บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 91 : บทแท้จริงอรุณวิญญาณ มหานครอวิ๋นเหอ

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 91 : บทแท้จริงอรุณวิญญาณ มหานครอวิ๋นเหอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แม้ชิงจินจะมีท่าทีสงบ ทว่าหัวใจของนางกำลังตื่นตระหนก

เพียงเพราะประโยคที่พูดเมื่อคืนนี้ นางแทบไม่สามารถหลับตาลงได้เลย เนื่องจากเป็นกังวลว่าซูอี้จะเรียกร้องบางอย่างที่ไม่อาจทนได้

เช้าวันนี้เอง นางจึงตัดสินใจที่จะกล่าวถึงเรื่องราวนี้ก่อน

ไม่ช้าก็เร็วนางต้องทนทุกข์กับคมดาบนี้อยู่ดี จะดีกว่าถ้าใช้ดาบแทงตัวเองไปเลย

ทว่าเมื่อต้องเผชิญกับปัญหานี้ นางก็อดกังวลไม่ได้

‘หวังว่าการเดาของข้าจะถูกต้อง ด้วยบุคลิกของเขาแล้ว เขาน่าจะไม่เรียกร้องมากเกินไป…’ ชิงจินแอบอธิษฐานในใจ

ในสายตาของนาง แม้ดูจากภายนอกซูอี้จะเยาว์วัยและสุขุม แต่ลึกข้างในเขาเป็นคนที่เย่อหยิ่งมาก

ความเฉยเมยต่อทุกสิ่งอย่าง นางเคยเห็นมันในตัวผู้ยิ่งใหญ่ในหมู่ผู้อาวุโสของสำนักเท่านั้น

ในบรรดาผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น แค่พวกเขากระทืบเท้าเพียงครั้งเดียวแผ่นดินต้าโจวคงไม่พ้นสั่นสะเทือนถึงสามครา

แต่ช่างน่าแปลกที่ดูเหมือนความเย่อหยิ่งของพวกเขานั้นจะยังเทียบกับซูอี้ไม่ได้ นางรู้สึกว่า… ทุกสิ่งอย่างในโลกใบนี้สำหรับซูอี้ มันจะเป็นเพียงแสงระยิบระยับวาบผ่านและสามารถเพิกเฉยได้อย่างสมบูรณ์!

สรรพสิ่งล้วนไร้ค่า ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

ชิงจินแปลกใจอย่างยิ่ง เขยแต่งเข้าบ้านตัวตนเล็กจ้อย แต่กลับมีจิตวิญญาณและความเย่อหยิ่งสูงเทียมฟ้าขนาดนี้ได้อย่างไร?

นี่มันผิดปกติอย่างไม่ต้องสงสัย

อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะนางมองเห็นความเย่อหยิ่งในส่วนลึกของซูอี้ ชิงจินจึงมั่นใจว่า อีกฝ่าย… คงไม่หยิบยกประเด็นน่าอับอายที่นางยอมรับไม่ได้

เวลาดูเหมือนจะเดินหน้าอย่างเชื่องช้า

สำหรับชิงจิน ช่วงเวลานี้ยาวนานราวกับหนึ่งปี หัวใจบีบรัดและเป็นทุกข์ยิ่ง

ทว่าเมื่อซูอี้มองตรงไปที่นาง ถ้อยคำกล่าวออก “ทำไมเจ้าถึงประหม่า?”

“หืม? ข้าน่ะหรือ?”

ชิงจินแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง มองตรงไปยังซูอี้ ราวกับจะพิสูจน์ว่านางไม่ได้เป็นเช่นนั้น

แต่แววตาปรากฏร่องรอยความตื่นตระหนกโดยควบคุมไม่อยู่ มันทรยศนางโดยเผยให้เห็นความกระสับกระส่ายในใจ

“หากเจ้าออกแรงมากกว่านี้อีกเพียงนิด ชายเสื้อของเจ้าคงทะลุจากปลายเล็บที่จิกอยู่เป็นแน่”

ซูอี้หัวเราะ

ชิงจินตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นจึงก้มศีรษะดูและพบว่าตนเองจิกชายเสื้อด้วยมือทั้งสองโดยไม่รู้ตัว เส้นเลือดหลังมือทั้งสองปูดขึ้นด้วยแรงที่มากเกินไป

สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าอันงดงามของนางแดงก่ำ ดวงตาร้อนฉ่าราวกับถูกเปลวไฟแผดเผา นางมองซูอี้พลางกล่าวด้วยท่าทีอับอาย “หากเจ้ายังไม่พูด อย่าโทษที่ข้ากลับไป!”

โจวจือหลีด้านข้างตกตะลึง อาหญิงเขินอายเป็นด้วยหรือ??

เมื่อแลเห็นท่าทีของอีกฝ่ายเช่นนี้ ซูอี้จึงเลิกเย้าแหย่และเอ่ยออก “เจ้ามีร่างหยกอรุณวิญญาณ ซึ่งนับว่าโดดเด่นยิ่งในโลกนี้ ข้ายังขาดสาวใช้ข้างกาย หากเต็มใจยอมรับใช้อย่างน้อยหนึ่งปี ข้าไม่เพียงมอบอิสระ แต่ยังช่วยให้เจ้าสามารถใช้พรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่เกิดได้อย่างเต็มที่”

ทันใดนั้น ทั่วทั้งห้องพลันเงียบสงัด

หยวนลั่วซีและคนอื่นต่างตกตะลึง ความแข็งแกร่งของสตรีนางนี้น่าเกรงขามเทียบเท่าได้กับปรมาจารย์วิถียุทธ์ และสถานะของนางดูสูงส่งไม่ธรรมดา แม้แต่องค์ชายหกยังให้เกียรตินางในฐานะ ‘อาจารย์อา’ เชียวนะ!”

แต่ตอนนี้ คุณชายซูกลับต้องการรับนางเป็นสาวใช้!!

โจวจือหลีแทบสำลักลมหายใจ เขารู้ตัวตนของชิงจินดีที่สุด ครั้งได้ยินซูอี้ร้องขอเช่นนั้น เขาจึงตกตะลึงจนแทบอ้าปากค้าง

หากท่านอาจารย์เบื้องหลังอาชิงจินทราบเรื่องราวเข้า จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตเพียงใด?

เมื่อหันมองชิงจินอีกครั้ง ท่าทีของนางดูหมองหม่น ขณะดวงตาแข็งกร้าว

นางวางแผนไว้แล้ว หากซูอี้โลภมากในรูปร่างหน้าตางดงามและร้องขอสิ่งที่ทำให้อับอาย แม้ดูไร้ยางอายเพียงใดนางก็ไม่มีทางยอมรับ

ใครจะคาดคิด คำขอของซูอี้จะเลวร้ายยิ่งกว่าที่นางคิด เขา… เขาต้องการข้าเป็นสาวใช้!

ทันใดนั้น ใบหน้าของชิงจินแดงก่ำด้วยความโกรธ ฟันกรามขบกันแน่น ดวงตาส่องประกายราวกับใบมีดที่แหลมคม ร่างสูงที่ซ่อนเร้นภายใต้เสื้อผ้าหลวมผันผวนอย่างรุนแรง

“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน! ถึงกล้าเอ่ยชวนให้ข้าผู้นี้เป็นสาวใช้ให้!?” ชิงจินพ่นคำออกอย่างอาฆาต

ทุกคนล้วนแสดงความตึงเครียด

ทว่าแลเห็นเพียงซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวคำออก “การได้เดินทางร่วมกับข้า นับเป็นดั่งพรที่ไม่ใช่ว่าใครจะได้มีโอกาส”

“พร?”

ชิงจินหัวเราะด้วยความเดือดดาล ตั้งแต่เล็กจนโต นางถูกมองว่าเป็นบุตรีแห่งสวรรค์ของสำนัก แม้แต่ต่อหน้าองค์ชายอย่างโจวจือหลีก็ไม่มีข้อแม้

แต่ตอนนี้ นางกำลังถูกเหยียดหยาม แล้วจะไม่ให้หงุดหงิดได้อย่างไร?

หากไม่ใช่เพราะซูอี้ช่วยชีวิตไว้คืนก่อน นางคงฟาดฟันดาบสังหารไปนานแล้ว

ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!

โดยไม่คาดคิด ซูอี้หัวเราะก่อนกล่าวออก “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องไม่พอใจ คิดว่ากำลังทำให้เจ้าขายหน้า แต่มันไม่สายเกินไปที่จะตัดสินใจหลังจากอ่านสิ่งนี้”

สิ้นเสียง เขาหยิบม้วนกระดาษออกจากจี้หยกข้างเอว ก่อนจะยื่นให้

ชิงจินตกตะลึงครู่หนึ่ง ระงับความโกรธและรับม้วนกระดาษมา

ครั้งเปิดดู นางก็ต้องตกตะลึงกับข้อความบรรทัดแรก “บทแท้จริงอรุณวิญญาณ?”

นางอ่านต่อไป

ในเวลาเพียงชั่วครู่ จิตใจหมกมุ่นกับตัวหนังสือ ร่างกายสั่นไหว ความประหลาดใจ ความตื่นเต้น และอีกมากมายปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้วอย่างไม่สามารถควบคุม

สิ่งนี้ทำให้โจวจือหลีและหยวนลั่วซีนึกสงสัย ว่ามีสิ่งใดเขียนอยู่ในม้วนกระดาษกันแน่

น่าเสียดาย ด้วยระยะห่าง พวกเขาจึงมองไม่เห็น

หลังจากผ่านไปนาน ชิงจินหลับตาทั้งสองลงและพูดไม่ออก

ทุกคนล้วนมองเห็นว่า หัวใจของนางกำลังหวั่นไหว!

ในเวลาเดียวกัน ซูอี้พูดถ้อยคำเฉยเมย “นี่เป็นเพียงแนวทางสำหรับการเริ่มต้น ข้าคิดว่า ด้วยสติปัญญาสูงส่งที่เจ้ามี เจ้าจะสามารถเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งทั้งหมดภายในเวลาหนึ่งปี แน่นอนว่าหากไม่ต้องการ ย่อมไม่เป็นไร ข้าไม่ทำสิ่งใดให้ยุ่งยากเหมือนตัวตนแข็งแกร่งของผู้อื่น”

เนื้อหาที่เขียนในหน้านี้คือบทแท้จริงอรุณวิญญาณ อธิบายถึงความลึกลับของ ‘ร่างหยกอรุณวิญญาณ’ ทั้งยังมีเคล็ดลับการควบคุมมากมายเพื่อใช้ความสามารถของร่างดังกล่าวได้อย่างเต็มที่

หวนนึกย้อนกลับไปในชาติก่อน เพื่อศึกษาและอนุมานผลของพรสวรรค์ที่แตกต่างกัน ซูอี้จึงเลือกใช้ ‘ลำดับร่างวิญญาณสวรรค์’ เป็นแหล่งอ้างอิงในการค้นหาร่างวิญญาณแบบต่าง ๆ ในโลก เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจร่างวิญญาณแต่ละแบบให้ถ่องแท้ ซึ่งถือเป็นการสั่งสมความรู้ที่ยอดเยี่ยม

ดังเช่น ‘บทแท้จริงอรุณวิญญาณ’ มันคือหนึ่งในความรู้เกี่ยวกับร่างหยกอรุณวิญญาณที่เขาศึกษามาเมื่อชาติที่แล้ว

ทุกคนล้วนมองไปยังชิงจิน คล้ายกับใคร่รู้ว่านางจะตัดสินใจอย่างไร

“ข้า… ขอคิดดูก่อนได้หรือไม่?”

หลังจากนั้นไม่นาน ชิงจินเขินอายและลังเลที่จะกล่าวออก

ซูอี้พยักหน้าตอบรับ “แน่นอนว่าย่อมได้ แต่ความอดทนของข้ามีจำกัด ก่อนถึงมหานครอวิ๋นเหอ เจ้าต้องให้คำตอบที่ชัดเจนแก่ข้า”

ชิงจินถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนรีบกล่าวคำลาและจากไปพร้อมกับโจวจือหลี

“คุณชายซู หากไร้สาวใช้ข้างกาย ข้าสามารถช่วยค้นหาได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวตนแบบใด ก็จะหามาให้มากเท่าที่ต้องการ”

ครั้งรับชมชิงจินเดินจากไป หยวนลั่วซีพลันกล่าวขึ้น

ซูอี้หัวเราะกล่าวอธิบาย “ข้าไม่ค่อยพบเจอผู้ที่มีร่างวิญญาณตั้งแต่แรกเกิดเช่นนาง จึงมีความใคร่รู้ แน่นอนว่าข้าไม่ใส่ใจหากนางปฏิเสธ มนุษย์ทุกคนต่างมีเส้นทางเป็นของตนเอง”

หวงเฉียนจวินกล่าวด้วยอารมณ์ “คงมีเพียงพี่ซูเท่านั้นที่กล้ากระทำเช่นเมื่อครู่ หากเป็นคนอื่น ด้วยอารมณ์ของชิงจิน เกรงว่าพวกเขาคงถูกโกรธและฆ่าตายไปแล้ว”

เฉิงอู้หย่งอดที่จะหัวเราะไม่ได้ “ในความคิดข้า คุณชายซูไม่ได้ร้องขอนางมากเท่าไร หรือจะพูดให้ถูกก็คือคุณชายซูหยิบยื่นโอกาศให้ด้วยซ้ำ ขึ้นอยู่กับนางแล้วว่าจะตัดสินใจเลือกทางใด”

ซูอี้เพียงยิ้มไม่ใส่ใจ

หยวนลั่วซีหวนนึกถึงบางอย่าง แล้วกล่าวออกทันใด “อย่างไรก็ตามคุณชายซู เราใกล้ถึงมหานครอวิ๋นเหอแล้ว หากยังไม่มีที่พักชั่วคราว ทำไมจึงไม่มาพักที่บ้านข้าล่ะ?”

“ข้ามีที่พักแล้ว”

ซูอี้ส่ายศีรษะ อดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงประสบการณ์ที่ตนเคยอาศัยอยู่ในสำนักดาบชิงเหอสามปี

เขายังคงจดจำผู้คนและสถานที่ในมหานครอวิ๋นเหอได้

แน่นอนว่ายังมีเหวินหลิงเสวี่ยอีกด้วย

วันที่แปดเดือนกุมภาพันธ์ตามปฏิทินต้าโจว

นอกมหานครอวิ๋นเหอ บนท่าเรือริมแม่น้ำต้าฉางมีเรือมากมายเทียบท่า บรรยากาศโดยรอบคึกคัก

ในระยะไกล เรือโดยสารลำใหญ่กำลังมุ่งหน้าตรงมา

“มหานครอวิ๋นเหอ ข้าซูอี้ได้กลับมาอีกครั้ง…”

ยืนไพล่หลังมองดูจากหน้าต่างศาลา ซูอี้อดไม่ได้ที่จะพึมพำในใจเมื่อแลเห็นบ้านเมืองขนาดใหญ่และเรืองอำนาจบนชายฝั่ง

มหานครอวิ๋นเหอ เป็นหนึ่งในสิบเก้านครของเขตปกครองอวิ๋นเหอ เปรียบเสมือนเมืองหลวงของเขตปกครอง ที่นี่มีประชากรมากถึงสามล้านคน

สำนักดาบชิงเหออันมีชื่อเสียงเองก็ตั้งอยู่ในมหานครอวิ๋นเหอแห่งนี้

เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองกว่างหลิง มหานครอวิ๋นเหอมีความเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

กลุ่มอิทธิพลทุกชนชั้นและเหล่าผู้บ่มเพาะระดับแนวหน้าต่างมารวมตัวกันที่นี่

ในสิบเก้านครของเขตปกครองอวิ๋นเหอ ที่นี่เป็นเป้าหมายที่ผู้บ่มเพาะหนุ่มสาวทั้งหลายต่างต้องการเดินทางมาเยือน

“คุณชายซู เรือกำลังจอดที่ท่าเรือเร็ว ๆ นี้ เราพร้อมจะลงเรือกันแล้วหรือยัง?”

หยวนลั่วซีสวมเครื่องแบบทหาร บนใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

การได้กลับบ้าน ทำให้สตรีผู้เย่อหยิ่งนี้มีความสุขมาก

เฉิงอู้หย่งและหวงเฉียนจวินต่างเก็บข้าวของเรียบร้อย

เห็นดังนั้น ซูอี้จึงพยักหน้าและเดินออกจากอาคาร

“ซูอี้”

ระหว่างเดินออกมา แลเห็นชิงจินตรงเข้ามาจากระยะไกล

อาการบาดเจ็บของนางหายเป็นปกติแล้ว ผมยาวถูกมัดไว้เป็นหางม้า ผิวขาวเหมือนหยก ใบหน้างดงามและละเอียดอ่อนราวกับสวรรค์สรรค์สร้างดูน่าทึ่งอย่างยิ่ง

หลังจากมาถึง โดยไม่รอให้ซูอี้พูดสิ่งใด นางก็ประกาศกร้าว “ข้าตัดสินใจแล้ว เจ้าอาจมีเจตนาดี แต่ข้าไม่ต้องการก้มหัวให้เจ้า!”

สตรีร่างสูงยกแขนเรียวกอดอกตัวเองมั่น ริมฝีปากแดงยกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสดใสเต็มไปด้วยความถือตัว

ซูอี้ยิ้มตอบเฉยเมย “ข้าน้อมรับการตัดสินใจของเจ้า”

ชิงจินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ไม่เห็นท่าทางซูอี้แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย

ในทันที นางกล่าวออกไป “กระนั้น ข้าเป็นหนี้บุญคุณที่ถูกช่วยชีวิต จึงจะขอตอบแทนมันในภายภาคหน้า”

แต่ซูอี้ไม่เห็นด้วยพลางกล่าวว่า “ไม่จำเป็น ข้าคิดว่า เจ้าควรกังวลเกี่ยวกับหลานของเจ้าให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีก”

ชิงจินลังเลครู่หนึ่ง ประหนึ่งรู้สึกเขินอาย ถ้อยคำกล่าวออก “หากไม่รังเกียจ ข้าขอเสียมารยาทถามได้หรือไม่ว่า ‘บทแท้จริงอรุณวิญญาณ’ ในมือเจ้านั้นได้มาจากที่ใด?”

ซูอี้กล่าวตอบท่าทีสบาย “ข้าคิดค้นมันด้วยตนเอง”

ชิงจินตกตะลึงและอดไม่ได้จะกล่าวถ้อยคำออก “ข้าคิดว่า ‘บทแท้จริงอรุณวิญญาณ’ นั้นยอดเยี่ยมเลิศล้ำเป็นที่สุด แม้แต่เทพเซียนเดินดินก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้ง่าย มันเป็นเพราะข้าไม่ยอมก้มหัวเป็นสาวใช้ให้เจ้าและทำให้เจ้าผิดหวังในใจใช่หรือไม่ ไม่เช่นนั้นเจ้าคงจะไม่กล่าวถ้อยคำไร้สาระเช่นนี้?”

แลเห็นได้ชัดเจน นางเข้าใจว่าซูอี้จงใจปกปิดความจริง

ซูอี้อดหัวเราะไม่ได้ กล่าวออกว่า “จำสิ่งที่ข้าบอกเมื่อวานได้หรือไม่ การเป็นสาวใช้ของข้านับเป็นดั่งพรที่ไม่ใช่ใครก็มีโอกาส เรื่องมันก็แค่นั้น แล้วเจอกันใหม่…”

“ไม่สิ อย่าได้พบเจอกันอีกเลย ข้าไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับปัญหาโดยไร้เหตุผล”

หลังจากเอ่ยจบ เขาก้าวออกไปด้านหน้า

หยวนลั่วซีและคนอื่นรีบตามออกไปอย่างรวดเร็ว

ภายใต้แสงจากท้องนภา ชายหนุ่มชุดคลุมเขียวเอามือไพล่หลัง เดินจากไปอย่างสบายอารมณ์

ชิงจินยืนนิ่งอยู่ที่เดิม จ้องมองร่างของซูอี้ห่างออกไป ขณะที่หัวใจปรากฏความซับซ้อนอย่างไม่อาจอธิบาย

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *