บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 719: ภูเขาคุนอู๋หมื่นจั้ง ตระกูลเยี่ยแผ่ไพศาล

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 719: ภูเขาคุนอู๋หมื่นจั้ง ตระกูลเยี่ยแผ่ไพศาล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 719: ภูเขาคุนอู๋หมื่นจั้ง ตระกูลเยี่ยแผ่ไพศาล

ตอนที่ 719: ภูเขาคุนอู๋หมื่นจั้ง ตระกูลเยี่ยแผ่ไพศาล

ซูอี้นิ่งเงียบไม่พูด

ในฐานะที่เคยเป็นเจ้าดาบเสวียนจวินในเก้ามหาแดนดินแต่เพียงผู้เดียว เขาเพิกเฉยต่อความเป็นไปในโลก ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่อาจกระทบต่อสภาวะจิตของเขาได้

แต่เขาไม่อาจเพิกเฉยต่อเรื่องของเยี่ยอวี่เฟยผู้เป็นมารดาในชาตินี้ได้!

ไม่เช่นนั้น ในครั้งนั้นเขาจะเสี่ยงต่อการตราหน้าเป็น ‘บุตรอกตัญญูฆ่าพ่อ’ ฆ่าล้างตระกูลซูที่นครหลวงอวี้จิงได้อย่างไรกัน?

ทั้งหมดนี้ล้วนทำเพื่อแก้แค้นแทนเยี่ยอวี่เฟย!

เพียงแต่ ซูอี้ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเยี่ยอวี่เฟยจะโชคร้ายและตกระกำลำบากถึงเพียงนั้น

“เผ่าเดียวกันฆ่ากันเอง เพื่อขัดขวางไม่ให้ท่านแม่ของข้าสืบทอดโชคอะไรนั่น ตระกูลเยี่ยช่างเก่งกาจเสียเหลือเกิน”

ซูอี้ถอนใจเบา ๆ

อาการประชดประชันที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงทำให้สีหน้าของเยี่ยอวิ๋นหลันสลดลง

เขากล่าวเสียงหนักแน่น “ยิ่งเป็นตระกูลใหญ่ การแก่งแย่งชิงดีก็ยิ่งรุนแรง เพื่อโอกาส เพื่อทรัพยากร ก็ยิ่งระเบิดความขัดแย้งและต่อสู้กันได้บ่อย ๆ”

“เพียงแต่… แม้แต่ข้าก็ยังคิดไม่ถึงว่า ไอ้แก่พวกนั้นจะใจดำได้ถึงเพียงนี้! ตอนที่ข้ากลับสู่ตระกูล มันก็ได้เกิดเรื่องขึ้นแล้ว ไม่อาจย้อนกลับไปได้อีก…”

สีหน้าเศร้าระคนโกรธผุดขึ้นบนใบหน้าของเยี่ยอวิ๋นหลัน

ฉับพลันเขาสูดหายใจลึก ๆ กล่าวด้วยสายตาที่หนักแน่น “แต่ว่า ไม่ช้าก็เร็วจะต้องมีสักวัน ข้าจะฆ่าคนสารเลวเหล่านั้นให้หมด!”

น้ำเสียงมุ่งมั่นมีน้ำหนัก

สายตาของซูอี้ราบเรียบ “ดูท่าแล้ว ด้วยพลังของเจ้า ยังไม่อาจไปงัดข้อกับคนแก่เหล่านั้นที่เจ้าพูดถึงได้ มิเช่นนั้น ก็คงไม่มาพูดรับรองต่อหน้าข้า”

เยี่ยอวิ๋นหลันนิ่งเงียบไปในทันใด

คำพูดของซูอี้ทิ่มโดนแผลในหัวใจของเขา

ใช่! หากว่าเขามีสามารถฆ่าไอ้แก่พวกนั้นให้ตายได้ เหตุใดต้องฝืนทนจนถึงตอนนี้ด้วย?

“วันข้างหน้า จะต้องทำได้แน่!”

นิ่งเงียบไปนาน เยี่ยอวิ๋นหลันกล่าวขึ้นมาทีละคำย้ำ ๆ เสียงราวกับเล็ดลอดออกมาจากไรฟัน

ฉับพลันเขาก็ส่ายหน้าราวกับเย้ยหยันตัวเอง พลางกล่าว “ข้าขาดสติไป เจ้าอย่าได้ถือสา”

ซูอี้ไหนเลยจะสนใจในเรื่องเหล่านี้ จากนั้จึงกล่าวต่อ “คุยกันถึงเรื่องตระกูลเยี่ยของพวกเจ้าดีกว่า”

พูดถึงตรงนี้ จู่ ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้

นับตั้งแต่เจอกับซูอี้ หลานชายคนนี้ของตัวเองแลดูเป็นคนสงบราบเรียบเย็นชาเหลือเกิน จังหวะการพูดของตัวเองตกอยู่ในการควบคุมของฝ่ายตรงข้าม

เป็นเพราะอารมณ์ที่ผันผวน ตัวเขาเองเสียอีกที่กลับแสดงอาการขาดสติออกมา

‘พูดไปแล้ว ข้ามองว่าเขาเป็นญาติสนิท ทว่าเขาคงจะคิดว่าข้าเป็นคนแปลกหน้าไปแล้วกระมัง…’

เยี่ยอวิ๋นหลันแอบคิดในใจ

แต่เขาก็ตระหนักดีว่าซูอี้มีปฏิกิริยาเช่นนี้จึงเป็นเรื่องปกติ เพราะในสายตาของซูอี้ เขากับตระกูลเยี่ยก็เป็นคนแปลกหน้าจริง ๆ

ต้องใช้เวลาทำให้ความแปลกหน้าเช่นนี้เจือจางลง

หลังสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เยี่ยอวิ๋นหลันก็กล่าวขึ้น “มารดาของเจ้ากับข้าต่างก็มาจาก ‘ตระกูลเยี่ย’ แห่งภูมิคังเสวียน…”

เพิ่งพูดถึงตรงนี้ ซูอี้กล่าว “ช้าก่อน ภูมิคังเสวียนอยู่ที่ใด?”

เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อโลกภูมินี้

เยี่ยอวิ๋นหลันตอบแบบไม่ต้องคิดมาก “เวิ้งแปดดารา”

หัวใจของซูอี้สั่นสะท้านเล็กน้อย

เยี่ยอวิ๋นหลันกล่าวต่อ “อย่างมหาทวีปคังชิงแห่งนี้ เป็นโลกกว้างที่ตั้งอยู่ในเวิ้งเก้าดารา กล่าวได้ว่าเป็นภูมิคังชิง”

“ภูมิคังเสวียนเหมือนกับภูมิคังชิง อันเป็นโลกกว้างที่ตั้งอยู่ในเวิ้งแปดดารา”

“และตระกูลเยี่ยของข้าก็คือขุมกำลังอันดับหนึ่งในภูมิคังเสวียน มีภูเขาศักดิ์สิทธิ์คุนอู๋เป็นดินแดนบรรพชน มีสมญานามว่า ‘ภูเขาคุนอู๋หมื่นจั้ง ตระกูลเยี่ยแผ่ไพศาล’”

“บรรพชนของตระกูลข้าเคยมีบุคคลขอบเขตจักรพรรดิอยู่มากมายหลายท่าน คนที่แข็งแกร่งที่สุดมีพลังขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ เป็นที่หวั่นเกรงทั่วภูมิคังเสวียน”

“เพราะเหตุนี้ ผู้ฝึกตนในใต้หล้าจึงเรียกตระกูลของข้าเป็น ‘ผู้ทรงอำนาจคังเสวียน’ ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน ยังไม่เคยมีขุมกำลังใดที่สามารถสั่นคลอนความทรงอำนาจของตระกูลข้าได้”

สีหน้าของเยี่ยอวิ๋นหลันแฝงไว้ซึ่งความภาคภูมิใจและมุ่งมั่น

ซูอี้ไม่แสดงสีหน้าอันใด

ตระกูลหนึ่งมีบุคคลสำเร็จขอบเขตจักรพรรดิจำนวนมาก พื้นฐานเช่นนี้ช่างน่าตกใจจริง ๆ

หากเป็นเก้ามหาแดนดิน ถือได้ว่าเป็นขุมกำลังการฝึกตนอันดับหนึ่งเช่นกัน

แต่ทว่า ไม่ถึงกับต้องตื่นตระหนก

เพราะอย่างไรเสียก็ดี ต่อให้ตระกูลเยี่ยร้ายกาจยิ่งกว่านี้ ก็ไม่เคยมีตัวตนในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ

ต้องเข้าใจว่าขอบเขตจักรพรรดิป็นผู้แข็งแกร่งบนหนทางแห่งวิถีลี้ลับ โดยแบ่งออกเป็นสามขอบเขตใหญ่คือขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ และขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ

ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ หรือเรียกอีกอย่างว่าขอบเขตมหาจักรพรรดิ

หากว่าเป็นอดีตชาติ ซูอี้ย่างก้าวสู่ขอบเขตมหาจักรพรรดิไปนานแล้ว ไหนเลยจะตื่นตระหนกกับพื้นฐานของตระกูลเยี่ยแห่งขอบเขตคังเสวียน?

สิ่งที่เขารู้สึกสนใจอย่างแท้จริงคือเรื่องที่ตระกูลเยี่ยมาจากเวิ้งแปดดารานี้ต่างหาก!

“เวิ้งแปดดาราเคยถูกรุกรานจากการกักขังแห่งยุคมืดหรือไม่?” ซูอี้ถาม

เยี่ยอวิ๋นหลันตอบ “การกักขังแห่งยุคมืดที่เจ้าพูดถึง คงจะเป็นภัยพิบัติจากมหาวิถีของจักรวาลพร่างดาวกระมัง?”

“ไม่ผิด” ซูอี้พยักหน้า

เยี่ยอวิ๋นหลันคิดสักครู่จึงกล่าว “ในภูมิคังเสวียน เคยผ่านวิบัติมหาวิถีเช่นนี้เหมือนกัน โดยกินเวลานานติดต่อกันถึงหลายหมื่นปี และก็เป็นเพราะพิบัตินี้ จากความเจริญรุ่งเรือง ตระกูลเยี่ยของข้าจึงก้าวสู่ความเสื่อมอำนาจ…”

น้ำเสียงของเขาลดต่ำลง “จนกระทั่งถึงตอนนี้ ตระกูลเยี่ยของข้าเหลือบรมจารย์ขอบเขตจักรพรรดิที่มีชีวิตรอดจากพิบัตินี้มาได้เพียงแค่สองท่านเท่านั้น”

“แต่ยังดีที่ภูมิคังเสวียนเคยเกิดความเปลี่ยนแปลงของการฟื้นฟูแห่งปราณวิญญาณขึ้นมาครั้งหนึ่งเมื่อในอดีตที่นานมากแล้ว ต้อนรับโลกกว้างอันรุ่งโรจน์!”

“จนถึงตอนนี้ ตระกูลเยี่ยของข้าฟื้นฟูพลังต้นกำเนิดได้แล้วในระดับหนึ่ง อีกทั้งยังมีบุคคลขอบเขตจักรพรรดิคนใหม่อุบัติขึ้นด้วย! ยังคงเป็นผู้ทรงอำนาจในภูมิคังเสวียนดังเดิม!”

ฟังถึงตรงนี้ ในที่สุดซูอี้ก็เข้าใจแล้ว

ภูมิคังเสวียนแห่งเวิ้งแปดดาราประสบ ‘การกักขังแห่งยุคมืด’ ก่อนมหาทวีปคังชิงของเวิ้งเก้าดารา

เช่นเดียวกัน ภูมิคังเสวียนก็ต้อนรับการเปลี่ยนแปลงที่คล้ายกับ ‘แสงสว่างแห่งโลกกว้าง’ ก่อนมหาทวีปคังชิง!

และ ถึงแม้ตระกูลเยี่ยจะได้รับผลกระทบจากการกักขังแห่งยุคมืด พลังลมปราณได้รับความเสียหายรุนแรง ทว่าได้รับการฟื้นฟูพลังลมปราณกลับคืนมาบ้างจาก ‘แสงสว่างแห่งโลกกว้าง’ ของภูมิคังเสวียนเมื่อนานมากแล้ว

และขณะเดียวกัน ซูอี้นึกถึงคำที่ท่านเทพแห่งความกรุณาเคยกล่าวเอาไว้ บนโลกกว้างของเวิ้งหกดาราแห่งนั้น กลายเป็นซากปรักหักพังที่ไร้ซึ่งชีวิตไปนานแล้ว!

เพียงชั่วครู่เดียว ซูอี้ก็นึกเรื่องราวได้มากมาย

“หากว่าในหมู่ดาวแห่งนี้มีเวิ้งเก้าดารา ถ้าเช่นนั้นพลังของการกักขังแห่งยุคมืดก็ควรจะเริ่มต้นจากเวิ้งหนึ่งดารา ค่อย ๆ เกิดไล่ตามมาบนโลกภูมิเวิ้งสองดารา เวิ้งสามดารา ไปเรื่อย ๆ…”

“และโลกภูมิเวิ้งหกดารา ในเมื่อกลายเป็นซากปรักหักพังไปตั้งนานแล้ว บางทีอาจจะหมายความว่าเวิ้งดาราก่อนหน้านี้ทั้งห้าดวงคงจะกลายเป็นซากปรักหักพังไปตั้งนานแล้วเช่นกัน”

“ส่วนเวิ่งเจ็ดดารา เวิ้งแปดดารา กับเวิ้งเก้าดารา และในช่วงระยะเวลาที่ถัดจากนั้น จะต้องรุ่งเรืองอย่างที่สุดจากนั้นจึงเสื่อมลง ก่อนจะก้าวเดินสู่ความเสื่อมอำนาจช้า ๆ ทีละก้าว จนกระทั่งกลายเป็นโลกเวิ้งเหมือนอย่างเวิ้งดาราทั้งหกดวงก่อนหน้า…”

“ท่านเทพแห่งความกรุณาเคยกล่าวว่า ตอนที่เขาออกจากมหาทวีปคังชิงในตอนนั้น ก็เพื่อจะไปเสาะหาดินแดนแห่งการฝึกตนในส่วนลึกของหมู่ดาว แต่กลับเข้าสู่เวิ้งหกดาราโดยบังเอิญ ทั้งหมดนี้หมายความว่าเวิ้งดาราทั้งเก้าล้วนกระจายตัวอยู่ในจักรวาลพร่างดาว!”

“เพียงแต่ว่า เก้ามหาแดนดินกลับไม่เคยประสบกับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มาก่อน และเมื่อชาติก่อนของข้าก็ไม่เคยได้ยินเรื่องการกักขังแห่งยุคมืด หรือว่า เวิ้งดาราทั้งเก้านี้กระจายตัวอยู่ในหมู่ดาวภายนอกเก้ามหาแดนดิน?”

คิดถึงตรงนี้ ในสมองของซูอี้ก็ปรากฏภาพ ๆ หนึ่งขึ้นอย่างช่วยไม่ได้…

ในภาพ เก้ามหาแดนดินคล้ายกับพื้นผิวโลกแห่งหนึ่ง รอบ ๆ มีโลกภูมิสามสิบสามภูมิเป็นอาณาบริวาร

ทว่าลึกเข้าไปในจักรวาลพร่างดาวที่อยู่ภายนอกเก้ามหาแดนดิน มีเวิ้งดาราทั้งเก้ากระจัดกระจายออกไป

เวิ้งดาราทั้งเก้านี้เปรียบเสมือนทางช้างเผือกที่พาดผ่านอยู่บนท้องฟ้ามืดมิดของมหาแดนดิน ภายในเวิ้งดาราแต่ละดวงล้วนมีหนึ่งโลกภูมิ

ขณะเดียวกัน รอบด้านโลกเวิ้งดาราแต่ละดวงมีโลกภูมิใหญ่น้อยมากมายประดับประดาราวกับดวงดาว ประดับอยู่ใกล้ ๆ โลกเวิ้งดารา

“หากว่าเป็นเช่นนี้ ก็สามารถเข้าใจได้แล้ว”

ซูอี้ลอบพึมพำกับตัวเอง

เมื่อชาติก่อน ถึงแม้เขาจะเป็นใหญ่อยู่ในมหาแดนดินอยู่นานหลายปี ทว่าอย่างไรเสียก็ยังไม่เคยไปค้นหาหมู่ดาวที่ไกลออกไป จึงไม่รู้ว่าการกักขังแห่งยุคมืดนั้นคืออะไร

ทว่าตอนนี้ ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

เขาตระหนักแล้วว่า มหาทวีปคังชิงที่ตนเองกลับชาติมาเกิดในครั้งนี้อาจจะตั้งอยู่ในหมู่ดาวนอกเก้ามหาแดนดินก็เป็นได้!

ถึงแม้ว่า มหาทวีปคังชิงจะไม่ได้ร้ายกาจมากนัก และยังสู้เก้ามหาแดนดินไม่ได้ ทว่าอย่างไรเสียก็ยังถือได้ว่าเป็นโลกภูมิหนึ่งในหมู่ดาวเช่นกัน

หากว่าเปรียบเก้ามหาแดนดินเป็นดวงอาทิตย์ในหมู่ดาว ถ้าเช่นนั้นเวิ้งดาราทั้งเก้าก็คือดวงดาวแต่ละดวงนั่นเอง

นอกเวิ้งดาราทั้งเก้า ก็ต้องมีหมู่ดาวที่กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่าเป็นธรรมดา ที่นั่นบางทีอาจจะเป็นส่วนลึกของหมู่ดาวที่แท้จริงก็ได้!

นานมาก ซูอี้สลัดความคิดฟุ้งซ่านออก มองไปที่เยี่ยอวิ๋นหลัน จากนั้นกล่าวราวกับกำลังครุ่นคิด

“ตระกูลเยี่ยของพวกเจ้าเคยผ่านการกักขังแห่งยุคมืดในภูมิคังเสวียนมาแล้ว และเคยฟื้นฟูพลังลมปราณจากความเปลี่ยนแปลงที่มีลักษณะคล้ายกับแสงแห่งโลกกว้าง จึงรู้ดีกว่าใครเป็นธรรมดาว่าสิ่งที่กำลังเกิดกับมหาทวีปคังชิงในตอนนี้ก็คือสิ่งที่พวกเจ้าเคยประสบมาก่อน”

เยี่ยอวิ๋นหลันพยักหน้า “ไม่ผิด ก่อนที่ตระกูลจะส่งมารดาของเจ้าไปยังมหาทวีปคังชิง ได้มีการเตรียมตัวที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในแสงสว่างแห่งโลกกว้างของมหาทวีปคังชิง ดูดซับพลังของแหล่งต้นกำเนิดคังชิง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับตระกูลเยี่ยของข้า”

“เพียงแต่ว่า ข้าไม่นึกเลยว่า เพื่อไม่ให้มารดาของเจ้าสืบทอดโชคลาภ ไอ้แก่ในตระกูลเหล่านั้นจะให้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างส่งมารดาของเจ้าไปยังมหาทวีปคังชิงก่อนเวลาคนเดียว!”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ใบหน้าของเขาก็ยากจะเก็บกดความโกรธแค้นได้อีก

ซูอี้กล่าว “หากเป็นเช่นนี้ เมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างของมหาทวีปคังชิงมาถึง ตระกูลเยี่ยของพวกเจ้าก็จะปรากฏในโลกนี้ด้วยเช่นเดียวกันอย่างนั้นหรือ?”

เยี่ยอวิ๋นหลันพยักหน้า “ตอนที่มารดาของเจ้ามา ช่องทางมิติจากภูมิคังเสวียนเพื่อเข้าสู่มหาทวีปคังชิงได้รับความสั่นสะเทือนอย่างแรง มีอันตรายเป็นอย่างมาก”

นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาจึงกล่าวต่อ “แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เมื่อผนังกั้นโลกของมหาทวีปคังชิงเริ่มมีรอยร้าวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตระกูลข้าจึงหาช่องทางมิติที่ปลอดภัยจนพบ มิเช่นนั้นข้าก็ไม่มีทางมาที่นี่ได้เช่นกัน”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็เบนสายตามองไปที่ซูอี้ และกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้ามาพบเจ้าเพราะต้องการจะคุ้มครองเจ้า เมื่อตระกูลเยี่ยมาถึงมหาทวีปคังชิง และรู้ว่าเจ้าคือเชื้อสายของอวี่เฟย พวกเจ้าจะต้องคิดหาวิธีกำจัดเจ้าอย่างแน่นอน”

ซูอี้เลิกคิ้วกล่าว “เพราะเหตุใด?”

“เพราะว่าในตัวของเจ้ามีสายเลือดของมารดาเจ้า ในฐานะที่เป็นบุตรของนาง เจ้าจึงมีคุณสมบัติที่จะสืบทอดโชคของตระกูลข้า”

เยี่ยอวิ๋นหลันกล่าวเสียงเคร่งขรึม “เพื่อขัดขวางไม่ให้มารดาของเจ้าสืบทอด ไอ้แก่ในตระกูลเหล่านั้นจึงได้บีบบังคับทำร้ายมารดาของเจ้าทุกวิถีทาง หากให้พวกเขารู้ว่าเจ้ามีชีวิตอยู่ พวกเขา…ไหนเลยจะปล่อยเจ้าไป?”

ซูอี้ไม่เข้าใจ ถามขึ้น “ที่แท้แล้วเป็นโชคเช่นใดกัน?”

เยี่ยอวิ๋นหลันสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่งไม่ปิดบังต่อไปอีก ก่อนกล่าว “ในตระกูลของข้าเรียกโชคนี้ว่า ‘เทพซ่อนเร้นต้นกำเนิดบรรพชน’ บุคคลใดในวิถีวิญญาณสามารถสืบทอดได้ คน ๆ นั้นก็สามารถแสวงวิถีเป็นจักรพรรดิได้!”

ซูอี้ถึงกับหัวเราะออกมา “โชคเช่นนี้ เพียงพอที่จะทำให้ใครบ้าคลั่งได้ก็จริง แต่สำหรับข้าแล้ว เป็นเพียงแค่ซี่โครงไก่เท่านั้น”

เยี่ยอวิ๋นหลันตะลึง แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

ในใต้หล้าตอนนี้ ไม่มีใครกล้ามองโอกาสสัมพันธ์ที่สามารถแสวงวิถีเป็นจักรพรรดิได้เช่นนี้เป็นซี่โครงไก่หรอก!?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด