บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 505: หอมรกต

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 505: หอมรกต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 505: หอมรกต

ตอนที่ 505: หอมรกต

ณ สวนน้อยนภาเมฆ

หลังจากที่ซูอี้ย้อนกลับมาถึงแอ่งเกล็ดทองแล้ว จู่ ๆ ก็พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา

“เก้าวันให้หลัง เจ้าต้องไปร่วมงานชุมนุมมวลพฤกษาใช่หรือไม่?”

ซูอี้เรียกเยว่ซือฉานมาสอบถาม

เยว่ซือฉานในตอนนี้มีระดับการฝึกตนอยู่ในขอบเขตเปิดทวารขั้นต้น ด้วยวิถีดาบของนางมีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมงานชุมนุมมวลพฤกษา

“เดิมทีข้าตั้งใจว่าจะเข้าร่วม ทว่าดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เกรงว่าคงไม่มีโอกาสแล้ว…”

แววตาของเยว่ซือฉานดูเศร้าหมอง

เมื่อพิษกู่ในร่างของนางยังขจัดออกไม่หมด นางย่อมไม่อาจแสดงระดับการฝึกตนของตนเอง

“อีกห้าวัน พิษกู่ก็จะถูกขจัดออกไปจนหมด”

ซูอี้คิดสักครู่จึงกล่าว “ขอเพียงเจ้าต้องการเข้าร่วมงาน ข้าจะช่วยเจ้าเอง ถึงแม้ไม่อาจทำให้เจ้าได้อันดับหนึ่ง แต่ก็สามารถอยู่ในอันดับต้น ๆ ได้”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็ยิ้มออกมาพลางกล่าวว่า “แน่นอน ได้อันดับเท่าใดไม่สำคัญ สำคัญตรงที่ในงานชุมนุมมวลพฤกษา คู่ต่อสู้ที่เก่งกาจสามารถเป็นหินลับดาบได้เป็นอย่างดี ใช้พัฒนาวิถีดาบของตัวเองได้”

เยว่ซือฉานตะลึงและสับสนเล็กน้อย ในช่วงระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้เชิญเทพเซียนมาก็ไม่อาจทำให้ระดับการฝึกตนของนางบรรลุขั้นไปได้

ทว่าเหตุใด… ศิษย์พี่ซูจึงมั่นใจในตัวนางถึงเพียงนี้?

ซูอี้ไม่ได้พูดอธิบายอะไรมาก กล่าวเพียงแต่ว่า “พวกเราไปในเมืองกัน ดูว่าจะสามารถซื้อดาบวิญญาณพอเหมาะกับมือให้เจ้าสักเล่มได้หรือไม่”

เยว่ซือฉานนิ่งตะลึงไปชั่วครู่จึงกล่าว “ข้ามีดาบแล้ว”

ซูอี้พลิกมือชักดาบออกจากฝัก พลางกล่าว “ที่เจ้าพูดหมายถึงดาบเล่มนี้น่ะหรือ?”

ดาบเล่มนี้ยาวสามฉื่อสองชุ่น กว้างสามนิ้วมือ ด้ามดาบร้อยด้วยด้ายสีแดง ตัวดาบใสสว่างประดุจน้ำใสสงบ

เพียงแต่ว่าด้ายแดงที่ร้อยบนด้ามดาบสีหมองไม่สดใส คมดาบสองด้านมีรอยบิ่นเล็ก ๆ แลดูแล้วช่างขัดลูกนัยน์ตายิ่งนัก

นี่เป็นดาบวิญญาณวิถีต้นกำเนิด ในโลกสามัญถือได้ว่าเป็นสิ่งล้ำค่า

ทว่าในสายตาของซูอี้ ดาบเล่มนี้เป็นได้เพียงดาบธรรมดา อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าดาบเล่มนี้อยู่ข้างกายเยว่ซือฉานมาเป็นเวลานานมากแล้ว คมดาบที่บิ่นแตกเป็นหลักฐานได้อย่างดี

ซูอี้เห็นแล้วก็อดสะท้อนใจขึ้นมาไม่ได้

เขาสามารถวาดภาพที่เยว่ซือฉานต้องบุกป่าฝ่าดง นอนกลางดินกินกลางทรายคนเดียวเพียงลำพังพร้อมกับดาบเล่มนี้ตั้งแต่ออกเดินทางออกจากอาณาจักรต้าโจว

สาวน้อยผู้มีนิสัยเย็นชาแข็งกระด้างราวกับน้ำแข็ง ไร้คนพึ่งพาเช่นนี้ คงจะไม่รู้หนทางแห่งการทำเงินเป็นแน่ มิเช่นนั้น ดาบคู่ใจเสียหายถึงเพียงนี้แล้วเหตุใดจึงไม่เปลี่ยนอีก?

ความเป็นจริง ทรัพย์สมบัติติดกายของเยว่ซือฉานก็น้อยจนน่าสงสาร นับตั้งแต่ช่วยนางออกมาจากฮ่วนซีชา ในบรรดาทรัพย์สมบัติมีค่าที่ติดตัวนาง ซูอี้ก็ไม่พบของมีที่มีราคาเลย

นี่คือความทุกข์ยากของผู้ฝึกตนไร้สังกัด

ไม่มีตระกูลใหญ่คอยสนับสนุน ไม่ได้รับการคุ้มครองจากสำนัก อยากจะได้ทรัพยากรการฝึกตนอย่างวิชา หินวิญญาณ ทรัพย์สมบัติ ก็เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง

แม้กระทั่งซูอี้ ที่เขาตัดสินใจมาอาณาจักรต้าเซี่ย เป็นเพราะว่าอาณาจักรเล็ก ๆ และห่างไกลอย่างอาณาจักรต้าโจวไม่มีทรัพยากรการฝึกตนที่เพียงพอต่อความต้องการ

“อืม”

เยว่ซือฉานพยักหน้า สายตาที่มองดูดาบเล่มนั้นแฝงประกายอ่อนโยน “ดาบเล่มนี้มีนามว่ากระจิบขาว อยู่ข้างกายข้ามานาน เปรียบได้กับสหายรู้ใจ ติดตามข้าออกมาจากอาณาจักรต้าโจวจนถึงตอนนี้ผ่านการต่อสู้ใหญ่น้อยมานับร้อยกว่าครั้ง เป็นสหายรู้ใจที่ข้าเชื่อใจเป็นที่สุด”

ซูอี้สามารถรู้สึกได้ถึงความผูกพันที่เยว่ซือฉานมีต่อดาบเล่มนี้

เฉกเช่นเดียวกับ ‘ดาบสุดแดนดิน’ ที่ซูอี้หลอมสร้างขึ้นเป็นเล่มแรกหลังจากที่ฟื้นความทรงจำเมื่ออดีตชาติ วัสดุที่ทำนั้นธรรมดา หากว่าเป็นตอนนี้ ไม่สอดคล้องกับกำลังการต่อสู้ของเขาในตอนนี้เลยแม้แต่น้อย

ทว่าสำหรับซูอี้แล้ว ดาบเล่มนี้กลับมีความหมายพิเศษเหนือธรรมดา

โดยไม่ต้องสงสัย สำหรับเยว่ซือฉานแล้ว ดาบกระจิบขาวก็เช่นเดียวกัน

“ดาบเล่มนี้ไม่สามารถใช้ได้อีกแล้ว มิเช่นนั้นจะถูกทำลาย”

ซูอี้พูดจบก็ยื่นดาบกระจิบขาวให้แก่เยว่ซือฉาน “แต่เจ้าสามารถเก็บรักษาดาบเล่มนี้ไว้เป็นบันทึกความทรงจำ วันข้างหน้าเมื่อย่างก้าวสู่ขั้นสุดยอดของหนทางดาบแล้ว ย้อนกลับมามองดูดาบเล่มนี้ดุจดังมองดูปณิธานดั้งเดิมเมื่อครั้งแสวงหาวิถีดาบ ไม่หลงระเริงลืมตัวเมื่อยืนอยู่บนขั้นสุดยอด มูลค่าของมัน วันข้างหน้าจะเหนือกว่าที่เจ้าคาดการณ์ไว้”

ความรู้สึกมากมายแฝงลึกอยู่ในน้ำเสียง

หนทางแห่งการฝึกตน แต่ละก้าวมีแต่ความยากลำบาก เมื่อเริ่มแข็งแกร่งขึ้น หากจิตใจพลั้งพลาดเผลอไผลไปก็จะถลำลึกอยู่ในความหลง

หากว่าจดจำ ‘ปณิธานดั้งเดิม’ เมื่อตอนที่เพิ่งย่างก้าวเข้าสู่มหาวิถีจนขึ้นใจ ก็เปรียบเสมือนเรือน้อยที่ลอยละล่องอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรใหญ่ค้นหาสมอของตัวเองเจอ จะไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องล่องลอยไปตามกระแสคลื่นและวายุอย่างไร้ขอบเขตอีก

สำหรับเยว่ซือฉานแล้ว ดาบกระจิบขาวเล่มนี้สั่งสมความทรงจำและประสบการณ์เมื่อครั้งที่นางเริ่มเข้าสู่เส้นทางวิถีดาบ ในบางแง่มุมแล้วนี่ก็คือปณิธานดั้งเดิมของเยว่ซือฉาน คือ ‘สมอ’ ในยามที่นางก้าวขึ้นสู่ระดับสุดยอดแห่งวิถีดาบในวันข้างหน้า

เยว่ซือฉานนิ่งตะลึง

นางในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่อาจเข้าใจความหมายที่ซูอี้กล่าวถึงได้อย่างแท้จริง

ซูอี้ไม่ได้กล่าวอธิบายอะไรอีก พูดขึ้นมาแต่เพียง “ต้องการงานออกมาดี จักต้องเตรียมให้พร้อม ในฐานะที่เป็นนักดาบ จะต้องมีดาบวิญญาณที่เหมาะสมกับวิถีดาบของตนเอง พวกเราเข้าไปในเมืองกันเถิด”

พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปในด้านนอกแล้ว

“ศิษย์พี่ซูเอาแต่ใจตัวเองเกินไปแล้ว… ไม่ให้โอกาสข้าได้ปฏิเสธบ้างเลย…”

เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว เยว่ซือฉานผู้ที่เดิมทียังรู้สึกเกรงใจและตั้งใจไว้ว่าจะปฏิเสธถึงกับจนด้วยปัญญา แต่ก็ยังเดินตามไปแต่โดยดี

หญิงสาวแอบกลัดกลุ้มในใจ “ตอนแรกข้าตั้งใจว่าจะทำงานติดตามข้างกายศิษย์พี่ซูเป็นการตอบแทนบุญคุณ ทว่าตอนนี้ กลับทำให้ศิษย์พี่ซูต้องคอยคิดแทนข้า ช่วยเหลือข้าไปเสียหมดทุกเรื่อง ขืนปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป… คงไม่ดีแน่…”

นางชายตามองดูร่างสูงโปร่งที่อยู่ตรงหน้า สายตาที่มองอ่อนโยนขึ้นเรื่อย ๆ ความอบอุ่นซาบซ่านเข้าสู่หัวใจ

มนุษย์ไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้า ใครกันที่ไม่ชอบให้คนอื่นดูแลเอาใจใส่เช่นนี้?

“พี่หยวนเหิงเคยเห็นผู้อาวุโสซูออกหน้าดูแลคนอื่นเช่นนี้มาก่อนหรือไม่?”

มองเห็นซูอี้กับเยว่ซือฉานออกไปด้วยกันแล้ว ไป๋เวิ่นฉิงก็อดถามขึ้นมาเบา ๆ ไม่ได้

หยวนเหิงเกาหัวแกรก ๆ พลางกล่าว “นายท่านดีต่อคนข้างกายเสมอ แต่หากพูดถึงออกหน้าดูแลคนอื่นล่ะก็ มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้รับการดูแลเช่นนี้”

ไป๋เวิ่นฉิงถามด้วยความสงสัย “มีใครบ้างรึ?”

หยวนเหิงคิดสักครู่จึงตอบ “เท่าที่ข้ารู้ เมื่อก่อนมีแม่นางฉาจิ่นกับแม่นางเหวินหลิงเสวี่ย แต่ตอนนี้ มีแม่นางเยว่ซือฉานกับเหวินซินจ้าวสองคนนี้”

“เป็นผู้หญิงหมดเลยรึ?” ไป๋เวิ่นฉิงอึ้ง

“ใช่”

“แบบนี้…” ไป๋เวิ่นฉิงนิ่งเงียบไปสักครู่จึงกล่าว “ผู้หญิงพวกนี้จะต้องสวย ๆ ด้วยกันทั้งนั้นเป็นแน่เลยใช่หรือไม่?”

“แน่นอนอยู่แล้ว!”

หยวนเหิงตอบแบบไม่ต้องคิด

สีหน้าของไป๋เวิ่นฉิงดูแปลกไป เงียบไปนานจึงกล่าวกำชับด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่หยวนเหิง ในเรื่องนี้จะเลียนแบบไม่ได้เป็นอันขาด”

หยวนเหิงทำหน้างุนงงไม่เข้าใจ “หมายความว่าอย่างไร?”

ไป๋เวิ่นฉิงค้อนตาขาว “ทึ่มเป็นท่อนไม้จริง ๆ เลย!”

หยวนเหิงหัวเราะขึ้นมาด้วยท่าทีทึ่ม ๆ

ไป๋เวิ่นฉิงก็หัวเราะเช่นกัน ทึ่ม ๆ เช่นนี้ไหนเลยจะสามารถปล่อยใจล่องลอยไปตามดอกไม้สวยงามแบบนายท่านได้?

เห็นว่าไป๋เวิ่นฉิงวางใจได้แล้ว หยวนเหิงแอบปาดเหงื่อในใจ พูดกับตัวเอง “วันข้างหน้าหากว่านายท่านพาข้าไปสถานที่อย่างฮ่วนซีชาเช่นนั้นอีก จะให้แม่นางไป๋รู้ไม่ได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้น ต้องเกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่!”

——

นครหลวงจิ๋วติ่งมีความเจริญรุ่งเรืองมาก ถนนใหญ่น้อยมากมายมีแต่รถราและผู้คนคับคั่ง

“ศิษย์พี่ซูรู้สึกหรือไม่ว่า ผู้ชายสวมชุดสีเขียวเดินไปมาบนถนนเส้นนี้มีเยอะเสียเหลือเกิน…”

ระหว่างทาง เยว่ซือฉานทนไม่ไหวเอ่ยขึ้นมา

ตลอดทั้งทางที่นางเห็น ไม่ว่าผู้ชายเหล่านั้นจะเป็นเด็กหรือคนแก่ ส่วนใหญ่แล้วล้วนสวมชุดสีเขียวทั้งตัว!

ซูอี้นิ่งตะลึงไป พิจารณามองดูผู้คนที่พบเห็นระหว่างทางและก็พบว่า ในนครหลวงจิ๋วติ่งวันนี้มีแต่คนสวมชุดสีเขียวทั้งตัว ดูแปลกตาจริง ๆ

ทันใด ซูอี้ก็หัวเราะขึ้นมา “เพียงแค่เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเท่านั้น สนใจเรื่องเหล่านี้ไปไย”

เยว่ซือฉานหน้าแดงอายขึ้นมา ก่อนจะกล่าวคำออก “ข้าเพียงแค่เห็นว่าศิษย์พี่ซูมักจะสวมชุดสีเขียว พอเห็นพวกเขาแต่งตัวคล้ายกับศิษย์พี่ซูแล้ว จึงเป็นที่สังเกตขึ้นมา”

ซูอี้เอ่ยพูดน้ำเสียงราบเรียบ “สำหรับผู้เล่าเรียนแล้ว ทุกอากัปกิริยาล้วนแสดงถึงความเป็นผู้เล่าเรียน สำหรับนักดาบอย่างพวกเรา บุคลิกลักษณะจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า เสื้อผ้าเป็นเพียงแค่ตัวเสริม ผู้ที่ไม่มีบุคลิกลักษณะ ต่อให้สวมใส่เสื้อผ้าเหมือนข้า ก็เป็นได้เพียงแค่ลิงใส่เสื้อผ้าเท่านั้น กิริยาอาการที่น่าเกลียดยังคงมีมากมาย”

เยว่ซือฉานอมยิ้มขึ้นมา มองไม่ออกเลยว่าศิษย์พี่ซูจะหลงตัวเองถึงเพียงนี้เช่นกัน…

ขณะที่พูดคุยกัน พวกเขาก็มาอยู่ที่หน้าหอมรกตแล้ว

หอมรกตแห่งนี้เป็นหนึ่งในสี่หอใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วนครหลวงจิ๋วติ่ง เหมือนกับฮ่วนซีชากับหอทะเลสาบเมฆา มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วในเรื่องรับซื้อขายสมบัติล้ำค่า

ว่ากันว่าสมบัติล้ำค่าที่นำมาขายในหอมรกต แต่ละชิ้นล้วนเป็นของหายาก ไม่ว่าผู้ฝึกตนในระดับใด ขอเพียงพร้อมจ่ายก็สามารถซื้อสมบัติล้ำค่าที่ปรารถนาได้

เมื่อซูอี้กับเยว่ซือฉานมาถึงก็พบว่าหอมรกตในวันนี้กิจการดีเป็นน้ำเป็นท่า ผู้คนหลั่งไหล เบียดเสียดเยียดยัด

“คุณชายคงไม่ทราบว่า อีกเก้าวันงานชุมนุมมวลพฤกษาก็จะเปิดฉากแล้ว ช่วงระยะนี้ ผู้ฝึกตนที่มาซื้อสมบัติล้ำค่าจึงมีมากกว่าช่วงปกติมาก”

หญิงรับใช้ผู้ทำหน้าที่ต้อนรับกล่าวอธิบายเบา ๆ “สมบัติล้ำค่าบางชิ้นที่มีราคาหายากปกติแล้วจะมีคนถามถึงน้อย ทว่าตอนนี้ยังไม่พอขายด้วยซ้ำ”

ขณะที่พูด หญิงรับใช้ได้พาซูอี้กับเยว่ซือฉานเข้าไปในห้องโถงใหญ่สำหรับขายอาวุธดาบโดยเฉพาะ

ที่นี่ยิ่งมีคนมากกว่าเดิม มีทั้งเด็กผู้ใหญ่และชายหญิง ด้านหน้าตู้แสดงอาวุธดาบแต่ละตู้มีแต่ผู้คนโอบล้อม

สภาพที่คึกคักเช่นนั้นทำให้ซูอี้อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้

สถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าคงจะหาโอกาสเลือกดาบวิญญาณที่เหมาะสมต่อเยว่ซือฉานยาก

“อ้าว สหายเต๋าซู?”

เสียงเสนาะหูเสียงหนึ่งดังขึ้น

จากนั้น ฝูงคนทั้งหลายก็หลีกทางให้

เห็นแต่เพียงหญิงสาวในชุดสีม่วงทั้งตัว ผิวขาวเนียนประดุจหิมะ ทั้งเนื้อทั้งตัวปกคลุมไปด้วยความน่าเกรงขามและสูงศักดิ์ เดินมาทางนี้ภายใต้การคุ้มกันของฝูงคนทั้งหลาย

นางคือศิษย์คนสำคัญของสำนักดาบเทียนซู เจียงหลีเทพธิดาหงส์หยกนั่นเอง!

“ข้าน้อยคารวะคุณหนู!”

หญิงรับใช้ที่ยืนข้างกายซูอี้รีบแสดงความเคารพด้วยสีหน้านอบน้อมในทันใด

เจียงหลีโบกมือพลางกล่าว “เจ้าถอยออกไปก่อน”

หญิงรับใช้รีบถอยออกไป

“สหายเต๋าซูจริง ๆ ด้วย ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่าดูคนผิดเสียอีก”

ดวงตางอนงามของเจียงหลีชำเลืองมองไปที่ซูอี้ ราวกับประหลาดใจนักที่ได้พบกับซูอี้ที่นี่

เมื่อเห็นเยว่ซือฉานอยู่ข้างกายซูอี้แล้ว เจียงหลีถึงกับนิ่งตะลึงไปเล็กน้อย

ถึงแม้นางจะเป็นผู้หญิงเช่นกัน แต่ต้องยอมรับว่า หญิงในชุดสีขาวสะอาดประดุจหิมะคนนี้ งดงามประดุจนางฟ้าเดินออกมาจากภาพวาด

ข้างหลังของเจียงหลียังมีศิษย์สำนักดาบเทียนชูติดตามมาด้วย เช่นเถาอวิ๋นฉือกับกู่เถิงอิง เป็นต้น เมื่อเห็นซูอี้แล้ว ต่างก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเถาอวิ๋นฉือกับกู่เถิงอิง สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปมาก

เมื่อก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ณ กลุ่มหุบเขาอันเป็นที่ตั้งของเมืองผี เถาอวิ๋นฉือกับกู่เถิงอิงต่างก็พ่ายแพ้ต่อซูอี้

เมื่อได้พบกับซูอี้อีกครั้ง ไหนเลยจะทำสีหน้าเป็นมิตรได้?

ทว่าเมื่อเห็นเยว่ซือฉานที่อยู่ข้างกายซูอี้แล้ว พวกเขาถึงกับตื่นตะลึงในความงดงาม

นี่คือแรงดึงดูดของหญิงงาม

ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดล้วนเป็นจุดเด่น และเป็นที่จับตามอง

ยิ่งไปกว่านั้น เยว่ซือฉานก็ไม่ใช่หญิงงามตามความหมายทั่ว ๆ ไป นับตั้งแต่เข้ามาในหอมรกตแห่งนี้ ไม่ว่านางเดินไปทางไหนทุกคนต่างก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก

เหมือนดังก่อนหน้านี้ ความจริงแล้วเจียงหลีสังเกตเห็นเยว่ซือฉานก่อน จากนั้นจึงมองออกว่าข้างกายของเยว่ซือฉานก็คือซูอี้!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *