บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 323: สถานการณ์ที่ผาชมเมฆาสมุทร

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 323: สถานการณ์ที่ผาชมเมฆาสมุทร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 323: สถานการณ์ที่ผาชมเมฆาสมุทร

ตอนที่ 323: สถานการณ์ที่ผาชมเมฆาสมุทร

เป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วไปที่จะแยกแยะตัวตนอย่างผู้สิงสถิตออกมา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้สิงสถิตทรงพลังบางคนที่สามารถผสานกับพลังของร่างกายที่ช่วงชิงมาได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ยากสำหรับผู้ฝึกตนที่จะสังเกตเห็น

แต่สำหรับซูอี้แล้ว มันง่ายมากที่จะระบุว่าใครเป็นผู้สิงสถิต

ในเก้ามหาแดนดิน เกือบทุกสำนักมีความลับและสมบัติในการระบุตัวผู้สิงสถิต

และซูอี้ซึ่งเป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน ย่อมรู้วิธีการดังกล่าว

เมื่อเห็นหงเซินชางเป็นครั้งแรก ‘จิตสัมผัส’ ของซูอี้ก็พบว่ารัศมีของหงเซินชางนั้นผิดปกติมาก

เมื่อเขาใช้วิธีลับในการตรวจสอบ จึงพบว่าจิตวิญญาณของหงเซินชางเป็นดั่งรังนกกางเขน!

“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หงเซินชางอยู่เคียงข้างจักรพรรดิโจวองค์ปัจจุบัน เขาถูกมองข้ามหรือไม่ หรือจักรพรรดิโจวได้ตระหนักถึงเรื่องนี้แล้ว?”

ซูอี้กล่าวเบา ๆ

เขาไม่ได้เป็นศัตรูกับหงเซินชาง แต่ถ้าอีกฝ่ายกล้ามองว่าเขาเป็นศัตรู ตนเองก็ไม่รังเกียจที่จะจับจิตวิญญาณของอีกฝ่ายมาศึกษาอย่างละเอียด

……

ในวันเดียวกันนั้น ความโกลาหลที่ด้านหน้าของหอหลิวซางก็แพร่กระจายไปทั่วนครหลวงอวี้จิงทำให้เกิดความสนใจนับไม่ถ้วน

“ไม่คาดคิดว่าคนแรกที่ออกมาจะคือ ‘เซียนดาบเทียนหง’ แห่งต้าฉิน”

ผู้คนต่างพากันประหลาดใจ

“อนุภรรยาคนที่สี่ของซูหงหลี่และบุตรชายซูป๋ออิ๋นถูกบังคับให้คุกเข่าหน้าหอหลิวซาง นี่จะไม่เป็นการตบหน้าซูหงหลี่หรอกหรือ?”

มีคนตัวสั่นและตื่นตกใจในการกระทำของซูอี้

“ว่ากันว่าองค์ชายหกก็อยู่ที่นั่นในเวลานั้น เหตุการณ์น่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียแล้ว!”

“น่าแปลกใจจริง ๆ ที่ซูอี้ไม่ได้พ่ายแพ้ในการประลองกับโหยวเทียนหง”

“สามวันให้หลังที่ภูเขาจิ่วจี้!”

…ในตอนท้ายของการสนทนาที่หลากหลาย พวกเขาทั้งหมดต่างมุ่งความสนใจไปที่การต่อสู้ระหว่างโหยวเทียนหงและซูอี้

ก่อนหน้านี้ มีข่าวลือเกี่ยวกับความเก่งกาจของซูอี้ดังไปทั่วหล้า แต่ในนครหลวงอวี้จิงแห่งนี้ มีคนเพียงไม่กี่คนที่ได้เห็นความแข็งแกร่งของซูอี้ด้วยตาตัวเอง

และตอนนี้โอกาสนั้นมาถึงแล้ว!

สามวันให้หลังที่ด้านบนของภูเขาจิ่วจี้ จะสามารถเห็นความเก่งกาจของซูอี้ได้อย่างแท้จริง!

วังหลวง

หลังจากฟังรายงานของราชครูหงเซินชางแล้ว จักรพรรดิโจวก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า “ราชครู ท่านรู้หรือไม่ว่าผลการฝึกของโหยวเทียนหงเป็นอย่างไร?”

หงเซินชางกล่าวโดยไม่ลังเล “อยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญ และ ‘ภาวะดาบหยินอสนี’ ก็อยู่ในขั้นสรวงสวรรค์ระดับกลาง ทำให้โดดเด่นจากผู้คนในขอบเขตเดียวกัน จึงสามารถเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งไม่มีสอง”

“ศาสตราวิญญาณของเขา ว่ากันว่าเป็น ‘สมบัติโบราณ’ ที่ได้รับจากซากวิหารสมบัติในส่วนลึกของทะเลวิญญาณโกลาหล พลังของมันไม่อาจคาดเดาได้”

จักรพรรดิโจวกะพริบตา ก่อนจะกล่าวว่า “ทุกคนรู้ดีว่าเมื่อเก้าปีที่แล้ว โหยวเทียนหงได้รับโชคลาภมากมายในส่วนลึกของทะเลวิญญาณโกลาหล ที่คาดว่าน่าจะข้องเกี่ยวกับวิถีปราชญ์ แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าโชคที่แท้จริงคืออะไร”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็มองไปที่หงเซินชางและกล่าวว่า “ราชครู ท่านเห็นเงื่อนงำบางอย่างหรือไม่? นัดหมายประลองที่ภูเขาจิ่วจี้ในอีกสามวันให้หลังผลจะออกมาเช่นไร?”

หงเซินชางกล่าวว่า “เมื่อถึงเวลา ข้าจะไปที่นั่นด้วยตนเอง”

จักรพรรดิโจวพยักหน้าและกล่าวต่อ “ถ้าท่านไปข้าก็โล่งใจ ถ้าไม่ใช่เพราะสถานะของข้า ข้าก็อยากเห็นความสามารถของซูอี้เช่นกัน แต่ก็น่าเสียดาย…”

เขาถอนหายใจ

หงเซินชางกล่าวว่า “ฝ่าบาท ท่านคิดเห็นเช่นใดกับองค์ชายหก?”

จักรพรรดิโจวเงียบไปครู่หนึ่ง

ผ่านไปนาน เขาก็โบกมือ “อย่าไปสนใจเขาเลย”

……

ตระกูลซู

ลานชิงอู๋

หลังจากฟังข่าวที่เกิดขึ้น ณ หอหลิวซาง ท่าทีของซูหงหลี่ก็ยังคงสงบเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ

หลังจากรู้ว่าโหยวชิงจือและซูป๋ออิ๋นถูกบังคับให้คุกเข่า

แต่เขากลับไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ และนิ่งสงบจนน่ากลัว

“ข้าคิดว่าโหยวเทียนหงมีโชคและจิตวิญญาณที่ดี แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าคงประเมินเขาสูงไป”

ดวงตาของซูหงหลี่ฉายแววดูถูกเหยียดหยาม “ในฐานะผู้ฝึกตน การผสานจิตวิญญาณและพลังปราณเข้าด้วยกันก็เพียงพอแล้วที่จะค้นพบสิ่งผิดปกติ แต่เขากลับไม่สังเกตเห็นแม้แต่น้อย นับว่าไร้ประโยชน์นัก!”

ชายชราที่สวมชุดคลุมถอนหายใจเบา ๆ “สิ่งนี้เป็นที่เข้าใจได้ ใครจะไปคิดว่าปรมาจารย์อย่างซูอี้จะสามารถใช้ ‘จิตสัมผัส’ ได้? นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้ว่าเจ้าจะศึกษาหนังสือโบราณเหล่านั้น เจ้าก็ไม่อาจพบวิธีดังกล่าว”

“จิตสัมผัส…”

ซูหงหลี่กล่าวกับตัวเอง “ใช่แล้ว เขาอยู่แค่วิถียุทธ์ เขาจะสามารถควบคุมจิตสัมผัสได้อย่างไร? นี่มันน่าเหลือเชื่อจริง ๆ …”

ชายชราในชุดคลุมเอ่ยถามว่า “สหายเต๋า เจ้าอยากดูการต่อสู้ ณ ภูเขาจิ่วจี้ในอีกสามวันให้หลังหรือไม่?”

ซูหงหลี่โบกมือ

เขาไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่ม

แต่ชายชราในชุดคลุมดูเหมือนจะคาดหวังสิ่งนี้ และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงเวลานั้น ข้าจะไป เพราะข้าเริ่มสงสัยเกี่ยวกับความลับของซูอี้มากขึ้นเรื่อย ๆ เสียแล้ว”

ซูหงหลี่กล่าวอย่างเฉยเมย “สหายเต๋า เมื่อถึงเวลานั้นก็อย่าได้สับสน”

ชายชราในชุดคลุมหรี่ตาและพยักหน้าทันที

“อย่างไรก็เถอะ เรื่องวันนี้สหายเต๋าจะอยู่เฉยเช่นนี้จริง ๆ หรือ?”

ชายชราในชุดคลุมเอ่ยถาม

ไม่ว่าในกรณีใด โหยวชิงจือก็เป็นภรรยาของซูหงหลี่ และซูป๋ออิ๋นก็ยังเป็นทายาทโดยตรงของเขา การถูกดูหมิ่นเช่นนี้ เกรงว่าตอนนี้ทั้งนครหลวงอวี้จิงกำลังรอดูเรื่องตลกนี้อยู่

“ปล่อยให้เด็กชั่วคนนั้นย่ามใจต่อไปอีกหน่อยเถอะ”

ท่าทางของซูหงหลี่ไม่แยแส แต่ในดวงตาของเขาฉายแววเย็นวาบครู่หนึ่งก่อนจะหายไป

เขาไม่ได้สงบนิ่ง

เขาจะเฉยเมยได้อย่างไรเมื่อภรรยาและลูกได้รับความอับอายเช่นนี้?!

เรือนรับรองของคณะทูตต้าฉิน

ภายในห้องโถงที่สว่างไสว

“เหตุใดสหายเต๋าไม่รอก่อน? ในนครหลวงอวี้จิงแห่งนี้… มีคนมากมายอยากฆ่าซูอี้ แต่พวกเขาทั้งหมดกำลังรอ ไม่มีใครยอมออกหน้าเป็นคนแรก”

จี้เหอกล่าวเบา ๆ “พูดอีกอย่างก็คือ ทุกคนต่างรอให้คนจากตระกูลซูลงมือก่อน แล้วดูว่าซูอี้จะไร้หัวใจถึงขนาดทำร้ายครอบครัวตนเองหรือไม่”

หัวหน้าผู้อาวุโสอารามหลานฮั่นแห่งวัดซ่างหลิน มีรูปร่างผอมบางและรูปลักษณ์ที่ชรา ทำให้รอบกายของเขามีบรรยากาศสงบเงียบและเฉยเมย

“สำหรับคนอื่น พวกเขาอาจกลัวพลังดาบของซูอี้ที่ฆ่าหลี่ฉางหนิง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าเริ่มก่อน แต่สำหรับผู้ฝึกดาบอย่างข้าที่มองไปข้างหน้า เพียงแค่นี้จะมาถอยหลังด้วยความกลัวได้อย่างไร?”

ร่างของโหยวเทียนหงยืนตัวตรง ดวงตาของเขาเย็นเยียบราวกับดาบ “ฝึกให้แข็งแกร่งนั้นง่าย แต่ฝึกจิตใจนั้นยาก หากมีความหวาดระแวงในใจแอบแฝง ภาวะดาบก็จะอ่อนแอ สิ่งนี้เป็นข้อห้ามที่ยิ่งใหญ่ในการฝึกฝน!”

จี้เหอยิ้ม ก่อนจะกล่าวว่า “สหายเต๋าแข็งแกร่งราวกับเหล็ก นับว่าน่าชื่นชมจริง ๆ ในสามวันให้หลัง ชายชราผู้นี้กับสหายเต๋าจะไปที่ภูเขาจิ่วจี้ด้วยกัน”

โหย่วเทียนหงขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ดูการต่อสู้ได้ แต่อย่าเข้ามายุ่ง”

จี้เหอยิ้มและกล่าวว่า “หากสหายเต๋าสามารถตัดหัวซูอี้ได้ ย่อมไม่มีโอกาสให้ชายชราผู้นี้ลงมือแล้ว”

……

เวลาสามวันผ่านไปในชั่วพริบตา

ในไม่ช้า เวลาสำหรับการต่อสู้ก็จะมาถึง

วันที่ยี่สิบเดือนสี่

เวลาเช้าตรู่ ที่ยอดเขาจิ่วจี้ห่างจากนครหลวงอวี้จิงสามสิบลี้

มีหน้าผาสูงชันแห่งหนึ่งซึ่งส่วนยอดเป็นลานกว้างพื้นเรียบ และหากมองจากบนยอดผานี้จะเห็นทะเลหมอกอันกว้างใหญ่ที่ม้วนตัวไปมาอย่างวิจิตรงดงาม

สถานที่แห่งนี้จึงได้ถูกขนานนามว่า ‘ผาชมเมฆาสมุทร’

สถานที่แห่งนี้เดิมเป็นสถานที่โปรดสำหรับนักปราชญ์และกวีในนครหลวงอวี้จิง จึงมีบทกวีมากมายถูกทิ้งไว้ที่นี่

แต่วันนี้ ที่แห่งนี้คือที่ที่เหล่าผู้ฝึกยุทธ์มารวมตัวกัน เป็นการรวมตัวของเหล่าผู้แข็งแกร่ง!

ในยามเช้า ใกล้กับผาชมเมฆาสมุทร ซึ่งสามารถมองเห็นร่างเงาได้ทุกที่ทุกแห่ง

มีปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียง และบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ที่มีอำนาจในโลก เช่นเดียวกับที่มีเทพเซียนเดินดินซึ่งเป็นเสมือนมังกรเห็นหัวแต่ไม่เห็นหางปรากฏกายอยู่

ไม่เป็นการเกินจริงที่จะกล่าวว่าในตอนนี้ภูเขาจิ่วจี้ราวกับมีงานใหญ่จัดขึ้น ร่างของเหล่าผู้แข็งแกร่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมา

บุคคลที่อยู่ภายใต้ขอบเขตปรมาจารย์ไม่มีคุณสมบัติที่จะอยู่ที่นี่ในหมู่พวกเขาสามารถดูได้จากเชิงเขาเท่านั้น

“ดูสิ คนจากสำนักดาบมังกรเร้นมาแล้ว นั่นคือผู้นำคือผู้อาวุโสฉือเฟิงหลิว!”

ร่างของฉือเฟิงหลิวที่สวมเสื้อคลุมเต๋าเองก็ปรากฏตัวขึ้น ณ ที่แห่งนี้ ซึ่งทำให้ไม่รู้ว่ามีกี่สายตาถูกดึงดูดไปที่ร่างนั้น

แต่ในวันนี้จุดเด่นไม่ใช่คนจากสำนักดาบมังกรเร้นเพียงผู้เดียว

ไม่นานก็มีเสียงอุทานดังขึ้น…

“นั่นใช่ราชาขนนกหรือไม่? ตัวตนในตำนานผู้นั้นก็มาอย่างนั้นหรือ?”

สายตาในบริเวณใกล้เคียงถูกดึงดูดโดยหญิงสาวในชุดขาวที่ถือดาบ นางงดงามราวกับเทพธิดาบนท้องฟ้า

หลังจากที่เยว่ซือฉานมาถึง นางเพียงยืนสบาย ๆ อยู่ใต้ต้นสนสีเขียวริมหน้าผาที่เงียบสงบและโดดเดี่ยว ทำให้สถานที่ตรงนั้นกลายเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดในสถานที่แห่งนี้

และด้วยการมาถึงของผู้ยิ่งใหญ่ทีละคน ทำให้ผู้คนบริเวณใกล้ผาชมเมฆาสมุทรเกิดการพูดจาถกเถียงกันอย่างดุเดือด

บางคนทำการคำนวณคร่าว ๆ ว่ามีคนในขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ไม่ต่ำกว่าสิบคน ซึ่งผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้หลายคนสั่นสะท้านและตื่นตกใจ

นี่เป็นเรื่องปกติมาก ตั้งแต่ข่าวการต่อสู้ของโหยวเทียนหงและซูอี้แพร่กระจายไปเมื่อสามวันก่อน มันก็ทำให้ผู้คนทั่วทั้งต้าโจวรีบเร่งเดินทางมาที่นครหลวงอวี้จิงแห่งนี้

จุดประสงค์คือการได้เห็นการต่อสู้ที่หายากครานี้!

“ท่านราชครูก็มาแล้ว!”

ไม่นาน บรรยากาศในที่แห่งนี้ก็เดือดพล่านขึ้นอีกครา เหตุผลก็คือ เจ้าตำหนักเฟิ่งฉี ราชครูคนปัจจุบันหงเซินชางก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน!

“ฮ่า ๆๆ ไม่คาดคิดว่าสหายเต๋าหงก็มาด้วย เรื่องนี้ทำให้ข้าประหลาดใจอย่างยิ่ง”

เสียงหัวเราะดังขึ้น

ไกลออกไป มีคนกลุ่มหนึ่งเดินมา ซึ่งนำโดยชายชราสวมเสื้อคลุมสีแดง ผมและเคราสีขาว ถือตราบางอย่างในมือข้างหนึ่ง และอีกมือหนึ่งจับเส้นผม ดู ๆ แล้วคนผู้นี้คล้ายจะมากไปด้วยพลังมหาศาลอัดแน่นอยู่ภายใน!

“ผู้อาวุโสสำนักวงเดือนแห่งต้าเว่ย อวิ๋นจงฉี!”

สายตาจากทั่วสถานที่แห่งนั้นถูกดึงดูดไป

อวิ๋นจงฉี กล่าวกันว่าเมื่อหลายสิบปีก่อนเขาเป็นเทพเซียนเดินดินที่มีชื่อเสียง รับหน้าที่ดูแลศาสตราวิญญาณที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นของสำนักวงเดือน และผลการฝึกฝนของเขานั้นก็ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา

ในตอนนี้เขายังเป็นผู้นำของกลุ่มคณะทูตแห่งต้าเว่ยอีกด้วย!

หงเซินชางมองไปที่อวิ๋นจงฉี พยักหน้าและกล่าวว่า “หงผู้นี้ไม่อาจพลาดงานที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้”

ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น ก็มีเสียงโวยวายอยู่ไกล ๆ ตามมาด้วยเสียงตะโกนอันดังว่า

“เซียนดาบเทียนหงมาแล้ว!”

ทันใดนั้น ไม่ว่าจะเป็นเทพเซียนเดินดินที่โด่งดังไปทั่วโลกสามัญ หรือบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถเขย่าโลกด้วยการกระทืบเท้า ทุกสายตาก็พลันกวาดออกไป

บนเส้นทางระหว่างภูเขา กลุ่มคนกำลังเดินจากระยะไกล

มีผู้นำสองคน

ชายสวมเสื้อคลุมเรียบ ๆ มีแก้มบางและสวมมงกุฎบนศีรษะ

คนหนึ่งเป็นหลวงจีนในจีวร ใบหน้าอ่อนโยน

พวกเขาคือโหยวเทียนหง และจี้เหอหัวหน้าผู้อาวุโสของอารามหลานฮั่นวัดซ่างหลินแห่งต้าฉิน!

ผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งสองคนคือขุนนางในกลุ่มคณะทูตแห่งต้าฉิน

เมื่อพวกเขามาถึง บรรยากาศบนทิวทัศน์ของผาชมเมฆาสมุทรได้มาถึงระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งโหยวเทียนหงได้กลายเป็นจุดสนใจ

เนื่องด้วยการต่อสู้ในวันนี้มีที่มาจากเซียนดาบเทียนหงแห่งต้าฉินผู้นี้!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *