บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 124 : ประหาร

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 124 : ประหาร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“คนแซ่ซู ซูอี้มาถึงแล้ว!”

เสียงตะโกนดัง สายตาทั้งมวลหันมองไปยังภายนอกลานฝึกฝน

รถลากพลันหยุดที่ตรงนั้น พร้อมร่างสูงก้าวเดินลงมา

ร่างในชุดคลุมสีเขียว สองมือไพล่ด้านหลัง ก้าวเดินมาอย่างเงียบงัน

เป็นซูอี้

ถัดจากนั้น หวงเฉียนจวินจึงตามมาโดยเงียบงัน

“ซูอี้คือผู้นี้หรือ ไม่คล้ายพบเห็นว่าพิเศษ หากไม่ทราบ คงคิดว่าเป็นเพียงเจ้าหนุ่มอ่อนแอคนหนึ่ง”

เด็กสาวผู้หนึ่งในชุดกระโปรงลายดอกไม้บุ้ยปาก

ชายชราข้างกายนางกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เด็กน้อย อย่าได้กล่าววาจาไร้สาระ หลังเรื่องราวเมื่อคืนนี้ มันได้ยืนยันแล้วว่าซูอี้ผู้นี้เกินกว่าจะจำกัดความเพียงแค่ธรรมดาได้ ผู้แข็งแกร่งแห่งสำนักดาบชิงเหอ ตาเฒ่าโจวฮวายชิวยังไม่อาจยับยั้งดาบเขาเอาไว้ได้ เพียงแค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้ตัวตนอาวุโสในเมืองต้องก้มศีรษะด้วยความอับอาย มีหรือคนเช่นนี้จะสามารถปรามาสได้?”

“ทราบแล้วท่านปู่…”

เด็กสาวในชุดกระโปรงดอกไม้โค้งศีรษะลง แสดงท่าทีอับอาย

ชั่วขณะนี้เอง ไม่ทราบว่ากี่สายตาเพ่งมองไปยังคนหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวประหนึ่งหยก และไม่ทราบว่ามีกี่ผู้คนในรุ่นเยาว์ ที่บังเกิดความไม่ยินดีขึ้นภายในใจ

เมื่อหนึ่งปีก่อน ซูอี้เป็นได้เพียงหัวหน้าศิษย์สายนอกแห่งสำนักดาบชิงเหอ

แต่ขณะนี้ ซูอี้หาญกล้า ออกดาบประหารภายในพื้นที่บนชั้นเก้าของภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์

ด้วยพลังอำนาจอันเหนือล้ำ ตัวเขาจึงสามารถสะกดข่มโจวฮวายชิว ผู้อาวุโสลำดับที่สี่แห่งสำนักดาบชิงเหอได้!

ซึ่งหาได้มีรุ่นเยาว์ผู้ใดในมหานครอวิ๋นเหอ สามารถกระทำการณ์เพียงนี้ได้!

“เป็นชายคนนี้จริงหรือนี่…”

ยามพบเห็นร่างอันคุ้นเคยของซูอี้ จางเยวี่ยนซิงจึงเผยสีหน้าแปรเปลี่ยน

ตัวเขาย่อมได้ยินเรื่องราวที่ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์เมื่อค่ำคืนก่อน เพียงแต่ไม่เชื่อ

ขณะนี้พบเห็นซูอี้ตัวจริง ความหวังอันน้อยนิดในใจเขาจึงแตกกระจาย

“แรกเริ่ม ข้ากล่าววาจาอวดดี ว่าจะส่งเขาขึ้นเหนือเมฆ ไม่คิดเลย ว่าข้าจะกลายเป็นผู้โง่เขลาตลอดมา…”

จางเยวี่ยนซิงเกิดรู้สึกอับอายยากบรรยายในหัวใจ

ครั้งนึกถึงช่วงเวลาที่สำนักแพทย์ซิ่งหวงในเมืองกว่างหลิง เขาและลุงสงเกือบจะปะทะกับซูอี้ ขณะนี้ถึงกับต้องหลั่งเหงื่อกาฬ

“หากครั้งนั้นหยวนลั่วซีไม่ปรากฏตัว ลุงสงคงถูกชายผู้นี้สังหารงั้นหรือ?” จางเยวี่ยนซิงเผยสีหน้าแปรเปลี่ยน

“ลูกพ่อ เจ้าเป็นอะไรไป?” จางจือเหยียนขมวดคิ้ว

“ม…ไม่มีสิ่งใดท่านพ่อ”

จางเยวี่ยนซิงส่ายศีรษะ เขามีหรือจะกล้ากล่าวเรื่องราวชวนอับอาย

“ซูอี้ผู้นี้อหังการทัดเทียมฟ้า เป็นประหนึ่งไม้ใหญ่อันแข็งกร้าว ไม่อ่อนเอียง เป็นคนหนุ่มอันยอดเยี่ยม สภาวะที่เผยช่างหาได้ยาก น่าสะพรึงยิ่งกว่าคือความหาญกล้าอันน่าทึ่ง หากมอบโอกาสให้ ภายหน้าเกรงว่าคงเป็นตัวตนทัดเทียมราชาเยือกแข็งขุนเขา สูงส่ง เหนือล้ำ ยากที่ผู้ใดที่จะเทียบเทียม!”

จางจือเหยียนถอนหายใจ

ราชาเยือกแข็งขุนเขา มู่ซี!

หนึ่งในผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งเก้าสกุลอ๋องของต้าโจว ผู้ก้าวขึ้นสู่ขอบเขตปรมาจารย์ด้วยอายุเพียงยี่สิบปี เมื่อแปดปีก่อน ตัวเขาได้กลายเป็นอ๋องด้วยวัยยี่สิบสาม เป็นผู้ได้รับสกุลอ๋องซึ่งอายุน้อยที่สุดแห่งต้าโจว!

จักรพรรดิต้าโจวชื่นชมจึงมอบนาม ‘เยือกแข็งขุนเขา’ เป็นสมญานามให้!

พบเห็นจางจือเหยียนยกราชาเยือกแข็งขุนเขากล่าวชมเชยซูอี้ ผู้ทรงอำนาจอื่นที่อยู่ใกล้เคียงต่างอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงแผ่วเบา ในใจกระทั่งเกิดนึกริษยา

พวกเขาฝึกฝนหนักหนายาวนานหลายปี กระนั้นยังติดอยู่ที่ขอบเขตรวบรวมลมปราณ

ซูอี้ที่อายุเพียงสิบเจ็ดปี กลับได้รับคำชื่นชมอย่างสูงส่งจากผู้นำตระกูลจางอย่างจริงจัง มีหรือผู้อื่นจะยับยั้งความริษยาได้?

มีเพียงหยวนอู่ทงที่ขมวดคิ้วเล็กน้อยกล่าวคำออก “พี่จาง ด้วยสถานะตัวตนท่าน กล่าวชมคนหนุ่มเช่นนี้ นี่ไม่ใช่ผิดปกติแล้วหรือ?”

จางจือเหยียนหัวเราะตอบ “ชื่นชมงั้นหรือ? คำถามนี้ดีนัก กลับกัน พี่หยวน หากวันนี้ท่านไม่อาจช่วยคนหนุ่มผู้นี้ได้ ไม่ว่าวาจาของท่านจะน่าฟังเช่นไร ก็ล้วนเป็นคำกล่าวอันไร้ค่า”

ในใจผู้คนต่างตื่นตกใจ

ราวได้ตระหนักว่าหยวนอู่ทงและจางจือเหยียน สองผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งยืนอยู่บนส่วนยอดของมหานครอวิ๋นเหอ กำลังโต้ตอบอย่างไม่ยอมกัน!

“ผู้นำตระกูลหยวน คิดยืนเคียงข้างซูอี้จริงงั้นหรือ?”

หลายคนต่างใจสั่นเครือ

“รับชม ในที่สุดก็มาจนได้…”

ฉินเฟิงถอนหายใจโล่งอก เขานึกกังวลว่าซูอี้จะไม่กล้ามาตามนัดหมายวันนี้ กระนั้นตอนนี้ ซูอี้ได้ปรากฏตัวให้เห็นแล้ว ความกังวลของตัวเขาจึงคลี่คลาย กระทั่งเกิดความยินดี

หลายวันมานี้ เขาแทบทานอาหารไม่รู้รส เพราะมัวแต่ครุ่นคิดว่าจะล้างแค้นเช่นไร!

“ไปหาที่และรอคอย”

ขณะก้าวเดินเข้าลานฝึกฝน ซูอี้เมินเฉยสายตาจากทั่วทิศที่มองมา ถ้อยคำกล่าวบอกราบเรียบ

หวงเฉียนจวินเร่งรีบรับคำ

กระนั้นยามนี้ ฉินเหวินเยวียนที่นั่งตรงกลางแท่นบูชา กลับแค่นเสียงเย็นเยือกกล่าวคำออก “หวงเฉียนจวิน เจ้าทำข้าผิดหวังนัก!”

หวงเฉียนจวินชะงัก สีหน้าแปรเปลี่ยน

หลังผ่านไปครู่ เขาค่อยสูดลมหายใจเข้าลึก “ท่านลุง ข้า…”

แต่ก่อนเขาจะทันกล่าวคำใด ฉินเหวินเยวียนกลับโบกมือขัดคำ “อย่าได้เรียกหาข้าเป็นลุง ข้า ฉินเหวินเยวียนผู้นี้ไม่มีหลานเช่นเจ้า!”

ฝูงชนต่างชะงักงัน

ชั่วขณะนี้ พวกเขาได้ตระหนักว่าคนหนุ่มที่มาพร้อมซูอี้ เป็นผู้มีความสัมพันธ์กับฉินเหวินเยวียน

เห็นได้ชัด ว่าฉินเหวินเยวียนกราดเกรี้ยวต่อคนหนุ่มตรงหน้า ที่เดินทางมาพร้อมซูอี้

หวงเฉียนจวินเผยใบหน้าแดงก่ำโกรธเกี้ยว เขายังไม่ทันได้กล่าวคำใดตั้งแต่มา แต่กลับต้องรับฟังคำสบถก่นด่า นี่เขามีลุงเช่นนี้ได้อย่างไร?

“เจ้าถอยไปรอ”

ซูอี้กล่าวคำ สายตามองฉินเหวินเยวียนพร้อมเอ่ย “ผู้ว่าการเขตปกครองเช่นเจ้า กลับหยามเหยียดคนข้างตัวข้า ไม่เห็นแก่หน้าข้าอย่างนั้นหรือ?”

กลุ่มคนรับชมเงียบงัน หลายคนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่

ไม่มีผู้ใดนึกคิด ที่ลานฝึกฝนเตาหลอมขจี สถานที่ของฉินเหวินเยวียน ซูอี้กลับไม่ยับยั้งวาจาแม้แต่น้อย ทั้งยังกล่าวอย่างแข็งกร้าว!

“หาญกล้า! ซูอี้ ไม่รับชมสถานการณ์เจ้าหน่อยหรือ กล้าพูดกล่าวเช่นนี้ออกมา กลัวว่าจะตกตายสบายเกินไปหรือไร!?”

ฉินเฟิงชี้หน้าซูอี้ ถ้อยคำด่าทอเสียงดัง

ฉินเหวินเยวียนขมวดคิ้ว ขณะเขาคิดยับยั้งบุตรชายตนเองพูดกล่าว ก็พบว่าสายเกินไป

เพราะเขาทราบกระจ่างชัด ในการประชันเช่นนี้ บุตรชายของเขาด้อยกว่า มีแต่จะเป็นฝ่ายถูกหยามเหยียด…

แน่นอนว่า หวงเฉียนจวินผู้เดินหลบมุม ยามนี้โกรธเกรี้ยวหลังได้ยินถ้อยคำ เสียงจึงแค่นกล่าวออก

“ฉินเฟิง เจ้าผู้คุกเข่ากับพื้นในค่ำคืนนั้นร้องขออภัยกำลังคิดตบหน้าตนเองงั้นหรือ? เรื่องราวนี้ทั้งเมืองทราบกันดี หน้าเจ้าแหกเละไม่มีชิ้นดี เป็นข้านึกอับอายแทนเจ้านัก!”

“เจ้า…”

ฉินเฟิงเผยสีหน้าเขียวคล้ำกราดเกรี้ยว

“เงียบ!”

ดวงตาฉินเหวินเยวียนเผยความเฉยชา เพียงหนึ่งถ้อยคำ ฉินเฟิงจึงตัวสั่นเงียบเสียงไป

กระนั้นแล้ว สีหน้าของผู้อื่นที่นี้กลายเป็นแปลกประหลาด

บิดาพยัคฆ์มีบุตรสุนัข ช่างแตกต่างอย่างยิ่งใหญ่!

ฉินเหวินเยวียนย่อมตระหนักได้ถึงความคิดผู้คน สีหน้ายามนี้จึงยิ่งเฉยชาไม่สนใจ

หากซูอี้ไม่ถูกกำจัดวันนี้ ไม่ว่าภายหน้าบุตรชายของเขาจะปรากฏตัวที่ใด เช่นนั้นย่อมถูกหยามเหยียดร่ำไป!

เพียงนึกคิด เขาจึงกล่าวคำออก “ซูอี้ ที่เรียกเจ้ามาวันนี้ เป็นเจตนาของข้า และเจตนาของสำนักดาบชิงเหอ”

หลังหยุดไปครู่ สีหน้านั้นค่อยเผยความยิ่งใหญ่สะกดข่ม ถ้อยคำกล่าวออก “ข้าไม่สนว่าบุตรชายข้าจะถูกหยามเหยียดเช่นไร อย่างไรแล้วฝีมือเขาก็ไม่ได้ดีทัดเทียมผู้อื่น เรื่องนี้ข้าไม่กล่าวโทษผู้ใด ทว่าผู้พิทักษ์จวนผู้ว่าการของข้าทั้งหกต้องไม่ตายเปล่า!”

คำย้ำกล่าวออก มันดังก้องทั่วทั้งลานฝึกฝน

กำลังพลนับพันที่ยืนเรียงแถวไม่ไกลห่างพลันโห่ร้อง

ผู้ทรงอำนาจทั้งหลายต่างเผยท่าที สายตามองซูอี้อย่างเย็นชา

บรรยากาศอันชวนอึดอัด เป็นผลให้หลายคนที่นี้เกิดตึงเครียด ทั้งร่างกายและสีหน้าแปรเปลี่ยนรุนแรง

กลับกัน ซูอี้ไม่คล้ายใส่ใจ สายตากวาดมองโดยรอบ ถ้อยคำกล่าวเฉยชา “หากคิดว่าพวกมันไม่ควรตายโดยเปล่า เช่นนั้นก็ส่งมือดีออกมา ข้ามาที่นี่ครั้งนี้ ก็เพื่อกำจัดภัยอันตรายซ่อนเร้นให้หมดสิ้นไป”

ผู้คนต่างตัวแข็งค้าง

เห็นได้ชัดว่าซูอี้ยืนเพียงลำพัง กระนั้นกลับเผยท่าทีอันยิ่งใหญ่ ประหนึ่งอยู่เหนือโลกหล้า ตัวเขาไม่เพียงแข็งแกร่ง แต่ยังมีความอหังการอันล้นเหลือ!

ฉินเหวินเยวียนหรี่ดวงตาลงเล็กน้อย ถ้อยคำพลันเอ่ย “พี่หยวน มั่นใจหรือว่าต้องการยืนหยัดให้คนหนุ่มผู้นี้?

ซูอี้สงบจนถึงขีดสุด ราวไม่ทราบว่าได้รับความมั่นใจนี้มาแต่ใด

หยวนอู่ทงเผยยิ้มรับ “นั่นขึ้นอยู่กับว่านายน้อยซูต้องการหรือไม่ หากข้าฝืนเสนอตนเอง ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดี”

“จิ้งจอกเฒ่า!” จางจือเหยียนลอบสบถ

ตัวเขาย่อมได้เห็น ว่าฉินเหวินเยวียนคิดให้หยวนอู่ทงลงมือก่อน กระนั้นหยวนอู่ทงก็ไม่ใช่โง่เดินตาม

แต่ไม่ว่าด้วยอะไร ถ้อยคำเหล่านี้ทำผู้คนได้ตระหนัก ว่าหยวนอู่ทงเป็นตัวแทนตระกูลหยวน ยืนหยัดเคียงข้างซูอี้!

ฉินเหวินเยวียนเงียบงันไปครู่ สายตามองยังที่นั่งทางด้านขวา ถ้อยคำกล่าว “ทุกคน ซูอี้ได้สังหารบุตรหลานพวกเจ้าไปเมื่อคืนที่ผ่านมา ขณะนี้ยืนตรงหน้าแล้ว คิดว่าคนเช่นนี้สมควรจัดการเช่นไร?”

บนที่นั่งด้านข้างเวที เหล่าผู้อาวุโสจากเจ็ดตระกูลกำลังนั่งอยู่

ได้ยินคำถาม หนึ่งในชายชราผู้มีเส้นผมสีดอกเลาพลันลุกขึ้น ถ้อยคำกราดด้วยความโศก “หลังรับชมวายร้ายผู้นี้ ข้าเห็นสมควรสะบั้นมันด้วยหมื่นกระบี่!”

ผู้อื่นต่างตะโกนขึ้น “ถูกต้องแล้ว สะบั้นมันเป็นหมื่นชิ้น!”

ชั่วขณะนี้ ซูอี้ราวตกเป็นเป้าหมายของผู้คนนับพัน

ทว่าเขาไม่แม้เปรยสายตามอง เพียงแต่เมินเฉย

ราวเกียจคร้านจะพูดแม้ครึ่งคำ

หากโลกใบนี้แก้ไขปัญหาได้ด้วยการด่าทอ เช่นนั้นยังจะมีการฝึกฝนไปทำอะไร?

ฉินเหวินเยวียนสนใจมองซูอี้อยู่โดยตลอด ยามพบเห็นคนหนุ่มยังคงสงบนิ่งเฉยชา อารมณ์ไม่หวั่นไหว คิ้วจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดมุ่น

เขากล่าวถ้อยคำจริงจัง “ซูอี้ เจ้าไม่รู้สึกสำนึกใดบ้างเลยหรือ?”

ขณะนี้เอง ซูอี้เกิดขมวดคิ้ว ถ้อยคำกล่าวออกราวอดกลั้น “ข้ามาที่นี่เพื่อกำจัดอันตรายซ่อนเร้น ไม่ใช่ฟังวาจาอันไร้สาระของผู้อื่น หรือพวกเจ้าคิดลากถ่วงเวลา รอจนกว่าคนของสำนักดาบชิงเหอมาเยือน แล้วจึงค่อยเริ่มกัน?”

คำถามอันไร้ความกลัวเกรง เป็นผลให้ดวงตาฉินเหวินเยวียนทอประกายเย็นเยือก

ผู้ว่าการเขตปกครองเช่นเขาเป็นปรมาจารย์วิถียุทธ์ผู้มีชื่อเสียงแห่งแคว้นกุ่น ไฉนจึงถูกหยามถึงเพียงนี้ได้?

หากไม่ใช่เพราะจนถึงตอนนี้ ยังไม่อาจตระหนักว่าความมั่นใจซูอี้ได้รับมาแต่ใด เขาคงสังหารอีกฝ่ายประหนึ่งสายฟ้าพิโรธไปแล้ว

ผู้ยิ่งใหญ่ท่านอื่นในที่นี้ ต่างต้องลอบเดาะลิ้น

พวกเขาส่วนใหญ่เพิ่งเคยพบเจอซูอี้เป็นครั้งแรก ได้พบเจอคนหนุ่มที่อหังการถึงเพียงนี้ ผู้ใดบ้างไม่ประหลาดใจ?

มีเพียงหยวนอู่ทงที่ลอบชื่นชม “มีเพียงคนเช่นนี้ จึงจะสามารถเขียนอักษรอันวิจิตรเหล่านั้นออกมาได้!”

เมื่อคืนที่ผ่านมา ตัวเขาตรวจสอบอักษรอยู่ทั้งค่ำคืน ทั้งยังต้องประหลาดใจ ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย แต่กลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ว่าการฝึกฝนของตนได้บากบั่นสู่อีกขั้น!

ระหว่างที่หยวนอู่ทงประหลาดใจ มันทำตัวเขาได้ตระหนักถึงความเลิศล้ำของ ‘คุณชายซู’ ที่บุตรสาวกล่าวถึง

“ผู้อาวุโสมู่ชางถู ผู้นำแห่งสำนักดาบชิงเหอมาถึงแล้ว!”

ทันใดนี้เอง เสียงตะโกนดังจากภายนอกลานฝึกฝน กลุ่มคนที่รับชมตัวสั่น สายตาล้วนหันมองไป

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *