บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 269: วิธีการนี้ เรียกว่าผิวเผินมิได้ด้วยซ้ำ

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 269: วิธีการนี้ เรียกว่าผิวเผินมิได้ด้วยซ้ำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 269: วิธีการนี้ เรียกว่าผิวเผินมิได้ด้วยซ้ำ
ตอนที่ 269: วิธีการนี้ เรียกว่าผิวเผินมิได้ด้วยซ้ำ

ซูอี้ตกใจเล็กน้อย

ชายผู้นี้… อยากจะเชิญชวนเขา?

รับชมท่าทีดังกล่าว หวังจั๋วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเสริมทันที “แน่นอนว่า คุณชายซูต้องรู้สึกว่าถูกล่วงเกิน แต่เพื่อแสดงความจริงใจแล้ว หวังผู้นี้สามารถรับปากได้สองเรื่อง”

เขายื่นนิ้วมือหนึ่งออกมา “เรื่องแรก หากคุณชายซูเข้าร่วมกองกำลังข้า หวังผู้นี้รับรองว่า ตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิงจะมิกล้าลงมือกับคุณชายอีก”

ขณะที่เอ่ยอยู่ เขาก็ยื่นนิ้วที่สองขึ้นมา “เรื่องที่สอง หวังผู้นี้รับรองว่า จะทำให้คุณชายมีโอกาสได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางการฝึกบำเพ็ญวิถีต้นกำเนิด และยังได้รับคำชี้แนะในระดับวิถีวิญญาณส่วนตัวจากข้า!”

“ด้วยพื้นฐานและพรสวรรค์ของคุณชาย รวมทั้งได้รับคำชี้แนะเรื่องวิถีวิญญาณ จากนี้ไปหากอยากก้าวเข้าสู่วิถีวิญญาณ ก็มิใช่เป็นเรื่องที่เป็นไปมิได้”

เมื่อเอ่ยจบ เขาก็ยิ้มออกมาพลางดื่มเหล้าไปหนึ่งจอก “นี่คือความบริสุทธิ์ใจของหวังผู้นี้ ขอเชิญคุณชายพิจารณา”

เขามีมารยาทและสุภาพ ใบหน้ามีความมั่นใจ มีท่าทางการพูดที่ไม่สะทกสะท้าน หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ๆ มาอยู่ที่นี่ เกรงว่าคงยากที่จะไม่คิดเปลี่ยนใจ

ถึงอย่างไร นี่ก็เป็นการรับประกันของหวังจั๋ว!

แต่ช่างน่าเสียดายนัก ที่เขาคิดผิดไปเรื่องหนึ่ง

สำหรับผู้อื่นในต้าโจว อาจรู้ว่าเจ้าตำหนักเทียนสิงอย่างหวังจั๋วเปล่งประกายมากเพียงใด และมีอำนาจยิ่งใหญ่แค่ไหน

ทว่าซูอี้… ไม่รู้ฐานะของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

หากเอ่ยย้อนกลับไป ต่อให้รู้ ก็ต้องหัวเราะอย่างแน่นอน

ทันใดนั้นซูอี้ยื่นนิ้วมือออกมาเคาะเบา ๆ บนโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าตนเอง แล้วเอ่ยขึ้น “อยากฟังความจริงหรือไม่?”

หวังจั๋วยิ้มออกมาเล็กน้อย “คุณชายซูสามารถกล่าวได้เต็มที่ หวังผู้นี้จะตั้งใจฟัง”

ซูอี้เอ่ยอย่างเย็นชา “ที่เจ้าเรียกว่าความบริสุทธิ์ใจ ในสายตาข้ามันคือเรื่องตลก”

“เรื่องตลก?”

ใบหน้าที่มีรอยยิ้มของหวังจั๋วพลันหายไป เขาขมวดคิ้วเอ่ย “ขอเชิญคุณชายอธิบายให้ชัดเจน”

ซูอี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “เพื่อเห็นแก่ความไม่รู้ของเจ้า ข้าจะเอ่ยสองประโยคออกมาเป็นกรณีพิเศษ”

ไม่รู้…

มุมปากหวังจั๋วกระตุกเล็กน้อย อยากจะร้องก็ร้องไม่ออก เขาอยากจะดูว่าซูอี้จะให้เหตุผลแบบใดออกมา

“ที่ข้าออกเดินทางไปมหานครหลวงอวี้จิงในครั้งนี้ เพราะต้องการสะสางบุญคุณความแค้นกับตระกูลซู เจ้าคิดว่าข้าจะกังวลว่าตระกูลซูจะจัดการข้ารึ? นี่คือข้อแรก”

ซูอี้ยิ้มเยาะ “ส่วนที่เจ้าเรียกว่าการให้คำชี้แนะวิถีวิญญาณ บทบาทนี้ เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะวิจารณ์การฝึกบำเพ็ญกับข้าซูผู้นี้เลย”

หวังจั๋วยิ้มเฝื่อน ประหนึ่งตกใจกับคำพูดที่เต็มไปด้วยการเหยียดหยามดูถูกของซูอี้

ไม่นาน เขาถึงส่ายหน้าด้วยความรู้สึกปลง “คุณชายซู การที่อายุยังน้อยมีพลังเป็นเรื่องที่ดี มีความกล้าหาญมากก็เป็นเรื่องที่ดี ทั้งยังมีฝีมือเฉพาะตัวโดยไม่มีผู้ใดรู้ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่ท่านพูดมาแล้ว เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าท่านไม่ได้รู้เกี่ยวกับวิถีวิญญาณมากกว่าที่ข้าคิดไว้?”

ซูอี้ยังคงเงียบ

เขาคร้านที่จะอธิบายอีก

คำว่าไม่รู้สองคำนี้ มักจะสะท้อนให้เห็นในเวลาดังกล่าว ต่อให้เจ้าจะพูดความจริง ก็จะถูกมองว่าพูดจาโอ้อวด

หวังจั๋วดื่มเหล้าเข้าไปอีกจอกหนึ่ง และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ เพียงแค่คุณชายซูสนใจเข้าร่วมกองกำลังของหวังผู้นี้ หากท่านต้องการสิ่งใด ก็เอ่ยออกมาได้เต็มที่ หากหวังผู้นี้ทำได้ ก็จะทำให้อย่างเต็มที่”

เห็นได้ชัดว่าเขาก็คร้านเกินกว่าจะคุยกับซูอี้เกี่ยวกับความน่าสะพรึงกลัวของวิถีวิญญาณ เขาคงคิดว่า เมื่อพูดไป อีกฝ่ายก็คงไม่เข้าใจ เพราะถึงอย่างไรก็ยังเด็กเกินไป…

ซูอี้ถาม “เจ้าหาข้าเจอได้อย่างไร?”

สายตาหวังจั๋วแฝงแววหยอกล้อ “หรือว่าคุณชายไม่รู้ หลังจากข่าวที่ท่านจะเดินทางจากมหานครกุ่นโจวไปยังนครหลวงอวี้จิงในวันที่สี่เดือนสี่แพร่ออกไป สายตากองกำลังใหญ่มากมายใต้หล้านี้ ล้วนจับจ้องไปที่คุณชาย?”

ซูอี้เอ่ยอย่างเย็นชา “แต่น่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าข้าใช้เส้นทางใดในการเดินทางไปมหานครหลวงอวี้จิง”

“ไม่ มีคนรู้”

“ผู้ใดกัน?”

“หอสิบทิศ”

หวังจั๋วยิ้มออกมาเล็กน้อย “ตั้งแต่ที่คุณชายออกจากมหานครกุ่นโจว ก็มี ‘ปักษาเวคิน’ กลุ่มหนึ่งที่หอสิบทิศเลี้ยงไว้ คอยสอดส่องคุณชายทุกย่างก้าวบนความสูงหลายพันจั้ง”

“ปักษาเวคินเหล่านี้โดดเด่นด้านพลังจิตวิญญาณ สามารถเคลื่อนไหวไปพร้อมกันได้ ไม่ว่าคุณชายจะไปที่แห่งใด ร่องรอยของท่านก็จะถูกคนในหอสิบทิศรู้ทันที จากนั้นก็ขายข้อมูลในราคาสูงให้แก่ผู้ที่อยากรู้ร่องรอยของคุณชาย”

เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาก็เอ่ยด้วยความรู้สึกเจ็บปวดใจ “ข้าต้องจ่ายหินวิญญาณระดับสามไปห้าร้อยก้อนเต็ม ๆ เพื่อที่จะได้พบคุณชายเป็นครั้งแรก”

“หอสิบทิศ…”

นัยน์ตาส่วนลึกของซูอี้พลันฉายประกายแสงออกมาเล็กน้อย

เขาไม่นึกเลยว่า อำนาจลึกลับที่ถูกเรียกขานว่าเป็นสถานที่ได้รับข่าวสารว่องไว จะอาศัยโอกาสที่เขาเดินทางไปมหานครหลวงอวี้จิง ขายร่องรอยของเขาเพื่อหาเงิน!

นี่มันเหมือนกับเป็นการสอดแนมของศัตรู ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด เพียงแค่มีคนควักเงินจ่าย ก็สามารถหาเขาเจอได้ทันที!

“คุณชายซูก็เห็นแล้ว แม้แต่ตำหนักสิบทิศก็ช่วยเหลือศัตรูของท่าน หากเดินทางไปมหานครหลวงอวี้จิงด้วยเส้นทางนี้…จะต้องมีการดักซุ่มโจมตีแน่”

หวังจั๋วเอ่ยเสียงเบา “แต่หากคุณชายเข้าร่วมกองกำลังของหวังผู้นี้ เรื่องอันตรายทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่เรื่องผ่านตาเท่านั้น”

ทว่าซูอี้กลับยิ้มออกมา “ไม่ ข้ากลับคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดี”

หวังจั๋วตกใจไปครู่หนึ่ง พลางเอ่ยด้วยความสงสัยเล็กน้อย “เรื่องที่ดี?”

“พูดตามตรง ระหว่างทางข้าก็กำลังคิดอยู่ หากศัตรูที่ต้องการสังหารข้าหาข้าไม่เจอจะทำอย่างไร”

ซูอี้เอ่ยด้วยสีหน้าสงบ “แต่มีตำหนักสิบทิศคอยช่วยเหลือ ข้าก็วางใจได้”

เมื่อพักไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยต่อ “เพียงแต่ หอสิบทิศเอาร่องรอยของข้าไปขาย ถือว่าเป็นเจตนาร้าย รอข้าหาโอกาสได้เมื่อไรข้าจะไปคิดบัญชีกับพวกเขา”

เมื่อหวังจั๋วฟังจบ เขาก็ตกใจอย่างขีดสุด และเงียบไปนานมาก

ตัวเขายังคิดว่า การเชิญคุณชายซูมางานเลี้ยงในครานี้ อาศัยเงื่อนไขที่ตัวเองเอ่ยออกมา และใช้สถานการณ์ของซูอี้ที่ตกอยู่ในอันตราย อีกฝ่ายจะต้องตอบรับคำเชื้อเชิญแน่

ทว่าไม่นึกเลยว่า…

ทุกอย่างไม่ได้เป็นเช่นนั้น!

ซูอี้ถาม “ใช่แล้ว เจ้าบอกข้าเกี่ยวกับกองกำลังของเจ้าได้หรือไม่?”

หวังจั๋วตั้งสติครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส “หากคุณชายรับปากเข้าร่วม หวังผู้นี้จะบอกเรื่องที่รู้ให้”

ซูอี้เอ่ย “หากข้าปฏิเสธล่ะ?”

หวังจั๋วจ้องมองซูอี้อยู่ครู่หนึ่ง พลางถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ข้าหวังว่าคุณชายซูจะไม่ปฏิเสธ และพิจารณาอย่างตั้งใจอีกสักครา พูดตามตรง คุณชายอายุยังน้อย และยังมีฝีมือมาก ในอนาคตคงไม่มีขีดจำกัด ข้ามิอยากให้คุณชายถูกฝังในที่ทุรกันดารแห่งนี้เลย”

เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ พลันบรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นอึดอัดกดดันทันที

แมวดาวทมิฬที่นอนขี้เกียจอยู่บนไหล่ของเขาพลันเงยหน้าขึ้นมา นัยน์ตาสีฟ้าประกายแวววาวมองไปทางซูอี้อย่างเยือกเย็น

ซูอี้ยิ้มออกมาครู่หนึ่ง “ก็ลองดู?”

หวังจั๋วเงียบไป

ไม่นาน เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ “เหตุใดถึงหาเรื่องให้ตัวเองลำบากเช่นนี้? คุณชายซูก็รู้ว่ามีการดักซุ่มโจมตี รอบ ๆ จุดพักม้าหลงเฉียวมีปรมาจารย์ขั้นห้าที่เชี่ยวชาญค่ายกล มีบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ที่ถนัดการลอบสังหาร มี…”

ไม่รอให้เขาเอ่ยจบ ซูอี้ก็ลุกขึ้น และเอ่ยอย่างเฉยเมย “รีบลงมือเถอะ”

หวังจั๋วดื่มเหล้าไปอีกจอกหนึ่ง ตบแมวดาวทมิฬที่อยู่บนไหล่นั้นเบา ๆ พลางเอ่ยด้วยความรู้สึกเสียใจ “ช่างน่าเสียดายจริง ๆ…”

พรึ่บ!

จู่ ๆ ร่างของเขาพลันหายวับไปจากที่นั่งเหมือนกับเงาแสงภาพลวงตา

จากนั้นแสงไฟก็ดับไปทีละดวง พลันห้องตำหนักที่หรูหราทั้งหมดนั้นก็ตกอยู่ในความมืด

ตูม! ตูม! ตูม!

เสียงระเบิดสนั่นสั่นไหวดังขึ้นมา บริเวณรอบ ๆ ตำหนัก มีเปลวไฟโชติช่วงขนาดมหึมาเกิดขึ้นมา ปะปนไปด้วยพายุโหมคลั่ง ไอชั่วร้ายกลิ้งตลบไปทั่ว

แค่พริบตาเดียว ตำหนักแห่งนี้ก็กลายเป็นดั่งคุกศิลา พลังลม สายฟ้า ไฟ หมอกทั้งสี่อย่างกลายเป็นการโจมตีทำลายล้าง ปกคลุมซูอี้ที่นั่งอยู่ตรงนั้นเพียงผู้เดียว

“ก็แค่ค่ายกลขนาดเล็กที่มิอาจทนมองได้ก็เท่านั้น”

ซูอี้เอ่ยถากถางขึ้นมา

ตั้งแต่เข้ามาในตำหนักนี้ เขาก็มองออกว่าโคมไฟยี่สิบสี่ดวงภายในห้องสง่างามนี้ เป็นอุปกรณ์ค่ายกลที่ถูกจัดวางไว้

รวมทั้งพรมแดงที่อยู่บนพื้น การจัดวางของโต๊ะยาว แม้แต่ตำแหน่งที่นั่งของหวังจั๋ว ล้วนซ่อนเอาไว้อย่างลึกลับ

และในตอนที่พูดคุยกับหวังจั๋ว ซูอี้ได้แอบทำลายค่ายกลขนาดใหญ่ทั้งหมดนี้แล้ว

ในตอนที่ครุ่นคิดอยู่นั้น เขาก็ลุกขึ้นยืน และดีดนิ้วหนึ่งครั้ง

ชิ้ง!

มีปราณดาบสีครามแวววาวปรากฏออกมา พลันตวัดลงไปบนโคมไฟที่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง

ตูม!

โคมไฟระเบิดแตก

เปลวไฟลุกโชติช่วงราวกับน้ำตก มาถึงด้านหน้าซูอี้ห่างประมาณสามฉื่อ พลันแตกสลายทันที กลายเป็นประกายแสงโปรยลงมา

เปาะ! เปาะ! เปาะ!

ต่อมา ซูอี้ดีดนิ้วติดต่อกัน ปราณดาบสีครามก็ปรากฏขึ้นมาทีละชั้น ตัดสลับกันไปทุกทิศทุกทางอยู่ในความมืด และตัดโคมไฟที่แตกต่างกัน

เมื่อทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ ซูอี้ไม่หันกลับไปมอง พลางหมุนตัวเดินออกไปด้านนอกตำหนัก

จากนั้นด้านหลังเขา ก็เกิดเสียงระเบิดขึ้น ซึ่งนั่นเป็นเสียงของโคมไฟแต่ละดวงที่ถูกปราณดาบตัด

ค่ายกลที่แปรสภาพมาจากสายฟ้า พายุ หมอกชั่วร้าย… ต่างก็แตกสลายอยู่ด้านหลังซูอี้ ประหนึ่งกระแสน้ำที่จางหายไป

ค่ายกลขนาดใหญ่ที่จัดวางไว้ในห้องหรูหราก็พังทลายลงในเวลาอันสั้น

และซูอี้ก็ผลักประตูเดินออกมาด้วยท่าทางเอ้อระเหย

…..

ด้านนอกฝนโปรยลงมาอย่างหนัก ท้องนภามืดมิด

ห่างจากจุดพักม้าหลงเฉียวไปสิบกว่าจั้ง มีหวังจั๋วที่ลูบแมวดาวทมิฬในอ้อมอกอย่างเบา ๆ อยู่ สายตาเขาจ้องมองจวนที่ตกอยู่ในความมืดมิดอย่างฉับพลัน พลางถอนหายใจออกมาอย่างทนไม่ไหว

“คนหนุ่มที่น่าทึ่งเช่นนี้ ข้าไม่อยากให้เขาตายเลยจริงๆ…”

ด้านข้างหวังจั๋ว มีชายชาตรีน่าเกรงขามสูงหลายจั้งผู้หนึ่งยืนอยู่ ในมือถือร่ม ช่วยกำบังน้ำฝนที่ตกลงมาอย่างหนักให้กับหวังจั๋ว

และตัวชายชาตรีเองล้วนเปียกไปด้วยน้ำฝน

ชายชาตรีน่าเกรงขามแสยะยิ้มออกมา และเอ่ยด้วยเสียงห้าว “นายท่าน หากพวกเราไม่ฆ่าเขา เขาก็ถูกผู้อื่นฆ่าตาย แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ไม่สู้เอาของมีค่าบนร่างเขามาเป็นประโยชน์แก่พวกเรา”

“ของมีค่า…”

นัยน์ตาหวังจั๋วเปล่งประกาย และเอ่ยด้วยความปลง “คนตายเพราะทรัพย์ นกตายเพราะอาหาร*[1] เป็นดั่งที่คนโบราณเคยว่าไว้”

ขณะเอ่ยอยู่ เขาก็หันหน้าไปมองอีกด้าน ซึ่งมีชายชราร่างผอมแห้งมีกำลังวังชาผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น

“ ‘ค่ายกลอัคคีสายฟ้า’ ที่พี่หย่งหมิงวางไว้ไม่ธรรมดาเลย ในความคิดข้า แม้ว่ามิอาจฆ่าซูอี้ให้ตาย แต่ก็สร้างความเสียหายให้กับเขาได้”

หวังจั๋วเอ่ยชม

ชายชราผอมแห้งเช็ดน้ำฝนบนหน้าครู่หนึ่ง เอ่ยอย่างถ่อมตัว “นายท่านชมเกินไปแล้ว วิธีการวางค่ายกลนี้ ข้ารู้แค่เพียงผิวเผินเท่านั้น”

แม้จะเอ่ยเช่นนี้ ทว่าใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความภูมิใจ

ในตอนนั้นเอง

“ผิวเผิน? ในความคิดซูผู้นี้ ค่ายกลที่หยาบนี่ เรียกว่าผิวเผินมิได้ด้วยซ้ำ”

พลันมีน้ำเสียงเย็นชาตามมา ภายใต้สายตาตกตะลึงของหวังจั๋วและคนอื่น ๆ ปรากฏร่างสูงใหญ่ของซูอี้เดินออกมาจากหมอกควันอย่างช้า ๆ

เขากางร่มกระดาษน้ำมันก่อน จากนั้นจึงเดินไปทางหวังจั๋วและคนอื่น ๆ ท่ามกลางความมืดและฝนที่ตกหนัก

[1] คนตายเพราะทรัพย์ นกตายเพราะอาหาร เป็นสำนวน หมายถึงความโลภของมนุษย์มักนำไปสู่หายนะ

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *