บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 314: ตบหน้าตัวเอง

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 314: ตบหน้าตัวเอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 314: ตบหน้าตัวเอง
ตอนที่ 314: ตบหน้าตัวเอง

กระจกสีทองแดงในมือของทหารได้รับการหลอมโดยปรมาจารย์นักหลอมของกองทัพต้าโจว เรียกว่า ‘กระจกส่องจิตวิญญาณ’ มันสามารถระบุบุคคลที่เปลี่ยนใบหน้าและมองผ่านการปลอมตัวได้

นอกจากนี้ยังมองทะลุมนต์เสน่ห์และการแปลงกายของปีศาจได้ด้วย

แน่นอนว่าสมบัติชิ้นนี้มีประโยชน์เฉพาะกับตัวตนที่อยู่ใต้ขั้นวิถีต้นกำเนิดเท่านั้น

แต่ในเวลานี้ สมบัติพังลงโดยไม่มีเหตุผล!

นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ทหารนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป พลันพูดเสียงดังว่า “เกิดเรื่องแล้ว!!”

เสียงดังไปทั่ว

ทหารที่ประจำการอยู่ใกล้ด่านหลงเหมินต่างก็กุมดาบไว้ ดวงตาดุจสายฟ้าคมกริบของพวกเขาล้วนตกลงบนตัวซูอี้

ลมปราณอันเย็นยะเยือกพัดผ่านไปราวกับพายุ

ผู้คนที่เข้าแถวอยู่ด้านหลังต่างตื่นตระหนก พวกเขาทั้งหมดต่างหลีกเลี่ยงให้ไกลจากต้นเสียง แล้วมองที่ซูอี้อย่างประหลาดใจทีละคน

ทันใดนั้น รอบ ๆ ซูอี้ก็ว่างเปล่า และกลายเป็นจุดสนใจของผู้ชม

บรรยากาศเองก็เริ่มหม่นหมอง

ซูอี้ยืนอยู่ที่นั่นอย่างสบาย ๆ มีเพียงคิ้วของเขาที่ย่นเข้าหากันเล็กน้อย

สมบัติ ‘กระจกทองแดง’ อันน้อยนี่ช่างห่วยแตกนัก เพียงสัมผัสจากลมปราณแห่งจิตวิญญาณของเขาเพียงเล็กน้อยมันก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ…

“เจ้าเป็นใคร รีบรายงานชื่อมาซะ ไม่เช่นนั้นจะถูกฆ่าทิ้ง!”

ทหารตะโกนออกมา สายตาของเขาดูดุร้ายนัก

ทหารคนอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงทั้งหมดสร้างขบวนรบ พวกเขาขณะนี้ดูแข็งแกร่งและคมกล้า อาวุธทั้งหมดในมือต่างมุ่งเป้าไปที่ซูอี้ เตรียมพร้อมลงมือ

ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเป็นนักรบชั้นยอด ด้วยรากฐานการฝึกฝนในร่างกายของพวกเขา ผู้ผ่านการต่อสู้นองเลือดมานับไม่ถ้วนกลุ่มนี้จึงห่างชั้นจากผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปไกลลิบ!

เมื่อพวกเขาเคลื่อนไหวพร้อมกัน มันก็ทำให้คนเดินถนนรอบ ๆ สั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว

ก่อนที่ซูอี้จะได้พูด เสียงทื่อ ๆ และเข้มงวดก็ดังมาจากด้านบนของกำแพงเมืองที่สูงและแข็งแกร่ง

“เกิดอันใดขึ้น?”

เป็นชายวัยกลางคนสวมชุดสีน้ำตาลที่มีดาบยาวอยู่บนหลัง เขามองลงมาที่ซูอี้

“รายงานผู้บังคับบัญชาเว่ย เมื่อข้าใช้ ‘กระจกส่องจิตวิญญาณ’ เพื่อระบุตัวตนของคนผู้นี้ สมบัติชิ้นนี้ก็แตกเป็นเสี่ยง ดังนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาจึงสงสัยว่ามีบางอย่างผิดปกติกับตัวตนของคนผู้นี้ขอรับ!”

ทหารผู้นั้นตอบเสียงดัง

นัยน์ตาชายวัยกลางคนผู้นั้นพลันเฉียบคมและคุกคามขึ้น ก่อนกล่าวว่า “แล้วเจ้ารออะไรอยู่ รีบจัดการมันลงโดยเร็ว ค้นหาฐานะของมัน ถ้ากล้าขัดขืน ให้สังหารทันที!”

ช่างก้าวร้าวอย่างยิ่ง

“ขอรับ!”

ทหารทุกคนรับคำสั่งด้วยเสียงก้อง ดวงตาที่มองมายังซูอี้เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย

ซูอี้ฉงนเล็กน้อย เขาถามว่า “ไม่ให้โอกาสพูดเลยรึ?”

“ถ้าเจ้าสามารถต้านได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าอธิบาย!”

ทหารที่เคยสอบปากคำซูอี้มาก่อนพูดอย่างเย็นชา แล้วโบกมือ “ไป จัดการชายผู้นี้ซะ!”

คนเดินถนนที่เห็นฉากนี้ไกล ๆ อดยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่นไม่ได้ ชายหนุ่มคนนี้โง่เสียจริง ภายใต้การคัดกรองหลายชั้นเหล่านี้ เขายังพยายามแทรกซึมผ่านด่านหลงเหมินมาอีก นี่เขากำลังรนหาที่ตายหรือไร?

ตูม!

เหล่าทหารก้าวไปข้างหน้า บีบซูอี้ให้ถูกปิดล้อม

ดวงตาของซูอี้ยังคงสงบนิ่ง

เขาเลือกที่จะต่อแถวเพื่อเข้าสู่ด่านหลงเหมิน เพราะคิดจะเข้าไปอย่างเงียบ ๆ แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว

“ก็แค่ต้องผ่านจุดนี้ไป”

ซูอี้ลอบกล่าว

เขายืนอยู่ที่นั่นและไม่เคลื่อนไหว ทำให้หลายคนคิดว่าชายหนุ่มตกใจและกลัวเกินกว่าจะต่อต้าน เมื่อเป็นเช่นนั้นทหารที่ดุร้ายสองคนพลันพุ่งไปข้างหน้า ต้องการจะจับตัวเขา!

ตูม! ตูม!

ดวงตาของทุกคนเป็นประกาย ซูอี้ไม่ได้ขยับ แต่ทหารที่ดุร้ายสองคนกลับลอยออกไปกระแทกพื้น มีเลือดออกตามรูทวารทั้งเจ็ด อีกทั้งยังกระตุกไปทั้งตัว

ฉากที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้ทุกคนตกใจ

“มา ลงมือพร้อมกัน!”

มีคนตะโกนขึ้น

ทหารนับร้อยทั้งหมดชักดาบออกจากฝัก ใบมีดคมเรียงรายดุจผืนป่า พวกมันพุ่งเข้าหาซูอี้พร้อมกันอย่างเป็นระเบียบ

ตูม!

แผ่นดินสั่นสะเทือน ทหารหลายร้อยคนที่ผ่านศึกมาหลายร้อยครั้งและมีฐานการฝึกฝนไม่อ่อนด้อยพุ่งออกไปพร้อมกัน พลังเช่นนี้สามารถทำให้ตัวตนในขอบเขตปรมาจารย์สิ้นหวังได้!

ซูอี้ยังคงไม่ขยับ เพียงแค่โบกแขนเสื้ออย่างเบื่อหน่าย

จากนั้น ภายใต้การจ้องมองอย่างคาดไม่ถึงของทุกคน ทหารนับร้อยที่อัดแน่นกันแน่นก็ถูกพายุพัดถล่ม ร่างของพวกเขาถูกโยนขึ้นไปในอากาศ!

“อ้า——!”

“บัดซบ นี่คือมนต์ปีศาจรึ?”

“ไม่!”

เสียงกรีดร้องอย่างตื่นตระหนกดังขึ้น ก่อนเห็นทหารหลายร้อยนายกระแทกลงกับพื้นทีละคนด้วยสภาพต่าง ๆ จมูกและใบหน้าของพวกเขาฟกช้ำ กล้ามเนื้อและกระดูกของพวกเขาหัก ทำให้พวกเขาต่างก็กรีดร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ด้านหน้าด่านหลงเหมินอันยิ่งใหญ่ ซูอี้ยืนอยู่ลำพังล้อมรอบด้วยซากของบรรดาทหารที่พ่ายแพ้!

ทุกคนที่เฝ้าดูฉากนั้นจากระยะไกลต่างก็สูดลมเย็นแล้วตะลึงอยู่กับที่ ด้วยการสะบัดแขนเสื้อหนึ่งหน สามารถปราบทหารที่ดุร้ายหลายร้อยคนลงได้เชียวรึ!?

“เจ้าเป็นใครกัน? เจ้ารู้ผลของการทำเช่นนี้หรือไม่?”

เหนือกำแพงเมือง สีหน้าของชายวัยกลางคนที่ถือดาบก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เขาตะโกนออกมาเสียงดัง

ก่อนหน้านี้คิดว่าชายหนุ่มอย่างซูอี้ไม่ใช่ตัวตนที่ทรงพลังอะไร แม้ว่าจะมีบางอย่างผิดปกติ แต่คนผู้นี้ย่อมไม่กล้าขัดขืนแน่!

เพราะถึงยังไงที่นี่ก็คือด่านหลงเหมินแห่งต้าโจว! มันเป็นหนึ่งในสี่ด่านของเมืองหลวง!

ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป แม้ว่าจะมีพลังเท่ากับบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ ก็ไม่มีใครกล้าก่อความวุ่นวายโดยไม่ได้รับอนุญาต

เพราะเมื่อทำเช่นนี้ ย่อมเท่ากับคิดยั่วยุต้าโจวทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย และจะถูกมองว่าเป็นศัตรูของทั้งต้าโจว!

ผลที่ตามมาไม่มีบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์คนใดรับไหว

เพราะเหตุนี้ชายวัยกลางคนผู้แบกดาบยาวไว้จึงกล้าทำตัวไร้ความเกรงกลัว ไม่พูดมากความ สั่งการให้จัดการกับซูอี้แล้วทำการสอบสวนใหม่อีกครั้งทันที

แต่ตอนนี้ เขาพลันตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ!

ซูอี้ลืมตาขึ้น มองไปที่ชายวัยกลางคนที่สะพายดาบบนกำแพงเมือง

ตูม!

มือใหญ่ที่มองไม่เห็นซึ่งสร้างขึ้นจากธาตุแท้ปรากฏขึ้นบนกำแพงเมือง และพุ่งเข้าไปคว้าชายสะพายดาบคนนั้นไว้

“เจ้ากล้า!”

ชายวัยกลางคนสะพายดาบขุ่นเคือง ก่อนพลันชักดาบออกจากฝักฟันออกไป

เขาเองก็เป็นถึงปรมาจารย์ขั้นห้า ซึ่งในโลกนี้ ภายใต้บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์แล้วถือได้ว่าเป็นตัวตนชั้นนำ

แต่ดาบที่เพิ่งฟันออกไปกลับกลายเป็นดุจมดพยายามเขย่าต้นไม้ ถูกปราบโดยมือที่สร้างจากธาตุแท้ของซูอี้ลงในกระบวนท่าเดียว

จากนั้น ก่อนที่จะทันได้ตอบโต้ เขาก็ถูกมือใหญ่คว้าและลากลงมาจากกำแพงเมืองสูง

ตูม!

เสียงทึบดังขึ้น ตามมาด้วยแผ่นดินไหวฝุ่นตลบ ชายวัยกลางคนสะพายดาบกระแทกลงบนพื้นเบื้องหน้าซูอี้ จมูกและปากมีเลือดออก ดวงตากลอกเหลือก บาดเจ็บสาหัส

“นี่…”

ทั่วบริเวณเงียบสงัดจนไม่มีแม้แต่เสียงนกร้อง

ด้วยการคว้าจับอย่างสบาย ๆ จากอากาศ เขาได้ปราบบุคคลสำคัญที่ปกป้องด่านหลงเหมินลงอย่างง่ายดายโดยการฟาดลงไปบนพื้น!

มันน่าเหลือเชื่อยิ่ง และทำให้ผู้คนตกใจ

เมื่อพวกเขามองไปที่ซูอี้อีกครั้ง สายตาและท่าทางของทุกคนก็เปลี่ยนไปราวกับเห็นเทพเซียน!

“เจ้า เจ้าต้องการสู้กับต้าโจวหรือ?”

ชายสะพายดาบผู้บาดเจ็บอยู่บนพื้นตะโกนออกมาโดยมีคำว่ากลัวเขียนไว้ทั่วใบหน้า

ซูอี้พูดอย่างเฉยเมย “แค่ตัวตนกระจ้อยร่อยอย่างเจ้าก็สามารถเป็นตัวแทนของต้าโจวได้แล้วรึ? ช่างไร้สาระ”

กล่าวเสร็จแล้วเขาก็เดินออกไป

เหตุการณ์เล็ก ๆ ดังกล่าวไม่ได้ทำให้เขาสนใจมากนัก ไปพักผ่อนทานอาหารที่นครหลวงอวี้จิงยังมีความหมายมากกว่ามาเสียเวลาอยู่ที่นี่

แต่เดินห่างออกมาเพียงไม่กี่ก้าว ก็พลันมีเสียงที่หยาบกร้านและทรงพลังดังขึ้นจากระยะไกล

“นอกจากจะก่อปัญหาขึ้นบริเวณที่ฉีผู้นี้รับผิดชอบอยู่แล้ว ยังไม่สนใจคิดผ่านด่านเข้าไปเช่นนี้อีก ช่างไม่เห็นข้าในสายตาแม้แต่น้อย!”

เสียงยังคงก้องกังวาน ท่ามกลางสายตาของทุกคน มีคนกลุ่มหนึ่งตรงมาจากไกล ๆ

ผู้นำมาเป็นชายฉกรรจ์ในชุดเกราะหนัก สวมเครื่องแบบทหาร ลักษณะทรงอำนาจ กล้าหาญดุจวีรบุรุษ สายตาที่มองไปข้างหน้าเต็มไปด้วยความเด็ดขาด

“แม่ทัพฉี!”

เกิดเสียงอุทานขึ้นท่ามกลางฝูงชน ตามมาด้วยความโกลาหล

ฉีเหลียนเจวี๋ย!

หนึ่งในแม่ทัพชื่อดังของต้าโจว เฝ้าปกป้องด่านหลงเหมินมายี่สิบปี เขาเป็นบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์และมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างยิ่ง

ตามตำนานเล่าว่า เมื่อตอนที่เขายังเด็ก เขาได้ฝึกฝนที่สำนักดาบมังกรเร้นเป็นเวลาหลายปี ต่อมาเพราะได้รับการชื่นชมจากจักรพรรดิต้าโจวองค์ปัจจุบัน จึงได้รับตำแหน่งแม่ทัพบัญชาการกองทัพ

ซูอี้หันกลับมามอง หลังจากมองดูไปสักพักก็ปรากฏร่องรอยดูถูกเหยียดหยามขึ้น “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะอยู่ในสายตาของข้าจริง ๆ”

สีหน้าของฉีเหลียนเจวี๋ยมืดลง ก่อนเขาจะกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มโกรธ ๆ “ช่างเสียสตินัก! หากเจ้าสามารถผ่านด่านหลงเหมินไปได้วันนี้ ข้าแซ่ฉีจะถอนตัวจากตำแหน่งแม่ทัพแล้วกลับไปไถนาทันที!”

เสียงนั้นทำให้ท้องฟ้าสั่นสะเทือน

คำพูดที่กล้าหาญนี้ทำให้หลายคนในที่นั้นลอบปรบมือ

แต่ในเวลานี้ ถัดจากฉีเหลียนเจวี๋ย สตรีในชุดสีเขียวที่เพียงพอที่ทำให้ผู้คนทั้งหมดตกตะลึงอดที่จะกระซิบขึ้นไม่ได้ “ท่านแม่ทัพ ใจเย็น ๆ ก่อน นี่… นี่คือ… ซูอี้!”

“ข้าไม่สนหรอกว่าเขาเป็นใคร… เอ๊ะ? เจ้าบอกว่าเขาคือ… เขาคือซูอี้รึ?!”

ในตอนแรก ฉีเหลียนเจวี๋ยดูถูกเหยียดหยามอย่างยิ่ง แต่เขาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง รูม่านตาขยายขึ้น จ้องตรงไปที่คนหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวที่ยืนอยู่ใต้ด่านหลงเหมินไกลออกไป ความหนาวเย็นไต่ไปตามสันหลังของเขาตรงไปยังด้านหลังศีรษะ

ทั่วร่างตะลึงราวกับถูกฟ้าผ่า

บรรยากาศด้านหน้าด่านหลงเหมินพลันเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด

ในเวลานี้ ชายร่างสูงตระหง่านที่ยืนอยู่อีกฝั่งของฉีเหลียนเจวี๋ยได้รีบก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า

“คุณชายซู แม่ทัพฉีเป็นศิษย์พี่ของข้าน้อย เขาไม่ทราบตัวตนของท่านจึงมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้น หวังว่าท่านคงไม่ถือสาเขา ”

ขณะที่พูด เหงื่อเย็นก็ไหลออกมาที่หน้าผากของเขา

ชายผู้นี้ฉางกั้วเค่อ ศิษย์สำนักดาบมังกรเร้น!

ส่วนสตรีที่น่าตื่นตะลึงและไร้การเสแสร้งในชุดสีเขียวก็คือชิงจิน

เมื่อนางมองไปที่ซูอี้ในเวลานี้ ใบหน้าที่สดใสและงดงามของนางก็ดูซับซ้อนเช่นกัน

นางกับฉางกั้วเค่อไม่ได้คาดหวังว่าพวกเขาจะพบกับซูอี้ที่นี่ และพวกเขายังเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ด้วย

“ซูอี้!”

“ที่แท้เขาคือซูอี้ผู้สังหารเทพเซียนเดินดินแห่งต้าฉินลง!”

ในเวลานี้ ท่ามกลางฝูงชนที่อยู่ห่างไกล ยังมีผู้ฝึกยุทธ์หลายคนที่อุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อตระหนักถึงตัวตนของซูอี้

ตัวตนที่เจิดจ้าและโด่งดังไปทั่วโลก ยามนี้ได้มาถึงหน้าด่านหลงเหมินแล้ว!

ชายสะพายดาบซึ่งถูกซูอี้ปราบลงก่อนหน้านี้ เช่นเดียวกับเหล่าทหารที่อยู่ในความระส่ำระสายพลันเข้าใจในเวลานี้ สีหน้าของพวกเขาซีดเผือดและในปากรับรู้ถึงรสขมขื่น

พวกเขาจะไม่เคยได้ยินชื่อของซูอี้ได้อย่างไร?

เนื่องจากชื่อนี้ทำให้ทั่วนครหลวงอวี้จิงในช่วงเร็ว ๆ นี้เกิดความโกลาหลขึ้นมากมาย!

เมื่อเผชิญหน้ากับชายที่โหดเหี้ยมไร้เทียมทานซึ่งได้ตัดหัวราชาต่างสกุลลงจำนวนมากและสังหารเทพเซียนเดินดิน ร่องรอยของการต้องการแก้แค้นที่เหลืออยู่ในหัวใจของพวกเขาก็ถูกดับลงอย่างสมบูรณ์ กระทั่งรู้สึกโชคดีเล็กน้อย

โชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่…

“ก็ได้ สำหรับตอนนี้แค่นี้แล้วกัน”

ซูอี้มองดูสีหน้าหวาดกลัวของฉางกั้วเค่อ แล้วตัดสินใจไม่เอาความต่อ

ทางฉีเหลียนเจวี๋ยที่อยู่ห่างออกไปก็แอบโล่งใจด้วย เขาดูเขินอายและอับอายยิ่ง ด้วยตนเองไปขู่ว่าหากซูอี้สามารถผ่านด่านหลงเหมินได้ จะปลดอาวุธและกลับไปไถนา!

ในชั่วพริบตา ความจริงก็เหมือนกับการตบอย่างโหดเหี้ยม ตบหน้าเขาอย่างดุเดือด ช่างน่าอับอายนัก!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *