บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 123 : ยามลมฝนพัดพา หนึ่งดาบประหาร

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 123 : ยามลมฝนพัดพา หนึ่งดาบประหาร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ค่ำคืนแห่งมหานครอวิ๋นเหอ มันสงบเหมือนดังที่เคยเป็น

กระนั้นขั้วอำนาจใหญ่บางแห่ง พวกเขากลับได้กลิ่นของลมมรสุม

ตระกูลจาง

ด้วยฐานะหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งมหานครอวิ๋นเหอ พวกเขาย่อมได้ทราบถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์แต่แรก

“เด็กหนุ่มซูอี้ผู้นี้ ใช่ศิษย์ที่ถูกสำนักดาบชิงเหอทอดทิ้งจริงงั้นหรือ?”

จางจือเหยียนที่เป็นผู้นำตระกูลกล่าวคำด้วยความประหลาดใจ

ตัวเขานั้นสับสน แทบไม่อาจจินตนาการได้ ว่าคนหนุ่มผู้หนึ่งที่สูญเสียการบ่มเพาะ ผ่านพ้นเพียงหนึ่งปีจะสามารถเติบโตแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้

“เป็นเขาคนนั้น”

ข้ารับใช้เฒ่าชรากล่าวตอบเสียงเบา “ยอดฝีมือขอบเขตรวบรวมลมปราณหกคนแห่งจวนผู้ว่าการถูกคนหนุ่มผู้นี้สังหาร ขณะนี้ฉินเหวินเยวียนได้ลอบสืบหาเรื่องราวของคนหนุ่มผู้นี้แล้ว”

จางจือเหยียนยิ่งประหลาดใจ หลังครุ่นคิดจึงกล่าว “คนหนุ่มผู้นี้น่าทึ่งยิ่งนัก เขาหาเรื่องต่อสองอำนาจใหญ่แห่งมหานครอวิ๋นเหออย่างกะทันหัน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะอายุยังเยาว์จนเกิดไม่รู้ความ หรือว่าไร้ความเกรงกลัวกันแน่?”

จางจือเหยียนขณะนี้สวมใส่ชุดคลุมสีเหลืองสว่าง ร่างกายสูงโปร่ง ใบหน้ากระจ่างไร้หนวดเครา แสดงถึงความร่ำรวยอันเปี่ยมล้น

ทว่าเหล่าตัวตนใหญ่โตแห่งมหานครอวิ๋นเหอล้วนทราบกันดีว่าจางจือเหยียนผู้นี้คือพยัคฆ์ยิ้มแย้ม ปิดซ่อนคมมีดภายใต้รอยยิ้ม พร้อมตวัดมือก่อการโหดเหี้ยม

ข้ารับใช้เฒ่าชรากล่าวตอบ “กระนั้นก็ยังไม่มีผู้ใดสืบทราบ ว่าคนหนุ่มซูอี้ผู้นี้มาจากที่ใด”

จางจือเหยียนพยักหน้าตอบรับ “ใส่ใจเรื่องนี้ให้มาก รับชมการตอบสนองของจวนผู้ว่าการเขตปกครองและสำนักดาบชิงเหอ หากมีข่าวคราวใด แจ้งต่อข้าโดยเร็วที่สุด”

ข้ารับใช้เฒ่าชราพยักหน้ารับ

สำนักดาบชิงเหอ

น้ำพุชะล้างดาบ

มู่ชางถูเพิ่งลับคมดาบเสร็จหมาด ๆ ใบดาบที่ดำสนิทกำลังสั่น ทั้งยังเผยเสียงสะท้อนในยามค่ำคืน

ร่างตัวเขาที่ผอมบาง สวมใส่ชุดสีขาว กำลังเผยท่าทีเคร่งเครียดตั้งสมาธิ

ยามที่ใจเขาไม่อาจสงบ เขามักจะลับดาบที่น้ำพุชะล้างดาบแห่งนี้ เพื่อทำให้จิตใจหนักแน่นคมกล้าประหนึ่งดาบ

โดยไม่ทราบว่าผ่านไปยาวนานเช่นไร มู่ชางถูเก็บดาบยาวลงในฝักดาบไม้สน พร้อมลุกขึ้นยืน

ร่างเขาค่อนข้างเตี้ย แต่ยามเมื่อลุกขึ้น กลิ่นอายกลับเป็นประหนึ่งภูเขาเดียวดายที่ค้ำตระหง่านจากพื้นแผ่นดิน เป็นความสูงล้ำที่สามารถสะเทือนฟ้าดิน

เหล่าผู้อาวุโสแห่งสำนักดาบชิงเหอทั้งหลายต่างยืนรออย่างเงียบงันไกลห่าง ขณะนี้ต่างทำความเคารพ

มู่ชางถู!

เจ้าสำนักแห่งสำนักดาบชิงเหอ ปรมาจารย์ผู้มีชื่อเสียงผ่านกาลเวลาอันยาวนาน!

เขาเป็นคนพูดน้อย บุคลิกประหนึ่งเหล็กแข็ง วิถีดาบแน่วแน่จนถึงจุดสูงสุด

ในมหานครอวิ๋นเหอ ตัวเขาเป็นที่รู้จักในนาม ‘หนึ่งดาบลำน้ำขจีบดขยี้ครึ่งเมือง’

ในค่ำคืนอันมืดมิด มู่ชางถูนำฝักดาบไม้สนพาดไว้ที่แผ่นหลัง น้ำเสียงคมกล้าประหนึ่งดาบ ถ้อยคำกล่าวออกเฉยชา

“กล่าวบอกฉินเหวินเยวียน ข้าผู้ฝึกฝนดาบ พร้อมจะสังหารสรรพสิ่ง โดยไม่สนชีวิตหรือความตาย ไม่กังวลแม้จะสำเร็จหรือล้มเหลว เขาอาจมีความคิดแฝงการอื่น แต่ตัวข้านั้นเลือกกระทำเพียงเท่านี้”

หลังกล่าวคำจบ มู่ชางถูไพล่มือด้านหลัง ก่อนจะลอยล่องหายไป

โจวฮวายชิวและคณะของสำนักดาบชิงเหอพบเห็น พวกเขาจึงได้ตระหนัก ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ค่ำคืนนี้ได้ส่งผลให้จวนผู้ว่าตัดสินใจลงมือสังหาร!

“ได้โอกาสแล้ว!”

ณ โรงเตี๊ยมภายในมหานครอวิ๋นเหอ โจวจือหลีถูไถฝ่ามือตนเองพลางหัวเราะ “เป็นฟ้าช่วยเหลือข้า บางทีอาจสังหารนกสองตัวด้วยก้อนหินเพียงหนึ่ง!”

ตัวเขาเพิ่งได้รับข่าวคราวที่เกิดขึ้นยังภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ ขณะนี้ได้ตระหนักว่ามันคือโอกาสอันยิ่งใหญ่

“ซูอี้กล้าก่อการเช่นนี้ แปลว่าตัวเขาย่อมมั่นใจว่าจะสามารถจัดการวิกฤตเรื่องราวได้ การที่เจ้าคิดเข้าแทรกแซงเรื่องราว และคิดว่าจะได้บุญคุณกลับมานั้น สมองของเจ้ามีปัญหาหรืออย่างไร?”

ชิงจินนั่งเกียจคร้าน พลางร่ำสุราหมดไปทีละเหยือก ร่องรอยความเย้ยหยันปรากฏผ่านดวงตากระจ่างประหนึ่งคมมีด

“มันจะเป็นไรไป? แม้การกระทำของเรานั้นอาจจะไม่ต่างกับมอบฟืนให้กับคนตัดไม้ในค่ำคืนหิมะกระหน่ำ มันก็ยังดีกว่ารับชมอยู่เฉย ๆ ไม่ใช่หรืออาจารย์อา?”

โจวจือหลีไม่ใส่ใจ กล่าวคำตอบชัดถ้อยชัดคำ “มากยิ่งกว่า คือจุดประสงค์ที่พวกเราเยือนมหานครอวิ๋นเหอครั้งนี้ ก็เพื่อจัดการฉินเหวินเยวียนให้ทำงานแก่ข้า แต่ช่วงหลายวันมานี้ จิ้งจอกเฒ่านั่นเงียบงัน เห็นชัดว่าไม่คิดตัดสินใจด่วนเดิมพัน!”

สุดท้าย เขาก็แค่นเสียงกล่าวคำออก “ครั้งนี้ ข้าคิดอยากได้เห็นนัก ต่อหน้านายน้อยซูที่เป็นดังเซียนผู้หนึ่ง ฉินเหวินเยวียนมันจะทำเช่นไร?”

“เมื่อถึงเวลาเหมาะควร ข้าค่อยออกหน้าเก็บกวาดเรื่องราว ฉินเหวินเยวียนคงไม่แคล้วจำเป็นต้องยอมก้มหัวศิโรราบ”

โจวจือหลีหันมองยังชิงจินอีกครั้ง “เช่นนี้แล้ว ข้าไม่เพียงได้บุญคุณจากนายน้อยซู แต่ยังได้จัดการฉินเหวินเยวียนด้วย นั่นจะไม่ถือเป็นการขว้างหินหนึ่งครั้งได้นกสองตัวหรอกหรือ?”

ชิงจินถอนหายใจบางเบา อารมณ์นั้นหมองหม่น “ในโลกหล้าใบนี้ เจ้าเผื่อใจถึงเรื่องเลวร้ายที่สุดที่จะพบเจอและหาหนทางที่ดีที่สุดเพื่อรับมือจะเป็นการดีกว่า และอย่าเพิ่งด่วนดีใจจนเกินไป”

โจวจือหลีไม่คิดใส่ใจ

พบเห็นเช่นนี้ ชิงจินก็คร้านจะกล่าวคำใดอีก

การแย่งชิงอำนาจทางโลกเช่นนี้ มีหรือซูอี้จะคิดสนใจ?

ไม่ว่าฉินเหวินเยวียน หรือว่ามู่ชางถู ในสายตาของตัวตนเช่นซูอี้ ก็เป็นเพียงปรมาจารย์ขอบเขตหลอมกำเนิดแค่สองคน

เช้าวันถัดมา เมฆค่อนข้างครึ้ม เป็นร่องรอยการปรากฏฝน

เรือนเงียบสุขสงบ

ซูอี้ก็ทำตัวเหมือนเช่นเคย ฝึกฝน ชำระกาย และทานอาหารโดยสงบใจ

แต่กับหวงเฉียนจวิน เฝิงเสี่ยวเฟิง และเฝิงเสี่ยวหรานต่างกังวลอย่างเด่นชัด หาได้ใช่สงบใจเหมือนเช่นเคย

ซูอี้ย่อมมองเห็น ทว่าไม่กล่าวคำใด

เขาเงยหน้ามองขึ้นไปยังฟากฟ้า พิจารณาเล็งเห็นว่าวันนี้สมควรมีฝนตกหนัก

พายุย่อมมาเยือน แต่ก็เป็นเวลาอันดี

ชั่วขณะนี้เอง ที่ปรากฏเสียงกีบเท้าดังขึ้นในตรอกน้ำเต้า

“ซูอี้! จวนผู้ว่าการเขตปกครองมีคำสั่ง ขอให้ไปพบปะกันยังลานฝึกฝนเตาหลอมขจีภายนอกเมือง!”

บุคคลในชุดดำเคาะประตู ทั้งร่างกายนั้นเผยพลังอันเย็นเยือก

หวงเฉียนจวินและผู้อื่นต่างเผยสีหน้าซีดเผือด จวนผู้ว่าการเขตปกครองคิดลงมือแล้วงั้นหรือ?

“ดี!” ซูอี้ตอบรับคำโดยไม่ลังเล

บุคคลในชุดดำควบม้าจากไป โดยไม่คิดรอ

“พี่ซู”

หวงเฉียนจวินสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมกล่าว “ข้าจะไปกับท่าน!”

“ฝนใกล้ตกแล้ว…”

ซูอี้กล่าวคำเบา “หากไปก็นำร่มไปสองคัน ข้าไม่คิดกลับด้วยเสื้อที่เปียกโชก เป็นสภาพอันชวนไม่รับชม”

หวงเฉียนจวินเร่งรีบรับคำโดยเร็ว

“ศิษย์พี่ซู…”

เฝิงเสี่ยวเฟิงคิดกล่าวอะไรออก กระนั้นซูอี้กลับยิ้มรับและห้ามไว้ “รอประเดี๋ยว”

เพียงชั่วอึดใจ

เสียงกีบเท้าก็ดังปรากฏเร่งรีบมุ่งมาอีกหนึ่งเสียง

ด้วยชุดเครื่องแบบทหาร หยวนลั่วซีผู้งามสง่าเร่งรีบมา พร้อมเผยยิ้มที่ใบหน้างดงาม “คุณชายซู บิดาข้ารับปากช่วยเหลือแล้ว”

ด้านหลังนาง เฉิงอู้หย่งพยักหน้ารับอย่างเร่งรีบโดยเร็ว

ซูอี้ยิ้มตอบ พร้อมชี้ไปยังสองพี่น้องตระกูลเฝิง “หากคิดอยากช่วย เช่นนั้นก็ดูแลพวกเขา ข้าจะไปยังลานฝึกฝนเตาหลอมขจีสักครู่หนึ่ง ประเดี๋ยวก็กลับมา”

หลังกล่าวคำ เขาจึงมุ่งออกจากลานบ้าน

ตอนนี้เองเฝิงเสี่ยวเฟิงค่อยได้ตระหนัก ซูอี้คาดเดาได้ว่าหยวนลั่วซีจะต้องมา ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่ารอประเดี๋ยว นั่นก็เพื่อใช้อำนาจของตระกูลหยวนดูแลพวกเขาพี่น้อง!

“ศิษย์พี่ซู เมื่อวานที่ข้าอุ่นเหล้านั้นท่านไม่ดื่ม วันนี้ข้าจะอุ่นอีกครั้ง รอคอยท่านกลับมา!”

หลังสูดลมหายใจเข้าลึก เฝิงเสี่ยวเฟิงกล่าวคำเสียงดัง

“ดี!” ซูอี้โบกมือตอบโดยไม่หันกลับมอง

ณ ลานบ้านด้านนอก

หวงเฉียนจวินเตรียมรถม้าไว้พร้อมแล้ว

“อาหย่ง ฝากที่นี่กับท่านด้วย”

พบเห็นเรื่องราว หยวนลั่วซีจึงเร่งรีบไล่ตามไป

เฉิงอู้หย่งเกิดร้อนใจ ไฉนกลายเป็นตัวเขาพลาดเรื่องราวน่ารับชมเช่นนี้ไปได้?

กระนั้นยามนึกถึงคำชี้แนะของซูอี้ เขาก็ทำได้เพียงยับยั้งตนเอาไว้

เมฆครึ้มบนฟากฟ้า โลกหล้ากลายเป็นมืดครึ้ม

ภายนอกเมือง

ลานฝึกฝนเตาหลอมขจี

สถานที่แห่งนี้อยู่เคียงข้างแม่น้ำต้าฉาง ใกล้เคียงคือค่ายทหารของจวนผู้ว่าการเขตปกครอง ประกอบด้วยกำลังคนกว่าสามพัน ซึ่งล้วนเป็นนักรบอันห้าวหาญ

ทางด้านลานฝึกฝนอันกว้างใหญ่ มีธงมากมายปักเอาไว้ สะบัดพลิ้วไปกับสายลม

กลุ่มทหารที่แข็งแกร่ง ยืนเรียงแถวเป็นระเบียบเผยกลิ่นอายกล้าแกร่ง

บนเวทียกสูงข้างลานฝึกฝน ฉินเหวินเยวียนนั่งตรงกลาง เป็นประหนึ่งขุนเขาอันนิ่งสงบ

ข้างกายเขา ประกอบด้วยตัวตนยิ่งใหญ่ภายในจวนผู้ว่าการเขตปกครอง ประหนึ่งดาวล้อมเดือน

ที่ยืนข้างฉินเหวินเยวียน คือฉินเฟิงผู้เป็นบุตรชาย

สายตาเขาคอยมองสอดส่อง ในใจตื่นเต้นยินดี กระทั่งคิดว่าซูอี้จะต้องถูกประหารที่ลานฝึกฝนแห่งนี้

หลายคนต่างนั่งอยู่บนที่นั่ง ขนาบสองข้างของเวทียกสูงเอาไว้

พวกเขาเกือบทั้งหมดล้วนเป็นตัวตนใหญ่โตของมหานครอวิ๋นเหอ หากพวกเขาพร้อมใจกันลงมือ ย่อมสามารถสั่นคลอนมหานครอวิ๋นเหอได้สามครา

ฟากฟ้าหมองหม่น เมฆปกคลุมหนา ลานฝึกฝนเต็มไปด้วยอากาศเย็นเยือกและกดดัน

พวกเขากำลังรอคอย

หลังเหตุการณ์ที่ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา ตัวตนยิ่งใหญ่ภายในเมืองล้วนได้ตระหนัก

ทุกคนต่างได้ทราบ ว่าลานฝึกฝนเตาหลอมขจีในวันนี้ จะมีการแสดงครั้งใหญ่บังเกิดขึ้น!

“ตระกูลจางมาเยือนแล้ว!”

ทันใดนี้เอง จากทางประตูใหญ่ลานฝึกฝน เสียงหนึ่งดังก้องขึ้น

ถัดจากนั้น ภายใต้สายตาประหลาดใจนับไม่ถ้วน คนกลุ่มหนึ่งก้าวเดินเข้ามา

อีกฝ่ายคือผู้นำตระกูลจาง จางจือเหยียน ผู้มีใบหน้าขาวผ่องพร้อมรูปลักษณ์อิ่มเอม

ด้านหลัง ติดตามมาด้วยบุตรชายจางเยวี่ยนซิง รวมถึงตัวตนผู้แข็งแกร่งภายในตระกูลจาง

การปรากฏตัวของพวกเขา ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาในลานฝึกฝน

“พี่จาง ขอเชิญทางนี้เลย”

ฉินเหวินเยวียนลุกขึ้นยืน พร้อมประสานฝ่ามือร้องเรียกแต่ไกล

“นายท่านฉิน ผู้น้อยจางมาที่นี่ เพื่อให้บุตรชายได้เปิดประสบการณ์อันกว้างไกล เรื่องราวอื่นใดขอไม่ข้องเกี่ยว ดังนั้นท่านโปรดวางใจ”

จางจือเหยียนเผยยิ้มตอบรับ

ไม่ช้า พวกเขาจึงหาที่นั่งเพื่อรับชม

“ตระกูลหยวนมาเยือนแล้ว!”

เพียงไม่นาน อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมเสียงฮือฮาของผู้รับชม

กระทั่งฉินเหวินเยวียนยังประหลาดใจ คิ้วขมวดจนเกิดริ้วรอย เหตุใดจิ้งจอกเฒ่าหยวนอู่ทงจึงมาที่นี่?

เขาและจางจือเหยียนต่างมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน ดังนั้นจางจือเหยียนมาเยือน จึงไม่ใช่เรื่องประหลาดใจ

ทว่าการมาถึงของหยวนอู่ทง ทำเขาประหลาดใจได้จริง

สาเหตุที่เขาและหยวนอู่ทงไม่มีสัมพันธ์ใดต่อกัน ก็เพราะไม่ใช่ผู้เดินบนหนทางเดียวกัน น้อยครั้งจะได้ติดต่อสื่อสารกัน

ยามครุ่นคิด พลันได้เห็นสองร่างก้าวเดินเข้ามาทางประตูใหญ่ของลานฝึกฝน

ผู้นำมาสวมใส่ชุดคลุมแขนยาว บรรยากาศเป็นประหนึ่งผู้คงแก่เรียน เปรียบดังอาจารย์สอนตำราผู้หนึ่ง

คนหนุ่มข้างกายร่างสูงสีหน้าเคร่งขรึม แสดงถึงความหาญกล้าสะกดข่ม

เป็นหยวนอู่ทงและบุตรชายคนรองหยวนลั่วอวี่

บิดาและบุตรชายคู่นี้ไม่ได้นำผู้ติดตามมา กระนั้นผู้ใดจะกล้าเมินเฉยได้?

ตัวตนอันสำคัญหลายคนของแต่ละฝ่าย ต่างลุกขึ้นยืนกันกล่าวทักทาย

จางจือเหยียนเผยยิ้มพร้อมถาม “พี่หยวน ข้ามาที่นี่รับชมเรื่องสนุก ท่านมาทำอะไรที่นี่กัน?”

“มาหาความสำราญ” หยวนอู่ทงยิ้มตอบ

จางจือเหยียนถอนหายใจพร้อมหัวเราะ “ข้านึกว่าพี่หยวนมาที่นี่ เพื่อยืนหยัดแก่คนหนุ่มนามซูอี้เสียอีก”

หยวนอู่ทงปรบมือตนเองกล่าวคำชม “พี่จางสายตากว้างไกล พบเห็นเจตนาของหยวนผู้นี้เพียงแค่มอง น่านับถือนัก”

จางจือเหยียนแสดงสีหน้างุนงง

ผู้อื่นที่นี้ต่างชะงักงันไปครู่ ราวกับนึกคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

ที่บนเวทียกสูง ดวงตาฉินเหวินเยวียนหรี่เล็กลง สีหน้าเผยความเย็นเยือก ถ้อยคำกล่าวออก “คนหนุ่มซูอี้กล้าสังหารคนของจวนผู้ว่าการเขตปกครอง ก่อเกิดความวุ่นวายและหายนะครั้งใหญ่ พี่หยวนคิดหนุนหลังเขางั้นหรือ?”

ถ้อยคำเหล่านี้ ล้วนเพ่งเล็งยังหยวนอู่ทง!

หลายคนต่างเกิดประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าเห็นพ้องกับคำของฉินเหวินเยวียน

หยวนอู่ทงพบเห็นเช่นนี้จึงหัวเราะตอบ ศีรษะส่ายเล็กน้อยกล่าวคำ “ซูอี้ผู้นั้น ไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลหยวนของข้าหนุนหลังแต่อย่างใด หากนายท่านฉินไม่เชื่อ เช่นนั้นรอคอยเขามาสักประเดี๋ยว สอบถามแล้วจึงได้ทราบ”

เพียงสิ้นคำกล่าว

ไกลห่างนอกลานฝึกฝน รถม้าเดียวดายกำลังมุ่งหน้าเข้ามาพร้อมฟากฟ้าอันหมองหม่น

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *