บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 761: ไม่มีวันแตกดับ

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 761: ไม่มีวันแตกดับ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 761: ไม่มีวันแตกดับ

ตอนที่ 761: ไม่มีวันแตกดับ

ภายในค่ายกลปีศาจฟ้าพิฆาตสวรรค์

ซูอี้ควบคุมดาบ ฆ่าไม่เว้น

ครืน! ครืน! ครืน! ครืน!

พลังดาบไร้เทียมทานแต่ละเล่มพุ่งแทงแหวกอากาศ ทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า ทุกแห่งที่พาดผ่าน ปีศาจฟ้าเหล่านั้นต่างดับสลายไม่มีเหลือ

ส่วนหุ่นศพเหล่านั้นเปรียบได้ดั่งกอหญ้า ไม่ต้องเข้าไปใกล้ก็โดนอานุภาพของพลังดาบอันยิ่งใหญ่บดขยี้จนแหลกละเอียด

แท่นวิถีที่เกิดขึ้นจากค่ายกลสะกดโลกันตร์เก้าขั้นทั้งแปดแห่งนั้น เวลานี้ก็ถูกทำลายลงไปด้วยเช่นกัน

“เร็วเข้า รีบจัดการ!”

“ฆ่า!”

เพื่อทำการปิดล้อมซูอี้ เวลานี้พวกผู้ฝึกตนขอบเขตสยายวิญญาณที่ยืนบนแท่นวิถีต่างช่วยกันขับเคลื่อนค่ายกลอย่างเต็มกำลังราวกับเสียสติ

คลื่นกักขังหน่วงเหนี่ยวทรงพลังราวกับอัสนีพิฆาต ราวกับทะเลพายุเดือด

ทว่าการโจมตีเช่นนี้ ต่อให้ออกแรงสุดกำลังแล้วก็ตาม แต่สำหรับซูอี้แล้วไม่ได้สร้างความหวาดกลัวอันใด

ฉับพลัน…

ครืน!

พลังดาบเจิดจ้าเล่มหนึ่งพุ่งออกไป กำลังดาบเปรียบคมมีดแห่งสวรรค์ เพียงพอที่จะเฉือนภูเขาตัดน้ำทะเล

ภายใต้ดาบนี้ แท่นเวทีขนาดใหญ่ยักษ์แท่นหนึ่งล่มสลายลงในพริบตา มหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตสยายวิญญาณแห่งสำนักวิถีสุญญะเก้าคนที่ยืนอยู่บนนั้นร่างแตกวิญญาณดับ

ดาบเดียวฟันทะเลภูเขา ความโกลาหลทุกอย่างสงบลง ณ บัดนี้!

อานุภาพดาบอันแก่กล้าสร้างความตื่นตระหนกให้กับทุกคนอีกครั้ง

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้แล้ว เลี่ยหยางชงแห่งสำนักวิถีสุญญะถึงกับโกรธเกรี้ยวจนตาแทบถลน

ผู้ยิ่งใหญ่ดังเช่นพวกเขาไม่ได้ทำเพียงแต่มองตาปริบ ๆ แต่ในทางกลับกัน พวกเขาพยายามขับเคลื่อนพลังของค่ายกลปีศาจฟ้าพิฆาตสวรรค์อย่างเต็มกำลังอยู่ตลอด

ทว่าแม้จะพยายามเพียงนี้แล้ว ก็ยังไม่อาจต้านทานการบุกโจมตีของซูอี้ได้

หลังจากดีดนิ้วสองครั้ง

แท่นวิถีอีกแท่นหนึ่งก็ล่มสลาย โดนพลังดาบอันรุนแรงน่ากลัวฟันโดน ผู้ฝึกวิถีพุทธของสำนักฌานกระจ่างจิตที่ยืนอยู่บนนั้นทำได้เพียงแค่ส่งเสียงร้องโอดครวญสะท้านพิภพออกมา จากนั้นแตกระเบิดจนตาย

พลังดาบเช่นนั้นช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน ฟันไม่เลือก แทงไม่ยั้ง หลอมประทับด้วยเคล็ดพลังมหาล้ำลึกขั้นสุดยอดทั้งสาม ได้แก่ จุดกำเนิด มหาลึกล้ำ และนิมิตเลือนราง พลังทั่วไปจะเทียมเทียบได้เช่นใดกัน?

“ชั่วช้า!!”

เฉิงหยวนโกรธจนตาถลนโนเวลพีดีเอฟ

ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น เวลานี้บุคคลผู้ยิ่งใหญ่เช่นพวกของหวนเทียนตู้ก็โกรธมากเช่นกัน แต่ละคนโกรธจนหน้าดำหน้าแดง

ทว่าผู้ที่คอยดูเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ ต่างก็ตื่นตะลึง

ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ ศึกครั้งนี้มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นมากมาย แต่ละครั้งล้วนสร้างความตื่นตระหนกหวาดกลัว

ไม่ว่าจะเป็นความน่าสะพรึงกลัวของกับดักที่ขุมกำลังใหญ่สร้างขึ้น หรือว่าฝีมืออันแข็งแกร่งที่ซูอี้แสดงออกมา แต่ละครั้งล้วนสร้างการรับรู้ใหม่ให้แก่พวกเขา และสร้างความสั่นสะเทือนต่อจิตใจพวกเขาอย่างรุนแรง

จนถึงตอนนี้ เมื่อเห็นซูอี้สำแดงเดชกลางค่ายกลปีศาจฟ้าพิฆาตสวรรค์แล้ว คนทั้งหลายต่างก็อดคิดไม่ได้ว่าขุมกำลังใหญ่เหล่านั้นควรจะใช้วิธีการรับมือเช่นใดจึงสามารถกำราบซูอี้ได้?

หลังจากดีดนิ้วหกครั้ง

เสียงดังกึกก้องสะเทือนพิภพดังขึ้นติดต่อกันสามครั้ง

ค่ายกลปีศาจฟ้าพิฆาตสวรรค์ทั้งค่ายเกิดความสั่นสะเทือนขึ้นอย่างแรง

ซูอี้ฟันออกไปสามดาบติดต่อกัน บดขยี้แท่นวิถีสีเลือดขนาดยักษ์สามแท่นพร้อมทั้งมหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตสยายวิญญาณที่ยืนอยู่บนนั้นร่างดับวิถีสลาย ไม่มีรอดแม้แต่คนเดียว!

รุนแรงราวกับกระบอกไผ่ระเบิด

และการจู่โจมเช่นนี้ปลิดชีวิตมหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตสยายวิญญาณอีกยี่สิบกว่าคนสิ้น!

ภาพนองเลือดเช่นนั้นสร้างความสะเทือนใจอย่างแรง จนพวกหวนเทียนตู้ร้อนรนจนแทบเสียสติ

“ไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปได้อีกแล้ว!”

เลี่ยหยางชงพูดเสียงแหบแห้ง “ทุกท่าน หากปล่อยทิ้งไว้ กับดักที่พวกเราสร้างกันไว้เมื่อก่อนหน้าก็จะเปล่าประโยชน์!”

สีหน้าของพวกหวนเทียนตู้มีแต่ความสับสน

“ได้! ถ้าเช่นนั้นก็ทำตามที่เคยตกลงกันเอาไว้ ทำลายคนชั่วผู้นั้น!”

จ้าวเป่ยเฉินกัดฟันแน่น

ถัดมา คนอื่น ๆ ก็ส่งเสียงร้องเห็นด้วยกับความคิดของเลี่ยหยางชง

“ทุกท่าน หากว่าเป็นเช่นนี้ พวกเราสูญเสียมากเกินไปแล้ว…”

หวนเทียนตู้เริ่มลังเลขึ้นมา

ทว่าขณะนี้เอง กลางค่ายกลใหญ่ แท่นวิถีอีกแท่นหนึ่งล่มสลายลง ตัวตนในขอบเขตสยายวิญญาณของตระกูลหวนแห่งเผ่ามารที่ยืนอยู่บนแท่นวิถีเหล่านั้นก็ดับสูญไปด้วย

หวนเทียนตู้ที่เดิมทียังรู้สึกลังเล เวลานี้โกรธจนควันออกหู และกล่าวด้วยความโมโห “ไม่สนอีกแล้ว ขอเพียงสามารถฆ่าคน ๆ นี้ได้ ต่อให้ต้องสูญเสียทุกอย่างก็คุ้มค่า!”

“จัดการ!”

หวนเทียนตู้สูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง จากนั้นจึงปล่อยบาตรสีดำที่ถือในมือออกไป

แทบจะเวลาเดียวกัน ผู้ยิ่งใหญ่แห่งขอบเขตวงล้อวิญญาณคนอื่น ๆ ก็ปล่อยสมบัติล้ำค่าในมือตัวเองออกมาไปพร้อม ๆ กัน

มีทั้งมีดบิน ตราประทับวิถี ไม้เรียวหยก น้ำเต้า บักฮื้อ… ทั้งสิ้นหกสิบสามชิ้นล้วนเป็นอาวุธสำหรับขับเคลื่อนค่ายกลปีศาจฟ้าพิฆาตสวรรค์ทั้งสิ้น

ทว่าเวลานี้ อาวุธเหล่านี้กลับลุกไหม้ขึ้นมาพร้อมกันราวกับดาวตกที่พุ่งเข้าไปในค่ายกลปีศาจฟ้าพิฆาตสวรรค์

ขณะที่ซูอี้กำลังฆ่าฟันอยู่ในค่ายกลใหญ่ จู่ ๆ เขาก็เลิกคิ้วขึ้นราวกับรู้สึกได้

เพียงแค่มองดูแวบเดียว เขาก็มองออกแล้วว่าพวกผู้เฒ่าเหล่านี้ต้องการจะทำลายค่ายกลปีศาจฟ้าพิฆาตสวรรค์ให้ราบเป็นหน้ากลองเพื่อฆ่าตนเองให้ได้โดยไม่คำนึงถึงความสูญเสียอันใดอีก

คนพวกนี้ช่างโหดเหี้ยมเสียจริง ๆ!

เพราะในค่ายกลใหญ่เวลานี้ ไม่เพียงแต่มีซูอี้เท่านั้น ยังมีผู้ฝึกตนขอบเขตสยายวิญญาณสิบกว่าคนบนแท่นวิถีอีกสองแท่น

แต่เห็นได้ชัดว่า บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ของขุมกำลังเหล่านั้นไม่ได้ใส่ใจต่อความเป็นความตายของผู้ฝึกตนขอบเขตสยายวิญญาณเหล่านี้อีกแล้ว!

ครืน!!!

ราวกับกำเนิดฟ้าดิน

ตรงหน้าของทุกคนเหลือแต่เพียงแสงสว่างเจิดจ้า

แสงนั้นสว่างไสวถึงเพียงนี้ ราวกับว่าจู่ ๆ ก็มีดวงตะวันดวงหนึ่งแตกระเบิดขึ้นบนโลกใบนี้ สว่างเจิดจ้าไปถึงสวรรค์ชั้นเก้า

คลื่นทำลายล้างที่เกิดขึ้นขณะระเบิดนั้นเปรียบได้กับพายุโหมกระหน่ำ ทุกแห่งที่เคลื่อนผ่านอากาศจะเกิดความแปรปรวน แผ่นดิบยุบ แนวเทือกเขาถล่มทลายกลายเป็นเศษดิน

ผู้ที่คอยดูสถานการณ์อยู่ใกล้ ๆ ได้ถูกคลื่นทำลายล้างกลบกลืน ส่งเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ร่างแตกวิญญาณดับ

คนส่วนใหญ่หนีออกไปไกลตั้งแต่แรกแล้ว

แต่ละคนล้วนตกตะลึงจนขวัญหนีดีฝ่อ ในใจมีแต่ความหวาดเกรง

แม้กระทั่งภูเขาเด็ดดาวที่มีค่ายกลกักขังปกคลุมจนทั่ว เวลานี้ก็ยังได้รับความกระทบกระเทือนเช่นกัน ภูเขาสั่นสะเทือน แผ่นดินทรุด ภูเขาใหญ่ที่สูงเสียดฟ้าเริ่มทรุดตัวลง!

ผ่านไปนานมาก แสงสว่างของแผ่นดินจึงค่อย ๆ อับแสงลง กลิ่นอายแห่งการทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างจึงเริ่มสงบลง

“ในที่สุดก็จบลงสักที”

หวนเทียนตู้กับคนอื่น ๆ พากันโล่งใจ

ต่อหน้าพลังทำลายล้างเช่นนี้ ต่อให้เป็นตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิก็ยังต้องได้รับความกระทบกระเทือนด้วย นับประสาอะไรกับซูอี้?

“น่าเสียดาย ศึกในครั้งนี้ ทำให้เจ็ดขุมกำลังของพวกเราต้องสูญเสียสมบัติล้ำค่าไปเป็นจำนวนมาก ผู้แข็งแกร่งในขอบเขตสยายวิญญาณเหล่านั้นไม่มีใครรอดสักคน…”

เฉิงหยวนหลวงจีนเฒ่าที่มีร่างผอมพนมมือพร้อมสีหน้าเมตตาสงสาร

“ฆ่าซูอี้ได้นับว่าคุ้มค่าแล้ว! ใต้หล้านี้ ในที่สุดก็มีแต่ขุมกำลังอย่างพวกเราที่เป็นใหญ่ โลกกว้างแห่งนี้ต้องเชื่อฟังข้า!”

เลี่ยหยางชงหัวเราะสบายอารมณ์ขึ้นมา “วันข้างหน้า ค่อยไปที่นครหลวงจิ๋วติ่งอีกครั้ง…”

พูดยังไม่ทันจบ รอยยิ้มของผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักวิถีสุญญะคนนี้ก็แข็งกระด้าง ตาแทบจะถลนออกมา

กลางอากาศที่ห่างออกไป เมื่อหมอกควันหนาแน่นเริ่มสลายตัว ก็มองเห็นร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศ รอบตัวของเขามีแสงวิถีล้อมรอบ

ถึงแม้จะมีรอยบาดแผลอยู่เต็มทั่วตัว และอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างแย่ ทว่าเขายังคงยืนตระหง่านราวกับดาบคม เปรียบดั่งเทพเซียนที่ไม่มีวันแตกดับ ก้มมองดูสรรพสัตว์ทั้งหลายบนโลกมนุษย์!

ชั่วขณะที่มองเห็นร่าง ๆ นี้

ทั่วผืนปฐพีสงบเงียบ ทุก ๆ คนนิ่งตะลึงราวกับหุ่น

ถึงแม้ค่ายกลใหญ่จะพังทลาย สรรพชีวิตล้วนสูญสิ้น มีแต่ข้าเท่านั้นที่ไม่ดับ!

เจ้าของร่าง ๆ นี้ก็คือซูอี้นั่นเอง

“เวลาที่เหี้ยมขึ้นมาแม้กระทั่งคนของตัวเองก็ยังฆ่า ข้ารู้สึกประทับใจมาก”

ซูอี้เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าเต็มไปด้วยความประชดประชัน

“เป็นไปไม่ได้… เป็นไปไม่ได้…”

ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นถึงกับมือเท้าสั่น ไม่อยากจะเชื่อ!!

การโจมตีก่อนหน้านี้ พวกเขาทุ่มเทไปทุกสิ่งทุกอย่าง ระเบิดค่ายกลกักขังที่สร้างขึ้นด้วยสมบัติล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วน อานุภาพที่น่ากลัวถึงเพียงนั้นเพียงพอจะทำให้ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิต้องหดหัว

แต่ทว่าซูอี้… กลับมีชีวิตรอดมาได้!

จะให้คนอื่นรับได้อย่างไรกัน?

เวลานี้ผู้ชมเหตุการณ์ที่อยู่ไกลออกไปได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ในใจมีแต่ความสับสนตื่นตระหนก หาคำพูดพรรณนาความรู้สึกในใจเวลานี้ไม่เจอ

ซูอี้ราวกับเทพเซียนผู้ไม่มีวันแตกดับ แข็งแกร่งจนน่าครั่นคร้าม

เช่นนี้ไม่ต่างอะไรไปจากเทพเซียนเลย!

“ยังมีไม้ตายอีกหรือไม่? เอาออกมาใช้ให้หมด!”

ขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ซูอี้ก็ก้าวเดินไปยังภูเขาเด็ดดาวแล้ว

เสื้อผ้าที่เขาใส่ขาดวิ่น บาดแผลเต็มตัว ทว่าแววตาเฉียบคม พลังในตัวไม่ถดถอย ทั้งยังเพิ่มมากขึ้น ภาวะดาบในตัวประดุจเพลิงไฟเร่าร้อนสามารถเผาผลาญเดือนตะวัน

ลำเพียงเพียงแค่อานุภาพที่แสดงออกมาก็ทำให้มหาปราชญ์สวรรค์อย่างหวนเทียนตู้รู้สึกหนาวสะท้านแล้ว

ดังที่เข้าใจกันก่อนแล้ว คนส่วนใหญ่ในกลุ่มพวกเขาล้วนเป็นผู้อาวุโส ซึ่งเคยโดนการกัดกร่อนของพลังกักขังแห่งยุคมืดมาก่อน กำลังการต่อสู้จึงไม่มีความพิเศษ

แม้กระทั่งตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณรุ่นใหม่เหล่านั้น ที่แข็งแกร่งที่สุดก็มีแค่หวนซั่งหลินกับเซี่ยจือเป่ยเท่านั้น

จะเป็นคู่ต่อสู้ของซูอี้ได้เช่นไรกัน?

สาเหตุที่พวกเขาสร้างกับดักขึ้นตรงนี้ก็เพราะต้องการหยิบยืมพลังของค่ายกลประหารฆ่าซูอี้ให้ตาย แต่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าต้องใช้ระดับวิถีของตนเองสู้ตายกับซูอี้

แต่ตอนนี้ ค่ายกลประหารนั้นถูกทำลายไปแล้ว…

กล่าวได้ว่า พวกเขาสูญเสียตัวช่วยที่แข็งแกร่งที่สุดไปแล้ว!

เพียงแค่มดตะน้อยที่กลัวตายเท่านั้น จะสนใจไปเพื่ออะไร?

“ทุกท่าน อย่าได้หวาดกลัวต่อคำพูดของคน ๆ นี้ พวกเรามีผู้แข็งแกร่งในขอบเขตวงล้อวิญญาณถึงหกสิบสามคน งัดไม้ตายออกมาใช้พร้อมกัน ไม่มีทางฆ่าเขาไม่ได้!”

หวนเทียนตู้เอ่ยพูดเสียงเครียด

ขณะที่พูด จู่ ๆ เขาก็ควักสมบัติวิญญาณคู่ชีพของตนเองออกมา

“ถ้าเช่นนั้นก็บุกพร้อมกัน ฆ่าเขาให้ตาย!”

“ฆ่า!”

ตัวตนขอบเขตวงล้อสวรรค์ที่อยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้น ไหนเลยจะไม่รู้ว่าสถานการณ์มาถึงขั้นเป็นขั้นตายแล้ว มีใครไม่ยอมสู้เต็มที่อีก?

จากนั้นพวกเขาก็ซัดไปยังซูอี้พร้อม ๆ กัน!

ครืน!

ฟ้าดินมืดครึ้ม ตะวันจันทราอับแสง

ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณหกสิบสามคนที่อยู่ด้วยกัน ต่างก็หยิบสมบัติวิญญาณคู่ชีพของตนเองออกมา จากนั้นจึงขับเคลื่อนเคล็ดวิชาท่าไม้ตายเพื่อฆ่าซูอี้

ชั่วครู่เดียว แสงสว่างพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า เสียงวิถีร้องครืน ๆ สมบัติล้ำค่าทุกชิ้นถูกปกคลุมด้วยแสงสว่างเจิดจ้าแสบตา กลายเป็นคลื่นพลังอันยิ่งใหญ่พุ่งตรงไปฆ่าซูอี้

ภาพเหตุการณ์เช่นนั้นเพียงพอที่จะทำให้ภูตผีสะท้านจิตกระเจิง!

“มดตะนอยก็คือมดตะนอย ถึงแม้จะเกาะกลุ่มรวมพลัง ก็ยังคงเป็นเพียงแค่มดตะนอยฝูงหนึ่งเท่านั้น”

ซูอี้ชายตามองด้วยสายตาเย็นยะเยือก ริมฝีปากเผยอพูดเหน็บแนม

ยามเผชิญหน้ากับการบุกโจมตีที่น่ากลัวเพียงนี้ เขายังคงอยู่นิ่ง ๆ ไม่หลบเลี่ยง ฉับพลันสูดหายใจลึก ๆ แล้วตวัดดาบฟันลงไป

สวบ!

พลังดาบเจิดจ้าเต็มไปด้วยจังหวะวิถีอันลึกลับยากจะพรรณนาพุ่งขึ้นฟ้า ราวกับแสงอรุณสาดส่องครึ่งนภา คล้ายกับหมู่ดาวอุบัติขึ้นพร้อมกับประกายแสงเต็มฟ้า

เมื่อภาวะดาบเล่มนี้ฟันลงมา

ปฐพีเกิดเป็นรอยร้าวเป็นทางยาว

เมื่อรอยร้าวขยายตัวออกไป การโจมตีอย่างสุดกำลังของผู้แข็งแกร่งในขอบเขตวงล้อวิญญาณหกสิบสามคนที่รวมตัวกันนั้นก็ถูกฟันขาดเป็นสองส่วนอย่างง่ายดายราวกับเศษผ้า

ครืน!

ท่ามกลางเสียงระเบิดดังกึกก้องราวกับฟ้าดินกำลังล่มสลาย เคล็ดวิชาอันยิ่งใหญ่พังทลาย สมบัติล้ำค่าแต่ละชิ้นกระเด็นไปไกล

ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณทั้งหลายถึงกับเซถอยหลังเพราะพลังดาบ

พวกผู้เฒ่าทั้งหลายได้รับบาดเจ็บจนกระอักเลือด ร้องโอดครวญไม่หยุด แทบจะถูกฆ่าตายคาที่แล้ว

กำลังอันยิ่งใหญ่สูญสลายหายไปสิ้นในบัดนี้

เห็นเช่นนี้แล้ว ผู้ที่มองดูเหตุการณ์ต่างพากันสั่นสะท้าน

อานุภาพของดาบเดียว กลับน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด