจและเอ่ยถามด้วยเสียงอันแผ่วเบา “เย่ซุ่น?”

เพียงสองคำนี้ ชายชราพลันแสดงอาการราวกับถูกฟ้าผ่า ก่อนจะตะโกนด้วยสีหน้าตื่นเต้นอย่างยิ่งยวด “พี่เขย! ข้าว่าแล้วว่าต้องเป็นท่าน!”

นักพรตเฒ่าเนื้อตัวสกปรกมอมแมมผู้นี้แทบจะกระโดดโลดเต้น ใบหน้าเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยความปีติยินดี

ซูอี้ “…”

ชายชราคนนี้เป็นน้องชายของเย่จื่อน้อย คนที่เคยครอบครองภพภูมิมืดมิด… ยมโลกในตอนนั้นจริง ๆ หรือ?

ทว่าในความทรงจำของข้า ไอ้เจ้าเด็กนั่นมีบุคลิกที่องอาจทั้งยังหล่อเหลาถือได้ว่าเป็นบุรุษที่สง่างามสมบูรณ์ไม่แพ้ผู้ใดในสามโลก

แต่ชายชราสกปรกตรงหน้าข้าตอนนี้…

สกปรกโสโครกยิ่งนัก!

“เจ้าคือเย่ซุ่นจริง ๆ หรือ?” ซูอี้ขมวดคิ้วถาม

ชายชราตะโกนอย่างตื่นเต้น “พี่เขย! ไม่ว่าจะเป็นโลกใด ใครบ้างจะเหนื่อยกับการมีชีวิตถึงขนาดกล้าแอบอ้างท่านเป็นพี่เขย!”

ซูอี้ “…”

ในที่สุดซูอี้ก็เชื่อว่าชายชราที่อยู่ตรงหน้าเขาคือเย่ซุ่น!

การพูดจาโผงผางแบบนี้และเรียกเขา ‘พี่เขย’ ทุกประโยคยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย

“เจ้ากลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?” ซูอี้ขมวดคิ้ว

ชายหนุ่มจำได้ว่าเมื่อตอนที่อยู่ในเมืองผีเสี่ยวเฟิงตู เขาได้พบกับธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อ ผู้ซึ่งเป็นคนของพรรคมารหยิน

ในเวลานั้นเองที่เขาได้รับรู้จากธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อ ว่าผู้ก่อตั้งโถงวิญญาณหยินทมิฬคือจักรพรรดิผีหมิงหลัวหรือก็คือน้องชายของเย่จื่อน้อย เย่ซุ่น!

ตามบันทึกโบราณของโถงวิญญาณหยินทมิฬ เย่ซุ่นได้นำผู้แข็งแกร่งสิบสามคนของสายเลือดปีศาจงูมายังทวีปคังชิงเมื่อสามหมื่นแปดพันปีก่อน และหลังจากที่เย่ซุ่นกลายเป็นจักรพรรดิ เขาก็ได้ก่อตั้งโถงวิญญาณหยินทมิฬ ส่วนสิบสามสายเลือดปีศาจงูก็ถูกขนานนามว่าสิบสามทูต

ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อเป็นทายาทของหนึ่งในสิบสามทูตศักดิ์สิทธิ์ ‘ทูตสวรรค์หมีเหอ’

ตามที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อกล่าว หลังจากพลังต้องห้ามแห่งยุคมืดโบราณปรากฏเหนือทวีปคังชิงเมื่อสามหมื่นปีก่อน เย่ซุ่นได้นำทูตศักดิ์สิทธิ์สิบสามคนไปค้นหาบ่อโบราณโกลาหลเพื่อหาวิธีที่จะต่อต้านพลังต้องห้ามแห่งยุคมืดโบราณ

นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าเย่ซุ่นกลับไปที่ยมโลกพร้อมกับคนของเขา

แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีผู้ใดยืนยันได้ว่าข่าวใดจริงหรือข่าวใดเท็จ

กล่าวโดยย่อ เมื่อสามหมื่นปีก่อน ด้วยการหายตัวไปของเย่ซุ่น ในปีต่อ ๆ มา ภายใต้การคุกคามของพลังต้องห้ามแห่งยุคโบราณ โถงวิญญาณหยินทมิฬจึงได้ถดถอยอย่างรวดเร็ว…

เมื่อนึกถึงเรื่องราวข่าวลือทั้งหมด ตอนนี้เย่ซุ่นกลับมาปรากฏตัวต่อหน้าด้วยสภาพน่าสังเวช ซูอี้จะไม่แปลกใจสงสัยได้อย่างไร?

“พี่เขย เรื่องของข้าช่างยาวนัก ข้าขอค่อย ๆ เล่าทีละเรื่องก็แล้วกัน”

เย่ซุ่นซึ่งอยู่ในร่างชายชรามอมแมมถอนหายใจยาว สีหน้าปีติยินดีกลายเป็นความขมขื่นและความผิดหวัง

ทว่าก่อนที่เย่ซุ่นจะได้เอ่ยเล่า ซูอี้ก็พูดแทรกตัดบทว่า “แม้เรื่องยาวแต่จงเล่าให้สั้น!”

เย่ซุ่น “…”

เดิมทีเย่ซุ่นวางแผนที่จะอารัมภบทถึงความขมขื่นและความรวดร้าวที่ตนเองเผชิญมานานแสนนานกับซูอี้

ทว่าตอนนี้เขากลับถูกพูดดักคอไว้อย่างรู้ทัน

เย่ซุ่นยิ้มอย่างเขินอายและกระอักกระอ่วน “แหะ ๆ พี่เขย หลายปีผ่านไปท่านก็ยังไม่เคยเปลี่ยน อันที่จริงเรื่องราวทั้งหมดเรียบง่ายมาก…”

เขาอธิบายทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

เช่นเดียวกับที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อเคยเล่าไว้ เย่ซุ่นมาถึงทวีปคังชิงเมื่อสามหมื่นแปดพันปีก่อน และเกือบหนึ่งพันปีต่อมา เย่ซุ่นได้บรรลุเต๋าและก้าวเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิได้สำเร็จก่อนจะก่อตั้งโถงวิญญาณหยินทมิฬ

ก่อนเกิดการปะทุของพลังต้องห้ามแห่งยุคมืดโบราณ โถงวิญญาณหยินทมิฬนั้นคือขุมกำลังผู้ฝึกผีอันดับหนึ่งของโลก

ทว่าหลังจากที่พลังต้องห้ามแห่งยุคโบราณปะทุออก เย่ซุ่นก็พาทูตศักดิ์สิทธิ์สิบสามคนออกไปค้นหาบ่อโบราณโกลาหล

น่าเสียดายที่แม้ว่าจะค้นหาอย่างไรพวกเขาก็ไม่พบบ่อโบราณโกลาหล

ในความสิ้นหวังเย่ซุ่นจึงวางแผนจะกลับไปที่ยมโลก

แต่ในเวลานั้น วิธีเดียวที่จะกลับไปยังยมโลกได้คือผ่าน ‘อาณาเขตผีหลิงหลง’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามสถานที่ต้องห้ามแสนอันตรายในต้าเซี่ย

แม้เป็นสถานที่ต้องห้าม แต่ภายในนั้นกลับมีเส้นทางเชื่อมไปสู่ยมโลก มันทะลุไปถึงสถานที่ที่มีชื่อว่า ‘แดนชำระบาป’ ซึ่งอยู่ในส่วนลึกของทะเลทุกข์ไร้ขอบเขตในยมโลก

เมื่อตอนที่เย่ซุ่นเดินทางมาทวีปคังชิง เขาก็ใช้เส้นทางนี้เช่นกัน

แต่โดยไม่คาดคิด เมื่อเย่ซุ่นวางแผนที่จะกลับไปตามเส้นทางเดิม เขากลับพบว่าเส้นทางนั้นถูกทำลายไปเสียแล้ว

ไม่เพียงเท่านั้น กลุ่มของเขาประสบกับหายนะร้ายแรงใน ‘อาณาเขตผีหลิงหลง’ อีกต่างหาก!

เมื่อเล่าถึงเหตุการณ์นี้ สีหน้าของเย่ซุ่นก็เผยความหวาดกลัวและพูดด้วยเสียงต่ำ “ในขณะนั้นเราพบชายผู้หนึ่งซึ่งน่ากลัวอย่างสุดแสนในอาณาเขตผีหลิงหลง แต่ทว่าเมื่อพวกเราถามเขาถึงแหล่งกำเนิดของคังชิง สถานการณ์กลับตาลปัตร พวกเราไม่ได้รับคำตอบที่คาดหวัง แต่กลับเป็นคำกล่าวที่บอกว่าเขาต้องการจับกุมพวกเราทั้งหมดแทน… ”

ซูอี้ถามกลับ “เจ้าพูดก้าวร้าวเกินไปในตอนนั้นหรือไม่?”

เขารู้นิสัยของเย่ซุ่นดี ย้อนกลับไปเมื่ออดีตเย่ซุ่นเป็นที่รู้จักไปทั่วยมโลกเรื่องความอหังการและมีเรื่องมีราวอยู่ตลอด และที่น่าปวดหัวสุดคือมักอาศัยชื่อเสียงของซูอี้ เพื่อคลี่คลายปัญหาที่ตัวเองไม่อาจแก้

เย่ซุ่นแสดงสีหน้าอับอายและโบกมืออย่างรวดเร็ว “โธ่พี่เขย! ตอนนั้นข้าเป็นจักรพรรดิที่มีชื่อเสียงแล้ว ข้าจะยังทำตัวไร้ยางอายเหมือนตอนที่ข้าอยู่ในยมโลกได้อย่างไร”

ซูอี้พ่นลมหายใจและพูดว่า “เช่นนั้นแล้วชายผู้นั้นเป็นใคร”

เย่ซุ่นส่ายหัวและพูดว่า “ข้ารู้แค่ว่าชายผู้นั้นอ้างตนเองว่าเป็น ‘พัศดี’ และปฏิบัติกับข้าและคนของข้าประหนึ่งนักโทษหนีคดีอาญา”

คิ้วของซูอี้ขมวดอย่างกะทันหัน

พัศดี!

วิหคอัปมงคลเก้าเศียรซึ่งอ้างว่าตนเป็น ‘เทพแห่งความกรุณา’ ถูกคร่ากุมโดยชายที่แข็งแกร่งซึ่งอ้างว่าเป็นพัศดีในเวิ้งหกดาราขณะที่กำลังข้ามผ่านจักรวาลพร่างดาวและถูกคุมขังในถ้ำหมิงหลิง!

“ไอ้ชายผู้นั้นมันบัดซบยิ่งนักพี่เขย ขณะที่มันจู่โจมพวกข้า มันกล่าวอ้างว่าการกระทำของมันเป็น ‘บัญชาจากสวรรค์’ ข้าไม่เคยเห็นคนไร้ยางอายเช่นมันมาก่อนตั้งแต่เกิดมา!”

เย่ซุ่นสาปแช่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างขมขื่นว่า “แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าต้องยอมรับคือชายผู้นั้นแข็งแกร่งอย่างแท้จริง ระดับการฝึกฝนของมันเทียบเท่ากับข้า แต่พลังการต่อสู้ของมันนั้นน่ากลัวยิ่งนัก”

“ที่เหลือเชื่อไปกว่านั้นคือมันสามารถควบคุมพลังต้องห้ามยุคโบราณได้ ในตอนนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าเกือบทั้งหมดถูกมันจับไปอย่างง่ายดาย และแม้แต่ข้าเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอด หากไม่ได้ ‘ยันต์ดาบทะเลทุกข์ไร้ประมาณ’ ที่ท่านมอบให้ไว้ ข้าคงไม่มีทางรักษาเศษเสี้ยววิญญาณบางส่วนเอาไว้ได้และรอดชีวิตจากไอ้พัศดีนั่น!”

จากนั้นเย่ซุ่นก็ถอนหายใจหนักหน่วง “ในตอนนั้นถึงแม้ว่าข้าจะเอาตัวรอดมาได้ แต่พลังต้องห้ามแห่งยุคมืดโบราณได้ปกคลุมทั้งทวีปคังชิงแล้ว การที่ข้าเหลือแค่เพียงเศษเสี้ยวของวิญญาณ ข้าจึงไม่สามารถต้านทานพลังต้องห้ามแห่งยุคมืดโบราณได้เลย”

“ทว่าในความสิ้นหวังข้าบังเอิญพบศพที่พอใช้ได้ในสนามรบแห่งหนึ่ง ข้าจึงยึดมันเป็นที่พักพิงเพื่อพักฟื้น เพียงแค่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เองที่ข้าเพิ่งฟื้นคืนความความแข็งแกร่งมาได้บ้างจนข้ากล้าที่จะออกเดินทางเตร็ดเตร่”

หลังจากฟัง ซูอี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและเอ่ยถาม

“ข้าจำได้ว่า ‘ยันต์ดาบทะเลทุกข์ไร้ประมาณ’ เป็นสิ่งที่ข้ามอบให้กับพี่สาวของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดมันถึงตกไปอยู่ในมือของเจ้าได้?”

เย่ซุ่นตอบอย่างไม่ปิดบัง “เมื่อตอนนั้นก่อนที่ข้าจะเดินทางมายังมหาทวีปคังชิง พี่สาวของข้ากังวลว่าข้าจะมีอันตราย ดังนั้นนางจึงมอบสมบัตินี้ให้ข้า”

ซูอี้ “…”

ถึงตอนนี้เขาคงเข้าใจแล้ว

เมื่อสามหมื่นปีก่อน ด้วยการมาถึงของพลังต้องห้ามแห่งยุคมืดโบราณ พัศดีจากสำนักมรรคาสวรรค์ก็ปรากฏตัวขึ้นในทวีปคังชิงเพื่อค้นหาต้นกำเนิดแห่งคังชิง

และเหตุผลที่เย่ซุ่นกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะเขาเกือบถูกพัศดีฆ่า

‘พัศดีที่เย่ซุ่นพบใช่ตัวตนที่อยู่ในส่วนลึกของถ้ำอุกกาบาตหรือไม่?’ ซูอี้ไม่แน่ใจเล็กน้อย

เพราะตามคำกล่าวของเทพแห่งความกรุณา พัศดีที่มาจากสำนักมรรคาสวรรค์ไม่ได้มีเพียงหนึ่ง!

“พี่เขย ข้ารู้สึกดีใจจริง ๆ ที่ได้พบท่านครั้งนี้ไม่อย่างนั้นข้าเองก็คงไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรในอนาคต”

ใบหน้าของเย่ซุ่นเต็มไปด้วยความสุขและความตื่นเต้น

รูปลักษณ์ก่อนหน้านี้ที่น่าสังเวชใจ เขาดูไม่เหมือนจักรพรรดิผีหมิงหลัวเมื่อในอดีตแม้แต่น้อย

ต่อให้ตัวตนใหญ่โตของโถงวิญญาณหยินทมิฬที่เคยอยู่ในยุคเมื่อหลายหมื่นปีก่อนมาเห็นเข้า พวกเขาเองก็คงไม่อาจเชื่อเช่นกันว่านี่คือคน ๆ เดียวกันกับผู้ที่ก่อตั้งนิกายของพวกเขา

“ถ้าเย่จื่อน้อยมาเห็นน้องชายสุดที่รักของนางตกอยู่ในสภาพน่าอนาถเช่นนี้ ข้าเกรงว่านางคงจะเสียใจจนน้ำตาหลั่งริน…”

ซูอี้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเย่จื่อน้อย จักรพรรดินีคนแรกในประวัติศาสตร์ของเผ่าปีศาจงูผู้ซึ่งทำให้หัวใจของซูอี้สามารถสั่นคลอนได้

หลังจากสงบสติอารมณ์แล้วซูอี้จึงพูดว่า “ว่าแต่เจ้าจำข้าได้อย่างไร?”

เย่ซุ่นตอบกลับรวดเร็ว “พี่เขย แม้ตอนนี้ท่านจะดูเยาว์วัยและหน้าตาเปลี่ยนไปจากเดิมบ้าง แต่อารมณ์และบุคลิกของท่านแทบไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ยิ่งไปกว่านั้นท่านเป็นพี่เขยของข้า มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ข้าจะจำพี่เขยของตัวเองไม่ได้?”

ซูอี้ “…”

เขาจำสิ่งหนึ่งได้และเอ่ยถาม “แล้วทำไมเจ้าไม่ไปที่โถงวิญญาณหยินทมิฬเพื่อขอความช่วยเหลือก่อนที่เจ้าจะมาพบข้า ที่นั่นคือขุมกำลังที่เจ้าสร้างขึ้นมากับมือไม่ใช่หรือไร?”

เย่ซุ่นชี้ไปที่จมูกของเขาและพูดอย่างช่วยไม่ได้ “พี่เขย นี่ก็ผ่านมาสามหมื่นปีแล้ว และสภาพข้าในตอนนี้ใครจะจำข้าได้บ้าง?”

“นับว่าจริง” ซูอี้พยักหน้า

เย่ซุ่นถูมือของตัวเองและพูดอย่างเขินอายเล็กน้อย “พี่เขย ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอความช่วยเหลือจากท่าน”

“ตราบใดที่เจ้าไม่เรียกข้าว่าพี่เขยอีก ข้าจะยอมช่วยเจ้า”

ซูอี้พูดอย่างไม่ใส่ใจ

“ได้ ๆ!”

เย่ซุ่นพยักหน้ารับคำอย่างมีความสุข และพูดต่อทันทีว่า “เช่นนั้นข้าจะเรียกท่านแบบนั้นในใจตัวเองอย่างเดียวก็ได้”

ซูอี้อดไม่ได้ที่จะนวดขมับตัวเองด้วยมือซ้าย แน่นอนว่าไอ้เด็กคนนี้ยังคงหัวรั้นในเรื่องนี้เหมือนเดิม ไม่ว่าเขาจะพูด ข่มขู่ หรือ อ้อนวอนมันอย่างไร ไอ้เด็กคนนี้มันก็ไม่เคยยอมเรื่อง ‘พี่เขย’ เลยสักครั้ง

“มา ๆ มีอะไรก็พูดมา” ซูอี้เอ่ยออกอย่างระอาใจ

เมื่อนึกถึงหน้าของเย่จื่อน้อย เขาจะไม่สนใจไยดีเย่ซุ่นได้อย่างไร?

เย่ซุ่นสูดหายใจเข้าลึกและกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าอยากจะขอร้องพี่เขย… แค่ก ๆ ไม่ใช่! ข้าอยากขอร้องพี่ชายซูให้ช่วยข้าค้นหาร่างเต๋าเดิมของข้าที่อยู่ในอาณาเขตผีหลิงหลง!”

ซูอี้พูดอย่างงงงวย “ผ่านมาสามหมื่นปี ป่านนี้ร่างเต๋าเดิมของเจ้าย่อมเสื่อมเน่าไปแล้ว เจ้าจะเอามันไปทำอะไรอีก?”

เย่ซุ่นกล่าวอย่างรวดเร็ว “พี่เขย… แค่ก ๆ ไม่ใช่! พี่ชายซู แม้ว่าร่างเต๋าเดิมของข้าจะเสียหายมากในตอนนั้น แต่มันก็ไม่ได้ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ ก่อนที่เศษเสี้ยววิญญาณที่เหลือของข้าจะหนีไป ข้าได้ใช้ทักษะลับของเผ่าปีศาจงูผนึกแก่นแท้เต๋าในร่างเอาไว้”

หลังจากหยุดชั่วคราว เขาก็กล่าวต่อ “ตราบใดที่ข้าสามารถหาร่างเต๋าเดิมของข้าได้พบ ข้าก็จะสามารถบ่มเพาะใหม่ได้อีกครั้ง!”

จากนั้นเย่ซุ่นมองซูอี้อย่างคาดหวัง

ซูอี้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตกลง

ก่อนหน้านี้เขาวางแผนจะออกเดินทางไปยังนครหลวงจิ๋วติ่งแห่งต้าเซี่ยอยู่แล้วหลังจากก้าวเข้าสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเพื่อช่วยจักรพรรดิต้าเซี่ยคนปัจจุบันซ่อมแซมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน

อาณาเขตผีหลิงหลงตั้งอยู่ในอาณาเขตของต้าเซี่ย ซึ่งเป็นที่รู้จักว่าเป็นหนึ่งในสามสถานที่ต้องห้ามในต้าเซี่ย

นอกจากนี้ เหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับน้องชายของเย่จื่อน้อย ดังนั้นซูอี้จะนิ่งเฉยได้อย่างไร?

เมื่อเห็นซูอี้รับปาก เย่ซุ่นก็โพล่งออกด้วยความดีใจว่า “ขอบคุณพี่เขย! ข้ารู้ว่าพี่เขยไม่มีวันทอดทิ้งข้า ฮ่าฮ่าฮ่า!”

ซูอี้ “…”

ทั้ง ๆ ที่รับปากแล้วไอ้เด็กคนนี้ก็ยังไม่หยุดเรียกเขาว่าพี่เขยสักที!

ไม่สิ อันที่จริงไอ้เด็กคนนี้ไม่เคยตั้งใจจะหยุดเรียกเลยต่างหาก!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด