บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 462: ตำนานผามังกรด้วน

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 462: ตำนานผามังกรด้วน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 462: ตำนานผามังกรด้วน

ตอนที่ 462: ตำนานผามังกรด้วน

เหวินซินจ้าวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “ผู้อาวุโสจาง ข้านำคำกล่าวนี้ไปบอกแก่สหายเต๋าซูได้หรือไม่?”

จางอวิ๋นเทาชะงักไปครู่หนึ่ง พลางเอ่ยด้วยสายตาที่ยุ่งเหยิง “ซินจ้าว เจ้า… คงไม่ได้ชอบซูอี้ไปแล้วหรอกนะ?”

เขารู้สึกมึนงงเป็นอย่างมาก และเจ็บปวดใจเล็กน้อย

นี่เพิ่งจะรู้จักซูอี้ได้ไม่กี่วัน มารดาบน้อยที่เฉิดฉายที่สุดแห่งวังเทพสวรรค์เมฆา กลับดูเหมือนว่าจะถูกซูอี้ป้ายยาเสน่ห์ใส่ และถูกชักจูงไป!

ดวงหน้างดงามของเหวินซินจ้าวนิ่งค้าง พลันร้อนขึ้นมาเล็กน้อย พลางเอ่ย “ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด ข้าแค่รู้สึกเคารพในความปราดเปรื่องและการวางตัวของซูอี้ เป็นแค่ความรู้สึกเลื่อมใสและชื่นชม…”

ไม่รอให้เอ่ยจบ จางอวิ๋นเทาก็ถอนหายใจพลางโบกมือ “ซินจ้าว ข้าไม่สนว่าเจ้าจะนำคำพูดข้าไปบอกแก่ซูอี้หรือไม่ ทว่ามีเรื่องอย่างหนึ่งที่ข้าต้องเตือนเจ้า”

เหวินซินจ้าวเอ่ย “เชิญเอ่ยมาได้เลย”

“ข้าหวังว่า เจ้าจะคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หากจากนี้ไปสำนักต้องไปจัดการกับซูอี้จริง ๆ ในฐานะที่เป็นศิษย์ของสำนัก เจ้าควรจะเลือกอย่างไร?”

เมื่อจางอวิ๋นเทาเอ่ยจบ เขาก็หมุนตัวเดินออกไป

ดวงหน้างดงามของเหวินซินจ้าวเปลี่ยนไปจนคาดเดาไม่ได้

เป็นเวลานาน นางถึงได้ถอนหายใจออกมาเบา ๆ พลางเดินแยกไปหาซูอี้

…..

ภายในห้อง ซูอี้เอนกายอยู่บนเก้าอี้หวาย ตั้งใจฟังคำพูดของเหวินซินจ้าว และอดพยักหน้าออกมาไม่ได้

“ผู้อาวุโสจางของเจ้าเอ่ยไม่ผิดหรอก ไม่ว่าจะสำนักไหน หากมิอาจปกป้องศิษย์ในบ้านตัวเองได้ ไม่ช้าก็เร็วคงต้องประสบกับความพังพินาศ”

ซูอี้เอ่ย “หากข้าเป็นเจ้าสำนัก แล้วรู้ว่าศิษย์ในสำนักตนถูกสังหาร ก็คงไม่ยอมวางมือยุติเรื่องนี้แน่”

“ศิษย์พี่ซู เจ้าไม่กลัวจริง ๆ รึ?”

เหวินซินจ้าวแปลกใจเล็กน้อย นางไม่เห็นความกังวลใด ๆ ที่เผยออกมาจากชายหนุ่มเลย มีเพียงความไม่แยแสและความสงบนิ่งอย่างก่อนหน้านี้เท่านั้น

ซูอี้หัวเราะขึ้นมา และเอ่ยทันที “ข้าเคยบอกแล้ว หากวังเทพสวรรค์เมฆาเป็นศัตรูกับข้า จะต้องได้รับผลที่ตามมา”

เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาก็มองไปที่เหวินซินจ้าว ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เจ้าไม่ต้องลำบากใจกับเรื่องนี้หรอก แม้เจ้าจะต้องตัดความสัมพันธ์กับข้าเพราะสำนัก ข้าก็จะไม่โทษเจ้าแน่นอน”

เหวินซินจ้าวถอนหายใจพร้อมกับเอ่ย “ข้าทำเรื่องเช่นนี้ไม่ได้หรอก ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดดีแล้ว หากสำนักต้องจัดการกับศิษย์พี่ซูจริง ๆ สิ่งเดียวที่ทำได้คือ ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย”

เมื่อมองใบหน้างดงามดุจเทพีสวรรค์ที่เผยความกลุ้มใจออกมาของหญิงสาว ซูอี้ก็อดรู้สึกสงสารไม่ได้

เขาคิดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “เอาแบบนี้ดีหรือไม่ หากข้ามีโอกาส ข้าจะไปวังเทพสวรรค์เมฆาและคลี่คลายเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”

เหวินซินจ้าวเบิกตากว้าง และเอ่ยด้วยความตกใจ “ศิษย์พี่ซูจะสังหารทั้งวังเทพสวรรค์เมฆารึ?”

ซูอี้ส่ายหน้า และเอ่ย “แค่ไปสะสางใช้พลังวัดความแข็งแกร่งเท่านั้น กล่าวง่าย ๆ คือ เป็นการเทียบหมัดต่อหมัดว่าใครแกร่งที่สุด และเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าเชื่อว่าวังเทพสวรรค์เมฆาของพวกเจ้าจะเลือกได้อย่างชาญฉลาด”

เมื่อเอ่ยจบ สายลมพลันพัดโชยมาเบา ๆ

ทว่าเสียงที่ดังก้องอยู่ในหู กลับไม่ใช่เสียงฟ้าร้องเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!

เมื่อมองไปทั่วต้าเซี่ยแล้ว จะมีผู้ฝึกตนคนใดกันที่กล้าเหยียบเข้าไปเทียบความแข็งแกร่งกับวังเทพสวรรค์เมฆา?

แม้แต่ผู้ฝึกตนในวิถีวิญญาณเอง ก็คงไม่มีความกล้าหาญเช่นนี้!

ทว่าซูอี้กลับทำเหมือนว่ากำลังเอ่ยถึงเรื่องเล็กน้อยอยู่ น้ำเสียงและท่าทางไม่เหมือนคุยโวโอ้อวด ราวกับว่าสำหรับเขามันเป็นเรื่องเล็กน้อยที่สามารถคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย…

หลังจากตะลึงอยู่พักหนึ่ง เหวินซินจ้าวกลับรู้สึกรอคอยอย่างอธิบายไม่ได้ออกมา พลันดวงตาเปล่งประกาย

“ศิษย์พี่ซู เช่นนั้นข้าจะเฝ้ารอวันที่ท่านมาแสดงอานุภาพที่วังเทพสวรรค์เมฆา!”

สถานที่ตั้งวังเทพสวรรค์เมฆา คือสถานที่ที่สวยสดงดงามและมีชื่อเสียงภายในอาณาเขตต้าเซี่ย ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกฝนศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกตนทั่วใต้หล้าใฝ่ฝันหาตั้งแต่อดีตกาลนานมา!

หากซูอี้สามารถสยบวังเทพสวรรค์เมฆาด้วยพลังของตัวเองเพียงผู้เดียว เช่นนั้นจะเป็นเช่นไรนะ?

ซูอี้เอ่ยอย่างใจลอย “มีสิ่งใดให้เฝ้ารอกัน เมื่อเทียบกันแล้ว การแสวงหาวิถีดาบคือสิ่งที่เจ้าควรจะต้องสนใจมากกว่า”

เหวินซินจ้าวอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ ประหนึ่งดอกตูมที่เบ่งบานออกมาหลังจากฝนตก ช่างสดชื่นและแจ่มใส

ยิ่งรู้จักกับซูอี้มากเท่าใด นางก็ยิ่งรู้ว่า ภายใต้ท่าทางที่ไม่แยแสของชายหนุ่มหล่อเหลาที่มาจากต้าโจวผู้นี้ คล้ายกับมีเสน่ห์บางอย่าง ซึ่งมันคือความเย่อหยิ่งและความถือตัวที่อยู่ภายใน

ความเย่อหยิ่งของเขา เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก ยิ่งไม่ต้องไปเอ่ยถึงการโต้เถียงกับคนอื่น ๆ

แต่เมื่อได้รู้จักกับเขาจริง ๆ และได้เข้าใจถึงความสามารถและความเฉลียวฉลาดในวิถีดาบของเขา ก็ยิ่งเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ความถือดีของเขานั้นมาจากความมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเอง ซึ่งมิอาจเทียบกับบุคคลที่พูดส่งเดช คุยโวโอ้อวดเหล่านั้นเลย

…..

ต่อมาระหว่างทาง คลื่นลมสงบเงียบ

ซูอี้ได้ใช้ดักแด้วิญญาณหยก แลกกับทรัพย์สินมหาศาลมาจากตระกูลจั่ว

มันเป็นเพียงทรัพยากรที่จำเป็นต่อการฝึกฝน และสามารถทำให้เขาฝึกไปจนถึงขอบเขตเปิดทวารได้

นอกจากนี้ วัตถุวิญญาณกับหยกจิตวิญญาณเหล่านั้น ยังสามารถนำมาหลอมดาบนิลกาฬกลืนฟ้ากับกลั่นยันต์ลึกลับที่มีอานุภาพมหาศาลได้

สรุปคือ อย่างน้อยที่สุดก่อนก้าวเข้าสู่ขอบเขตเปิดทวาร ซูอี้ก็ไม่จำเป็นต้องกลุ้มใจกับเรื่องทรัพยากรการฝึกฝนอีก

เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ บรรยากาศบนเรือล่องล้อเมฆาเปลี่ยนเป็นลุ่มลึกขึ้น

เมื่อเริ่นโหยวโหย่วรู้เรื่องฮั่วอวิ๋นเซิงและคนอื่น ๆ ถูกสังหาร ว่ากันว่าตอนนั้นนางตกใจจนมีสีหน้าซีดเผือด นิ่งอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน

และตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา เริ่นโหยวโหย่วก็ไม่ออกไปไหน คล้ายกับหวาดกลัวที่จะพบหน้าซูอี้

จางอวิ๋นเทาก็เงียบไปเช่นกัน เขาจงใจหลบเลี่ยงที่จะพบกับซูอี้ เพียงแค่สนทนากับเหวินซินจ้าวเป็นบางครา

แต่ซูอี้กลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากฝึกฝนแล้ว ก็ยังชี้แนะการฝึกฝนวิถีดาบให้แก่เหวินซินจ้าวต่อไป

เมื่อถึงยามราตรีที่เงียบสงัด ก็จะเรียกชิงหว่านออกมาดื่มพลางสนทนากันไปด้วย

เพียงแต่ส่วนใหญ่ชิงหว่านจะเป็นคนที่ฟังเขาพูดมากกว่า

ซูอี้ต้องยอมรับว่า ชิงหว่านคือผู้ฟังที่น่าพึงพอใจมาก เมื่ออยู่ด้วยกันกับนาง เขาสามารถพูดคุยสิ่งที่อยู่ในใจออกมาได้อย่างสบายใจ โดยไม่ต้องหลีกเลี่ยงอะไรมากมาย

ชิงหว่านก็มีความสุขมาก นางชอบท่าทางของซูอี้ในตอนที่ดื่มไปด้วยและพูดจาฉะฉานไปด้วย

แน่นอนว่า ทุกครั้งที่ซูอี้เอ่ยถึงเรื่องน่าอับอายอย่างการฝึกบำเพ็ญคู่ ชิงหว่านก็อดรู้สึกกระวนกระวายใจและเขินอายขึ้นมาไม่ได้ พลันแก้มทั้งสองแดงปลั่งทันที

เจ็ดวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในวันที่เจ็ดนี้ กลุ่มของพวกเขาหยุดพักอยู่ในเมืองที่อุดมไปด้วยวัตถุวิญญาณแห่งหนึ่งในแคว้นจิ่งหนึ่งวัน ซูอี้จึงถือโอกาสนี้ซื้อวัตถุวิญญาณพื้นฐานที่นำมาหลอมกลั่นเป็นยันต์ลึกลับ

ถ้าในเวลาอื่น กลุ่มของพวกเขาก็จะไปเดินเล่น

จนถึงยามนี้ ซูอี้ถึงตระหนักได้ว่า อาณาจักรต้าเซี่ยกว้างใหญ่เพียงใด

พวกเขาออกเดินทางจากแคว้นเทียนหนานซึ่งอยู่ทิศใต้สุดของอาณาจักรต้าเซี่ยด้วยเรือล่องล้อเมฆา ความเร็วในการเดินทางไม่ถือว่าเร็วนัก ทว่าก็ใช้เวลาเกือบสิบวัน

จนถึงยามนี้ กลับข้ามอาณาเขตมาเพียงสามแคว้นเท่านั้น

ตามคำพูดของเหวินซินจ้าว ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีกครึ่งเดือนจึงจะไปถึงอาณาเขต ‘แคว้นชาง’ อันเป็นที่ตั้งของนครหลวงจิ๋วติ่ง เมืองหลวงแห่งต้าเซี่ย

แน่นอนว่าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความเร็วในการเดินทางโดยเรือล่องล้อเมฆาเล็กน้อย

แม้เรือล่องล้อเมฆาจะนั่งได้อย่างสะดวกสบาย แต่ในแง่ของความเร็วนั้น ยังเทียบไม่ได้กับความเร็วในการหลบหนีของผู้ฝึกตนธรรมดาที่อยู่ขอบเขตไร้เบญจธัญ

แต่ซูอี้ไม่ได้รีบร้อนเดินทางอะไร และไม่สนใจกับเรื่องเหล่านี้ด้วย

การเดินทางก็เหมือนกับชีวิตของมนุษย์ เร่งรีบเดินทางไป ก็รังแต่จะทำให้พลาดทัศนียภาพมากมายตลอดทางได้

การฝึกฝนก็เช่นกัน หากเร่งรีบเกินไปก็จะไปไม่ถึงเป้าหมาย และมิอาจมัวแต่ไล่ตามการบรรลุจนเกินไป จะต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปทีละขั้น

ราตรีมืดมิด

แคว้นเซี่ยง ริมผามังกรด้วน

จันทร์กระจ่างกลางท้องนภา ผืนปฐพีกว้างใหญ่ แม่น้ำสาดซัดโครมคราม

กระแสน้ำรินไหล คลื่นน้ำดุจหิมะขาว แสงจันทร์ดั่งโลหะเงินแตกละเอียด

เรือล่องล้อเมฆาหยุดอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่งห่างจากผามังกรด้วนไม่ไกลนัก

นอกจากเริ่นโหยวโหย่ว ซูอี้และคนอื่น ๆ เดินออกมาจากเรือ ก่อกองไฟ ดื่มด่ำสำราญท่ามกลางแสงจันทร์อยู่บนยอดเขานั้น

“ว่ากันว่า เมื่อนานมาแล้ว ในแม่น้ำด้านหน้ามีมังกรเกล็ดดำอาศัยอยู่หนึ่งตัว การฝึกฝนของมันล้ำลึกจนมิอาจคาดเดาได้ มีศักยภาพในการแปลงเป็นมังกร ทุก ๆ หนึ่งร้อยปีมันจะออกมาจากแม่น้ำ ดูดซับพลังของดวงจันทร์ เพื่อหลอมกลั่นร่างกายและเลือดลมปราณในร่างกายของตัวเอง”

เหวินซินจ้าวเล่าตำนานโบราณด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะน่าฟัง “แต่ต่อมา ในตอนที่มังกรเกล็ดดำจะข้ามผ่านภัยพิบัติไปเป็นมังกรแท้ กลับพบเจอกับเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง เป็นผู้ฝึกดาบที่มีการฝึกฝนแข็งแกร่งเหยียบเข้ามาในอาณาเขตแม่น้ำ และพยายามจะแย่งสามหัวใจของมันไปในตอนข้ามผ่านภัยพิบัติ”

“สุดท้าย นักดาบนั่นตวัดดาบฟันหัวมังกรเกล็ดดำอยู่บนผามังกรด้วน แต่ทว่านักดาบผู้นั้นก็ถูกมังกรเกล็ดดำที่โกรธเกรี้ยวกลืนกินลงไปเช่นกัน”

“มังกรเกล็ดดำที่บาดเจ็บสาหัส ไม่เพียงแต่พลาดโอกาสในการกลายเป็นมังกร แต่ยังถูกทัณฑ์สวรรค์ตัดร่างจนขาด และดับสิ้นไป”

“ชื่อของผามังกรด้วน ก็มาจากเหตุการณ์นี้ ซึ่งหมายความว่า ผาแห่งนี้ได้ตัดความหวังของมังกรเกล็ดดำที่จะกลายไปเป็นมังกรแท้”

เมื่อฟังจบ ชิงหยาก็รู้สึกเห็นใจต่อโชคชะตาของมังกรเกล็ดดำ

หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงก็รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก

พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกปีศาจ จึงเป็นธรรมดาที่พอจะเข้าใจเหล่ามังกรเกล็ดอยู่บ้าง พวกมันคือการดำรงอยู่ของเผ่าปีศาจน่ากลัว มีพรสวรรค์แกร่งกล้า มีสายเลือดชั้นสูง มิอาจเทียบกับเผ่าปีศาจทั่วไปเลย

ด้วยเหตุนี้ เหล่ามังกรมีเกล็ดที่อยากแปรสภาพเป็นร่างมังกรแท้จริง ยังยากกว่าการขึ้นสวรรค์เสียอีก!

ไม่เพียงแต่การฝึกฝนที่ยาก ต่อให้จับจุดที่สามารถช่วยในการกลายเป็นมังกรได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์ ก็ยังเรียกได้ว่าน่าสะพรึงกลัว และเกือบเอาชีวิตไม่รอด

“หากตำนานนี้คือความจริง ความสามารถของมังกรเกล็ดดำตัวนั้นคงไม่ธรรมดา อย่างน้อยมันต้องอยู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ และฝึกฝนอย่างหนักจนปรากฏเขา เกล็ด กรงเล็บ สันหลังออกมาแล้ว เหลือเพียงข้ามผ่านมหาภัยพิบัติ ก็จะสามารถบรรลุ แปรสภาพออกมาเป็นร่างมังกรแท้จริง ซึ่งมีพร้อมทั้งอานุภาพมังกรกับลมปราณมังกร แม้มันจะไม่ใช่มังกรสายเลือดบริสุทธิ์ แต่มังกรมีเกล็ดในโลกนี้ก็มิอาจเทียบชั้นได้อยู่ดี”

ซูอี้ดื่มสุราลงไปหนึ่งอึก และเอ่ยทันที “และนักดาบที่สามารถเข้าไปตัดหัวมังกรเกล็ดดำ ต้องมีความสามารถในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ไม่เช่นนั้น คงไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้มังกรเกล็ดดำตัวนั้นแน่นอน”

เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาส่ายหน้าออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “น่าเสียดาย นักดาบคนนี้โง่งมเกินไป หากจะสังหารมังกรมีเกล็ด ต้องขอดเกล็ดและกรงเล็บของมันก่อน จากนั้นตัดหาง แทงตา ทำลายเขา เช่นนี้แล้ว แม้มังกรมีเกล็ดจะมีความสามารถแกร่งกล้ามหาศาล อย่างมากสุดก็ทำได้แค่ปลดปล่อยพลังออกมาครึ่งเดียว และเมื่อไปสังหารมันอีกครั้ง ก็จะชนะได้อย่างสบาย ๆ”

เมื่อทุกคนได้ฟังต่างก็ตกตะลึง

พวกเขาแค่คิดว่าตำนานคือเรื่องที่เพ้อฝันอย่างหนึ่ง

แต่ไม่นึกเลยว่า ซูอี้กลับคาดเดาความเร้นลับมากมายออกมาได้!

อย่างเช่น มังกรเกล็ดดำที่กลายเป็นมังกร ต้องมีพื้นฐานและระดับเท่าใด ในตอนที่สังหารมันนั้น ก็ต้องเลือกใช้วิธีการระดับเท่านั้นถึงจะสามารถชนะได้อย่างง่ายดาย

…..

“พี่ชายซูอี้รู้เยอะจังเลย!”

ดวงตาชิงหยาเปล่งประกาย พลางเอ่ยด้วยความตะลึง “คนที่ไม่รู้คงคิดว่าพี่ชายซูอี้เคยสังหารมังกรมีเกล็ดมาก่อนแน่เลย”

คนที่เหลือก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทอดถอนใจ เห็นอยู่ว่าซูอี้คือชายหนุ่มที่อยู่ขอบเขตไร้เบญจธัญ แต่เหมือนกับว่าไม่มีเรื่องไหนในโลกนี้ที่เขาจะไม่เข้าใจเลย

เมื่อฟังเขาเอ่ยถึงความเร้นลับบนการฝึกฝนเหล่านั้น ราวกับรู้สึกเหมือนได้เปิดหูเปิดตา และคิดได้ในทันที

เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าซูอี้เคยสังหารมังกรมีเกล็ดหรือไม่?

เมื่อชาติก่อน เขาเคยถลกหนังมังกร ฉีกทึ้งกระดูกมังกร เลาะเอ็นมังกร ดื่มสุราที่กลั่นด้วยเลือดมังกร และกินตับมังกรกับไขสันหลังหงส์…

ในตอนที่คุยเรื่อยเปื่อยนั้น จู่ ๆ ซูอี้ก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา พลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และมองไกลออกไป

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *