บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 490: ยังจริงใจไม่พอ

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 490: ยังจริงใจไม่พอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 490: ยังจริงใจไม่พอ

ตอนที่ 490: ยังจริงใจไม่พอ

สีหน้าของเฒ่าปีศาจฮว่าถูแฝงไปด้วยความหวาดกลัว พลันได้สติกลับมาจากความโกรธเกรี้ยวที่แทบจะคลุ้มคลั่งนั้น และมิกล้าขยับเขยื้อนอีก

ภายในตำหนักพังพินาศไปหมด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทุกที่

ทุกคนต่างมองไปที่ชายชราชุดเทาผู้นั้นเป็นตาเดียว

แต่ชายชราชุดเทากลับไม่สนใจคนเหล่านั้นเลย

เขาจัดเสื้อผ้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันไปทางซูอี้ และเอ่ยด้วยท่าทางเคารพยำเกรง “ข้าน้อยเวิงจิ่ว คารวะคุณชาย”

ทุกคนต่างตกใจ

ฮูหยินโหรวยิ่งเบิกตากว้าง ในใจรู้สึกถึงคลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง

นางอาศัยอยู่ในนครหลวงจิ๋วติ่งมาหลายปี มีฐานะเป็นถึงเจ้าของฮ่วนซีชา และเป็นคนสำคัญคนหนึ่ง ผู้ที่สามารถเข้าตานางได้ มีเพียงมหาปราชญ์ที่ก้าวเข้าสู่วิถีวิญญาณเท่านั้น

ทว่า ด้วยฐานะของนาง เมื่อเห็นชายชราชุดเทา ก็ยังต้องเรียกอย่างเคารพยกย่องว่าเป็น ‘ผู้อาวุโสจิ่ว’ และมิกล้าดูแคลนเลยแม้แต่น้อย!

แต่นางกลับไม่นึกเลยว่า ด้วยฐานะของผู้อาวุโสจิ่ว เขาจะเข้าไปคารวะชายหนุ่มคนหนึ่งก่อน!

“ที่แท้ ฐานะของคนผู้นี้มีบางอย่างผิดปกติ!”

ดวงตาคู่งามของฮูหยินโหรววูบไหว

นางมองออกก่อนหน้านี้แล้วว่า ซูอี้ที่ค่อนข้างเยือกเย็นและไม่สะทกสะท้านนั้นผิดปกติเป็นอย่างมาก ยามนี้นางถึงได้รู้ว่า ที่แท้อีกฝ่ายก็มีคนคอยหนุนหลังอยู่จริง ๆ

ครั้นเห็นเหตุการณ์นี้ กู่ชางหนิงก็รู้สึกตกใจเช่นกัน

เดิมทีพลังของซูอี้ก็เรียกได้ว่าพลิกฟ้าอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนยามนี้ เบื้องลึกของซูอี้นั้นจะเก่งกาจเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้อย่างมาก!

สามารถทำให้ตัวตนน่าหวาดกลัวผู้นี้คารวะก่อนได้ นี่จะเปรียบเทียบกับคนทั่วไปได้อย่างไร?

เฒ่าปีศาจฮว่าถูรู้สึกไม่สบายใจ และเห็นท่าจะไม่ดี

“ผู้อาวุโสจิ่ว เหตุใด… ท่าน… ท่านถึงได้คารวะผู้ฝึกตนตัวจ้อยที่มาจากต้าโจวกัน?”

เซี่ยจิ้งอวี่ที่อยู่ไกล ๆ มีท่าทางไม่อยากจะเชื่อ

“ท่านจวิ้นอ๋อง ในฐานะที่ท่านเป็นถึงเชื้อพระวงค์ กลับคลุกคลีอยู่กับคนในลัทธิมาร ช่างผิดข้อห้ามที่ใหญ่หลวงนัก”

ชายชราชุดเทาที่มีนามว่าเวิงจิ่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ยามนี้ท่านจงหลับไปเสีย รอฟื้นเมื่อใด บิดาท่านจะให้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ให้แก่ท่านเอง”

ขณะเอ่ย เขาได้ยกมือขึ้นชี้

เซี่ยจิ้งอวี่ก็สลบลงไปทันที

นักพรตหญิงเฟิงตกใจจนเหงื่อท่วมตัว รีบคลานไปบนพื้นอย่างตื่นกลัวสั่นเทา

“คุณชาย ท่านว่าเราควรจะจัดการกับคนที่เหลืออย่างไรดี?”

สายตาเวิงจิ่วมองกลับไปที่ซูอี้อีกครั้ง น้ำเสียงแสดงถึงความถ่อมตัวและเคารพเล็กน้อย

ครั้นคำพูดนี้ดังออกไป เฒ่าปีศาจฮว่าถูก็เหมือนรู้สึกจมสู่ก้นเหว พลางเอ่ย “สำนักอสูรเทียนเยียนมิเคยล่วงเกินสหายเต๋า ทว่าสหายเต๋ากลับเข้ามาแทรกแซง หรือว่าสหายอยากเป็นศัตรูกับสำนักอสูรเทียนเยียนของข้า?”

เวิงจิ่วไม่ได้สนใจอีกฝ่าย เขาก้มตัวเล็กน้อย คล้ายกับรอซูอี้ตัดสินใจ

“เจ้ามาได้จังหวะเหมาะเจาะจริง ๆ”

ซูอี้ขมวดคิ้วพลางถอนหายใจออกมาเบา ๆ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความจนใจเล็กน้อย

คนพวกเดียวกันมาช่วยเหลือถึงที่ด้วยตัวเอง เขามิอาจโมโหได้จริง ๆ

ฮูหยินโหรวตื่นตระหนก เหตุใด… ชายผู้นี้ถึงกล้าคุยกับผู้อาวุโสเวิงเช่นนี้?

แต่ที่เหนือการคาดเดาของนางคือ ไม่เพียงแต่เวิงจิ่วจะไม่โกรธแล้ว เขายังเผยสีหน้าละอายใจออกมา “คุณชายอย่าได้ตำหนิเลย ข้าน้อยไม่นึกเลยว่า ตอนที่หาท่านพบจะเจอกับเรื่องเช่นนี้ ฉะนั้นในสถานการณ์เยี่ยงนี้ ข้าน้อยย่อมมิอาจยอมให้คุณชายเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นได้”

หา!

ฮูหยินโหรวแอบตกใจกับตัวเอง ด้วยท่าทางของผู้อาวุโสจิ่ว ก็ยิ่งทำให้นางมั่นใจ ว่าชายหนุ่มสวมชุดเขียวที่มาจากต้าโจวผู้นี้ มีฐานะที่ไม่ธรรมดาแน่!

“เช่นนั้นเจ้าว่า เรื่องในคืนนี้ควรจัดการอย่างไร?”

ซูอี้ถาม

เวิงจิ่วครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนหมุนตัวกลับ มองไปทางเฒ่าปีศาจฮว่าถู พลางเอ่ยอย่างจริงจัง “เฒ่าปีศาจฮว่าถู ข้าขอเอาชีวิตเจ้า”

ทันทีที่น้ำเสียงดังขึ้น เฒ่าปีศาจฮว่าถูก็เห็นท่าจะไม่ดี

และเมื่อได้ฟังคำพูดของเวิงจิ่วจบ เขาก็ไม่รีรอหมุนตัวหลบหนีไปทันที

พรึบ!

เมื่อผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอยากหลบหนี ความเร็วในการหนีย่อมรวดเร็วยิ่งเป็นธรรมดา

ร่างของเฒ่าปีศาจฮว่าถูกลายเป็นแสงโลหิต และหายลับไปในอากาศ รวดเร็วจนคนตอบสนองไม่ทัน

แต่เวิงจิ่วกลับส่ายหน้า ยื่นมือไปคว้า

ตูม!

กลางอากาศด้านนอกตำหนักไกล ๆ พลันปรากฏมือขนาดใหญ่ที่แปรสภาพมาจากพลังต้องห้ามที่มีขนาดหนึ่งร้อยจั้ง คว้าเอาไว้อย่างรุนแรง

อากาศบริเวณนั้นปั่นป่วน ร่างที่คล้ายกับแมลงวันถูกมือขนาดใหญ่นั้นจับกุมเอาไว้ พลันปรากฏออกมาเป็นเฒ่าปีศาจฮว่าถูที่หลอบหนีไปก่อนหน้านี้

กึด!

เฒ่าปีศาจฮว่าถูไม่ทันได้ดิ้นรน ร่างกายเขาก็ถูกบีบ ขวัญหนีกระเจิง

ภาพเหตุการณ์นั้น ทำให้ฮูหยินโหรวผู้ฝึกตนที่มีขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเช่นเดียวกันรู้สึกตกใจจนเหงื่อออกท่วมตัว ใบหน้าของนางขาวซีด

กู่ชางหนิงเบิกตาอ้าปากค้าง

ในโลก ณ ปัจจุบัน มหาปราชญ์วิถีวิญญาณคือผู้ฝึกตนระดับสูงสุดแล้ว อานุภาพทั่วร่างนั้น สามารถสยบกองกำลังฝึกฝนหนึ่งได้ และสามารถก่อความวุ่นวายไปทั่วใต้หล้าได้

ทว่ายามนี้ เฒ่าปีศาจที่มีขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ กลับถูกสังหารราวกับแมลงวัน!

ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลางเอ่ยด้วยความสนใจ “ที่แท้เจ้าก็ยังสามารถใช้พลังต้องห้ามเช่นนี้ได้ด้วย?”

เขาจะมองไม่ออกได้อย่างไร พลังที่เวิงจิ่วใช้ คือพลังของค่ายกลต้องห้ามขนาดใหญ่โบราณที่ติดตั้งไว้รอบนครหลวงจิ๋วติ่ง?

มีเก้าเตาศักดิ์สิทธิ์เป็นฐานค่ายกล เชื่อมเข้ากับชีพจรมังกรข้างใต้ เมื่อใช้มัน อานุภาพนั้นหาใช่คนอย่างเฒ่าปีศาจฮว่าถูจะต้านทานเอาไว้ได้!

เวิงจิ่วกุมมือคำนับพลางเอ่ย “ย่อมทราบว่ามิอาจปิดบังตาของคุณชายได้ แต่ว่า ด้วยความสามารถของข้าน้อย อย่างมากก็ทำได้แค่ใช้พลังของค่ายกลต้องห้ามนี้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และยังได้รับการสะท้อนกลับของพลังได้ง่ายด้วย”

พักไปครู่หนึ่ง เขาก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ “เหมือนกับครานี้หลังจากที่ลงมือ มันค่อนข้างยากที่จะใช้พลังเช่นนี้อีกครั้งภายในระยะเวลาสั้น ๆ ได้”

เขาดูเหมือนสงบนิ่งเช่นเดิม ทว่าตรงขมับและหน้าผากนั้นเต็มไปด้วยเหงื่อ

…ไม่แปลกใจที่การโจมตีเมื่อครู่นั้นจะทำให้ตัวตนน่าสะพรึงกลัวเช่นเขาสูญเสียพลังไปอย่างมาก

เวิงจิ่วเอ่ยด้วยความจริงจัง “แน่นอนว่า หากมันสามารถช่วยสังหารศัตรูและระงับโทสะที่อยู่ภายในใจคุณชายได้ การสูญเสียนี้… ไม่ถือว่ามากอะไร”

ซูอี้ส่งเสียงตอบรับเป็นอันเข้าใจออกมา และเอ่ยด้วยการแสร้งทำเป็นยิ้ม “สังหารตัวตนที่มีขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณผู้หนึ่งต่อหน้าข้า เพื่อให้ข้ารู้สึกติดหนี้บุญคุณนายท่านของเจ้าสินะ”

เวิงจิ่วชะงักไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นลุ่มลึกขึ้น ก่อนเอ่ยเสียงเบา “คุณชายคิดว่าสิ่งนี้ยังแสดงความจริงใจออกไม่พอรึ?”

ซูอี้เอ่ยอย่างเย็นชา “แม้คืนนี้เจ้าไม่มา คนที่ตายก็ย่อมไม่มีชีวิตรอดไปอยู่แล้ว แต่อย่างไรเจ้าก็ช่วยเหลือข้า ข้ามิอาจไม่ซาบซึ้งได้”

ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาก็ส่ายหน้า “น่าเสียดาย น้ำใจเช่นนี้ยังแอบแฝงไปด้วยจุดประสงค์อื่น และไม่ต่างอะไรกับการคุยแลกเปลี่ยนกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ความจริงใจแบบนี้… แน่นอนว่าไม่พอ”

เขาจะดูไม่ออกได้อย่างไร ที่เวิงจิ่วผู้นี้เดินทางมาด้วยตัวเอง เพราะมีคำขอร้องแน่นอน!

และตามที่คาดเดาไว้ มันต้องเกี่ยวข้องกับพลังค่ายกลต้องห้ามโบราณที่ติดตั้งไว้รอบนครหลวงจิ๋วติ่งแน่

ในสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้อีกฝ่ายออกโรงช่วยเหลือ และสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ เพื่อแสดงความจริงใจออกมา ซูอี้ก็ไม่ซาบซึ้งหลั่งน้ำตาต่อการกระทำนี้

เวิงจิ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า “เมื่อเทียบกับฝีมือของคุณชาย… จริง ๆ แล้วความจริงใจที่ข้าน้อยมอบให้ ไม่ควรถูกนับว่ามีค่าเลยจริง ๆ”

กู่ชางหนิง “???”

สังหารเฒ่าปีศาจที่อยู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณไปคนหนึ่ง ยังไม่ถือว่า… เป็นการแสดงความจริงใจที่ควรค่า?

กู่ชางหนิงสับสนมึนงง

เขาฟังบทสนทนาระหว่างเวิงจิ่วกับซูอี้ไม่ออก ถึงขั้นสงสัยว่าเวินจิ่วกับซูอี้มีความสัมพันธ์แบบใดกันแน่

ฮูหยินโหรวรู้สึกสั่นเทา นางแอบร้องว่าแย่แล้วออกมา

ยังจริงใจไม่พอ? เช่นนั้นจะบอกว่าผู้อาวุโสจิ่วยังต้องสังหารคนอีกรึ!?

เจ้าของฮ่วนซีชา มหาปราชญ์ขอบเขตแปลเปลี่ยนวิญญาณที่งดงามผู้นี้ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว นางก้าวขึ้นมาด้านหน้าพลางเคารพ “สหายเต๋าซู ก่อนหน้านี้ข้ามีตาหามีแววไม่ ขอให้ท่านอย่าได้เอาความเลย”

น้ำเสียงเจือไปด้วยความกังวล ความรู้สึกผิดเสียใจ และความขมขื่น

ทำให้คนที่มีฐานะเช่นนาง ก้มหัวให้ชายหนุ่มผู้หนึ่ง รู้ได้เลยว่าจะรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมกับจำใจมากเพียงใด

แต่ไม่มีทางอื่นแล้ว สถานการณ์ย่อมแกร่งกว่าตัวบุคคล

เมื่อมีเวิงจิ่วอยู่ นางมิอาจไม่ก้มหัวได้!

ซูอี้เหลือบมองฮูหยินโหรว และกล่าวว่า “ข้าเกลียดการยืมอำนาจผู้อื่นมาข่มขู่คนแต่ไหนแต่ไรแล้ว หากเจ้ารู้สึกไม่เป็นธรรม ก็ไปหาข้าได้ทุกเมื่อ”

ร่างอรชรของฮูหยินโหรวสั่นเทา นางเอ่ยเสียงเบาพลางก้มหัว “ข้ายังไม่ทันได้ซาบซึ้งการให้อภัยของสหายเต๋าเลย แล้วข้าจะกล้าก่อเรื่องขึ้นมาอีกได้อย่างไร”

ซูอี้รู้สึกทอดถอนใจ

ช่างเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมมากจริง ๆ แต่น่าเสียดาย นางคงหวาดกลัวต่ออานุภาพนั้นของเวิงจิ่ว จึงมิกล้าเป็นศัตรูกับเขาอีก…

เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ซูอี้จึงหมดความสนใจไปอย่างช่วยไม่ได้ พลางหมุนตัวเดินไปอยู่ด้านข้างกู่ชางหนิง เขาแบกเยว่ซือฉานที่หมดสติเอาไว้บนหลัง จากนั้นก็เอ่ยกับกู่ชางหนิง “ขอบคุณมาก”

กู่ชางหนิงเอ่ยด้วยความขมขื่น “ข้าไม่ได้ช่วยอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้น ตอนคราวก่อน เป็นข้าติดหนี้บุญคุณศิษย์พี่ซู นี่จึงเป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำ”

ซูอี้เอ่ย “นั่นมันคนละเรื่องกัน และจากนี้ไปหากเจ้าเจอความลำบาก ก็มาหาข้าได้”

เมื่อเอ่ยจบ เขาก็แบกเยว่ซือฉานเดินออกไปด้านนอกตำหนัก

ครั้นเวิงจิ่วเห็นเช่นนี้ เขาก็อดเอ่ยขึ้นไม่ได้ “คุณชาย นายท่านข้าอยากพบท่านในคืนนี้…”

ไม่รอให้เอ่ยจบ ซูอี้ก็เอ่ยขัดโดยไม่หันกลับไปมองทันที “คืนนี้ไม่มีเวลา พาเขามาหาข้าวันอื่นก็แล้วกัน”

เวิงจิ่ว “…”

จนกระทั่งร่างของซูอี้หายลับไปแล้ว เวิงจิ่วอดที่จะลูบจมูกไม่ได้ พลางเอ่ยด้วยความทอดถอนใจ “การหยิ่งเพราะมีความรู้ความสามารถ ช่างทำให้คนอิจฉาจริง ๆ …”

ซูอี้หยิ่งยโสรึ?

หยิ่งยโสเป็นอย่างมาก!

แต่กลับทำให้เวิงจิ่วมิกล้าโกรธ

ไม่มีทางอื่น นี่คือสิ่งที่เรียกว่าขอความช่วยเหลือจากคนอื่น!

ในยามนี้ ฮูหยินโหรวรู้สึกผ่อนคลายลงแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเวิงจิ่ว ก็ยังกังวลและยำเกรงเช่นเดิม พลางเอ่ยเสียงเบา “ผู้อาวุโสจิ่ว คุณชายซูผู้นี้มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใดกันแน่ ด้วยฐานะของท่าน เหตุใด…”

เวิงจิ่วเอ่ยด้วยท่าทางสงบนิ่ง “ฮูหยินโหรว ทางที่ดีอย่าได้ถามในสิ่งที่มิควรถามเลย ข้าหวังว่าเรื่องในคืนนี้จะไม่ถูกแพร่งพรายออกไปทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น เจ้าเข้าใจหรือไม่?”

ฮูหยินโหรวรู้สึกสั่นเทา และพยักหน้าตอบรับ “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว เพียงแต่… เบื้องหลังซือคงเป้าผู้นั้นยังมีสำนักอสูรเทียนเยียนอยู่…”

ใบหน้าเวิงจิ่วเผยความเหยียดหยามออกมา “ในยามนี้ สำนักอสูรเทียนเยียนหาใช่กลุ่มวิถีปราชญ์ยอดเยี่ยมอย่างเมื่อสามหมื่นปีก่อนไม่ พวกเขาเป็นแค่กลุ่มปีศาจที่โชคดีมีชีวิตรอดมาจากการจองจำแห่งยุคมืดก็เท่านั้น หากริอาจมาก่อความวุ่นวายในนครหลวงจิ๋วติ่งจริง ๆ ก็ต้องตายสถานเดียว”

เมื่อพักไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยต่อ “แม้กองกำลังที่อยู่เบื้องหลังตัวตนโบราณเหล่านั้นจะมีพื้นเพที่มิอาจดูแคลนอยู่บ้าง ทว่าในจำนวนนั้นไม่มีสำนักอสูรเทียนเยียนแน่นอน”

เมื่อฮูหยินโหรวฟังจบ ก็ผ่อนคลายลงทันที

สายตาของเวิงจิ่วมองไปทางนักพรตหญิงเฟิงที่อยู่ไกล ๆ “พานายของเจ้ากลับไป และอย่าได้แพร่งพรายเรื่องในวันนี้ออกไปเด็ดขาด”

“เจ้าค่ะ!” นักพรตหญิงเฟิงขานรับด้วยความขลาดกลัว

เวิงจิ่วหมุนตัวเดินออกไป

ครั้นร่างของเขาหายลับไปในความมืดแล้ว สายตาของฮูหยินโหรวก็เคลื่อนมองตำหนักที่พังพินาศ มีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว ทำให้นางอดรู้สึกขมขื่นไม่ได้

ครานี้ ฮ่วนซีชาของพวกนางพ่ายแพ้อย่างราบคาบ และทำได้แค่ฝืนยอมรับความโชคร้ายไป…

“แซ่ซูผู้นั้น คือผู้ใดกันแน่? เหตุใดถึงทำให้ผู้อาวุโสจิ่วให้ความสำคัญเช่นนี้?”

ทันใดนั้น ในหัวของฮูหยินโหรวผุดร่างชายหนุ่มที่หล่อเหลาดุจหยก สวมชุดสีเขียวคนหนึ่งขึ้นมา พลันใบหน้างดงามเผยความห่อเหี่ยวขึ้นเล็กน้อย

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *