บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 33 ชิงหว่าน

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 33 ชิงหว่าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 33 ชิงหว่าน

ท่ามกลางราตรีเงียบงัน

ช่อกิ่งหลิวแกว่งไกวราวแส้ก็ไม่ปาน

เปรี้ยง!

ร่างมายาไร้ผู้คนเห็นโซเซผงะถอย ส่งเสียงครวญเจ็บปวด

ร่างนี้ล่องลอยราวภาพลวงตา โอบล้อมไปด้วยพลังงานหยินรุนแรง มันคือภูตผี!

“แค่โบกโดนกลับร้องเสียเจ็บปวดเพียงนี้ ไร้น้ำยาเสียจริง”

ซูอี้ยืนขึ้น เมื่อเห็นภาพนี้ เขาก็อดส่ายหน้าไม่ได้ แววคาดหวังในดวงตาจางหายไปมาก

เปรี๊ยะ ๆ!

ต้นแคฝรั่งสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น กิ่งไม้ขยับไหวบ้าคลั่ง ปลดปล่อยไอพลังหยินไม่ต่างฝูงหมาป่าคำราม กวาดใบไม้ที่ร่วงโรยก่อตัวกลับกลายเป็นร่างผี พุ่งเข้ามาทางซูอี้อีกครา

ซูอี้กระชับช่อกิ่งหลิวในมือและฟาดออกอีกครั้งราวถือแส้ศักดิ์สิทธิ์ แทนที่ถอยหนีกลับเดินหน้า!

เปรี้ยง!

เสียงดังดั่งอสนีบาต

หยดเลือดที่ติดช่อกิ่งหลิวพุ่งออกเป็นเส้นสายนับพัน

เจ้าผีไม่ทันได้หลบเลี่ยง จึงถูกโจมตีเข้าอย่างจังจนไอมืดดำจางหาย ถอยร่างผงะหนีด้วยความเจ็บปวดสาหัส กรีดร้องโหยหวน

ซูอี้ไม่อาจปิดบังความผิดหวังในแววตาได้

ช่อกิ่งหลิงในมือเขาจุ่มเพียงเลือดไก่มาเท่านั้น

แม้จะมีอานุภาพในการขับไล่ภูตผี แต่ไม่มีพลังมากนัก

ทว่าใครเล่าคาดคิดว่าผีตนนี้จะอ่อนแอเพียงนี้…

เปรี้ยง!

ในขณะที่ซูอี้กำลังครุ่นคิด เขาพลางสะบัดช่อกิ่งหลิวอีกครา

ครั้งนี้ดูเหมือนผีตนนี้จะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว พลังหยินคุ้มกายแตกออกดังลั่น ทิ้งไว้เพียงร่างเล็กที่ทรุดลง

ร่างแท้จริงของผีตนนี้เผยออกให้เห็นอย่างเด่นชัด!

ผีตนนี้เป็นผีสาวสวมชุดสีแดงชาด ผิวขาวซีด ร่างโปร่งใส นางกำลังขดตัวอยู่บนพื้น ร่างเล็กสั่นระริก ดวงตากลมโตเต็มเปี่ยมความทรมาน

“ท่านปรมาจารย์ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด เด็กสาวอย่างข้ามิเคยฆ่าใคร!”

เด็กสาวชุดแดงอ้อนวอนด้วยความเจ็บปวด นอนหอบหายใจรวยระรินบนพื้น

นางดูงามโดดเด่น คิ้วสวยราวภาพวาด ลักยิ้มบุ๋มลง แก้มอวบอิ่ม ถือว่าความงามเป็นเลิศ

ซูอี้ยั้งช่อกิ่งหลิวในมือ ก้มหน้ามองอีกฝ่ายก่อนถอนหายใจ “ที่แท้เป็นเพียงผีหยินเท่านั้น…”

ผีในโลกใบนี้แบ่งได้สี่ประเภท ได้แก่ ผีหยิน ผีอสูร ผีประหลาด และผีวิญญาณ

ในบรรดาพวกภูติผี ผีหยินเป็นผีที่อ่อนแอและพบได้มากที่สุด

ผีส่วนใหญ่ที่วนเวียนในโลกนี้เป็นผีหยิน

ซูอี้เข้าใจดีว่าไม่ว่าจะเป็นวิญญาณเร่ร่อน วิญญาณแค้น หรือวิญญาณร้ายที่สิงสถิตในโลกใบนี่ล้วนเป็นผีหยินทั้งนั้น

“เจ้าสิงสถิตอยู่ที่ต้นไม้นี้มาตลอดใช่หรือไม่?”

ซูอี้ถาม เขาเห็นว่าผีเด็กสาวไม่ได้ดุร้ายเกรี้ยวกราด กลับดูใสซื่อบริสุทธิ์

หมายความว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นอันตราย

“เรียนท่านปรมาจารย์ เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”

ผีเด็กสาวชุดแดงตอบด้วยเสียงสั่นเครือ ใบหน้าซีดเซียวแสนงามเผยทั้งความเชื่อฟังและความหวาดกลัว ขดร่างสั่นเทาอยู่ที่พื้น ชวนให้คนมองนึกสงสาร

“ไม่ เจ้าโกหก” ซูอี้หน้ามุ่ย

เช่นนั้นเมื่อเก้าปีก่อน ใครเป็นผู้ฆ่าแพทย์และหมอยาทั้งสองกัน?

แต่ก่อนที่นางจะทันได้แก้ตัว พลังงานแปลกประหลาดพลันก่อตัวขึ้น

ฟิ้ว!

ลำแสงสีดำเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังกล้าแกร่งพุ่งตรงมาทางซูอี้อย่างเกรี้ยวกราด

“ต้องเป็นเพราะสิ่งนี้แน่!”

ซูอี้เม้มปาก พลางตวัดมือแทงช่อกิ่งหลิวไปข้างหน้าเพื่อปะทะกับลำแสงสีดำไม่ต่างจากแทงดาบ

ปัง!

ช่อกิ่งหลิวกระทบลำแสงนั้นอย่างแม่นยำหมดจด!

ลำแสงสีดำวูบไหวรุนแรงและร่วงลงพื้น ดิ้นขยับสองหนก่อนแน่นิ่งไป

เมื่อมองโดยละเอียด มันคือแมลงสีดำขนาดเท่ากำปั้นเด็กทารก มีหกขา พร้อมฟันคมเต็มปาก

“แมลงปีศาจซากศพ ที่แท้ก็เป็นมัน”

ซูอี้หลังเห็นเช่นนี้ พลันนึกบางอย่างขึ้นได้ หันมองผีเด็กสาว “ใครเป็นคนสร้างและควบคุมแมลงปีศาจซากศพพวกนี้?”

แมลงปีศาจซากศพเป็นสิ่งที่มีพิษร้ายเพราะถูกสร้างมาจากร่างศพที่เต็มไปด้วยพิษและความพยาบาท

หากคนทั่วไปถูกกัดเข้า พวกเขาจะเสียชีวิตภายในชั่วอึดใจ หรือต่อให้เป็นผู้บ่มเพาะที่บรรลุขอบเขตโคจรโลหิต พวกเขาก็ยังไม่อาจต้านทานได้เกินชั่วยาม

แต่สำหรับซูอี้แล้ว แมลงปีศาจซากศพมิใช่สิ่งน่าหวาดหวั่น สิ่งที่ควรระวังคือผู้ที่สร้างและควบคุมแมลงปีศาจซากศพนี้ต่างหาก!

“ข้า…”

เด็กสาวลังเลใจ สีหน้าทั้งกลัวและยำเกรง ราวกับว่านางไม่กล้าพูด

ในจังหวะนี้นั่นเอง

บริเวณบ่อน้ำด้านข้างต้นแคฝรั่ง โซ่ตรวนสั่นระรัว พาให้ฝาที่ปิดบังบ่อน้ำนั้นเคลื่อนขยับเปิดออกเผยปากบ่อน้ำ

กลุ่มไอสีทะมึนลอยออกมาราวเมฆดำ พุ่งมาทางซูอี้

เป็นกลุ่มแมลงปีศาจซากศพ!

พวกมันมีนับร้อยตัว ฟันคมของพวกมันเสียดสีกันจนส่งเสียงเสียดหู เสียงนี้มันดูคล้ายผีกว่าร้อยร้องครวญคราง

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ผีเด็กสาวตื่นตระหนกและสิ้นหวัง ก้มศีรษะลงกับพื้นอย่างไม่กล้ามอง

การเผชิญหน้ากับแมลงปีศาจซากศพนับร้อย แม้จะเป็นผู้สำเร็จขอบเขตโคจรโลหิตทั้งสี่ขั้น ยังเกรงว่าไม่พ้นตายอย่างน่าอนาถ

กลับกัน ซูอี้ทำเพียงมองอย่างเฉยชา ท่าทีไม่สะทกสะท้าน

เขาสูดหายใจลึกก่อนโคจรพลังไหลเวียนทั่วร่าง ก่อนจะยกช่อกิ่งหลิวในมือขึ้นแทงอีกครั้งราวกับแทงดาบ

ทันทีที่ช่อกิ่งหลิวถูกแทงออก เลือดที่ติดอยู่บนช่อกิ่งหลิวพุ่งกระเซ็นออกราวกับเป็นดาบบินนับร้อยเล่ม พุ่งทะลวงกวาดล้างฝูงแมลงดำมืดบนฟ้ากระจัดกระจายภายในพริบตา!

ปัง!!

เสียงระเบิดสนั่นดังขึ้นในเวลาไล่เลี่ย ชวนให้ผู้คนที่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงคิดว่าเป็นสายฟ้าฟาด!

นี่นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ซูอี้ระลึกถึงชาติก่อน ที่เขาได้ใช้ทักษะดาบ

แม้ขณะนี้ซูอี้บ่มเพาะเพียงขั้นพื้นฐานของขอบเขตโคจรโลหิต แต่เมื่อเขาใช้เคล็ดวิชาดาบ มันยังคงฉายชัดถึงฝีไม้ลายมือของผู้เป็นหนึ่งในวิถีดาบ

แมลงปีศาจซากศพเป็นร้อยสลายกลายเป็นฝุ่นและสูญไป!

ซูอี้ยืนตระหง่านกลางบ้าน ร่างผอมเพรียวของเขาเหมือนคมดาบที่ถูกชักออกจากฝัก คมกริบและอันตรายยิ่งยวด ผิดกับท่าทีเรียบเฉยยามปกติของเขาลิบลับ

เปรี้ยะ!

ช่อกิ่งหลิวในมือซูอี้สั่นระรัว ก่อนกลายเป็นฝุ่นผงและสูญสลายไป

ถึงอย่างไรมันก็เป็นเพียงช่อกิ่งหลิวธรรมดา ไม่อาจรับอานุภาพเพลงดาบของเขาได้

จนถึงบัดนี้ผีเด็กสาวซึ่งก้มหน้างุดอยู่กับพื้นยังไม่กล้าเงยศีรษะ และเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น นางยิ่งพรั่นพรึงและหวั่นใจ

สำหรับนาง การปราบแมลงปีศาจซากศพนับร้อยได้ภายในคราวเดียวนั้นน่าหวาดกลัวยิ่งนัก!

บัดนี้ต้นแคฝรั่งเก่าแก่ภายในบ้านสงบลง ไม่สั่นไหวอีก บ่อน้ำด้านข้างไม่ขยับแม้แต่น้อยเช่นกัน

ยามค่ำคืนเปรียบสายน้ำ ภายในบ้านแสนเงียบสงัด ทุกอย่างดูกลับมาเป็นเช่นก่อนหน้า

ซูอี้กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ไผ่ด้านหน้าบันไดหิน ลมหายใจพลันกลับมานิ่งสงบ

เขามองเด็กสาวที่คุดคู้กับพื้นก่อนกล่าว

“ข้าให้โอกาสเจ้าบอกถึงที่มาของเจ้า และสิ่งที่เจ้ารู้มาให้หมด หากสิ่งที่บอกเป็นที่น่าพอใจ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”

คำพูดไร้อารมณ์ แต่กลับทำให้นางยิ่งสั่นเทา

ในสายตาของนาง ตอนนี้ซูอี้น่ากลัวถึงที่สุดโดยแท้

นางตั้งสติ สุ่มเสียงแผ่วเบาอ่อนแรง เอ่ยอย่างนอบน้อม “เรียนท่านปรมาจารย์ ข้า… ข้าจำได้เพียงมีชื่อว่าชิงหว่าน เมื่อครั้งที่ข้ายังจำความได้ ข้าถูกนักพรตเต๋าผู้หนึ่งนามว่าอู๋รั่วชิวจับมา เขาใช้เคล็ดวิชาจองจำข้าให้ติดอยู่ในต้นแคฝรั่งในบ้านหลังนี้ บอกว่าขอเพียงข้าเชื่อฟัง เขาจะปล่อยข้าเป็นอิสระในภายภาคหน้าเจ้าค่ะ”

ซูอี้ถาม “อู๋รั่วชิว? ทำไมเขาต้องจองจำผีหยินอย่างเจ้าไว้ที่นี่ด้วย?”

ชิงหว่านก้มหน้าว่าอย่างขมขื่น “เขาข่มขู่ข้า กำชับว่าหากมีคนเป็นปรากฏกายในบ้านร้างหลังนี้ ให้ข้ามาหลอกหลอนพวกเขา เพื่อให้แมลงปีศาจซากศพพวกนั้นออกมาจากบ่อน้ำและสูบเลือดคนเป็นผู้หวาดกลัวเจ้าค่ะ”

ซูอี้เข้าใจได้ในทันที

บ้านหลังนี้คือ ‘บ่อเลือดของแมลงปีศาจซากศพ’ ที่นักพรตเต๋าพเนจรนาม ‘อู๋รั่วชิว’ ตระเตรียมเอาไว้!

เลือดคนที่กำลังหวาดกลัวเป็นอาหารอันโอชะของแมลงปีศาจซากศพ และทำให้พวกมันยิ่งกล้าแกร่ง

ผีสาวชิงหว่านมีหน้าที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัว…

หากพิเคราะห์ดูแล้ว อู๋รั่วชิวคงมองว่าผีสาวอย่างชิงหว่านไม่มีประโยชน์อันใดนัก…

“เก้าปีที่ผ่านมา บ้านหลังนี้รกร้างไร้ผู้คนอาศัยโดยตลอด อู๋รั่วชิวไม่กลัวว่าแมลงปีศาจซากศพพวกนี้จะหิวตายหรือ?” ซูอี้ถาม

ชิงหว่านส่ายหน้า “ไม่เจ้าค่ะ เขาจะมาที่นี่ทุกสามวัน ทุกครั้งจะจับคนเป็นมาหลายคน ให้พวกเขาเป็นเหยื่อของแมลงปีศาจซากศพพวกนั้น”

ซูอี้ครุ่นคิด “เขามาครั้งล่าสุดเมื่อใดกัน?”

“เมื่อวานซืนเจ้าค่ะ”

ชิงหว่านว่าจบนางพลันหน้าตาตื่น คล้ายหวาดกลัวสุดขีด บอกละล่ำละลัก “หากนักพรตอู๋มาคืนนี้ เขาต้องโมโหมากแน่!”

“ตอนนี้เวลาจื่อ*[1]แล้ว หากนับเวลา เขาต้องมาในไม่ช้าแน่เจ้าค่ะ”

ซูอี้ลูบนิ้วไล้ดาบไม้ท้อเบา ๆ ขณะครุ่นคิด “เจ้ารู้ระดับการบ่มเพาะของเขาหรือไม่?”

ชิงหว่านเอ่ย “ข้าจำได้ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้เขาเคยพึมพำกับตนเองว่าเขาอยู่ขอบเขตรวบรวมลมปราณ ขั้นหนึ่ง ‘เบิกปัญญา’ และจะต้องใช้เวลาอีกเกือบปีเพื่อสำเร็จขั้นสอง ‘เบิกชีพจร’ เจ้าค่ะ”

ขั้นวิถียุทธ์มีสี่ขอบเขตคือ โคจรโลหิต รวบรวมลมปราณ หลอมกำเนิด และไร้แพร่งพราย

ขอบเขตรวบรวมลมปราณเป็นขอบเขตที่สองของวิถียุทธ์ ในขอบเขตนี้มีสามระดับขั้น ได้แก่ ขั้นหนึ่ง ‘เบิกปัญญา’ ขั้นสอง ‘เบิกชีพจร’ และขั้นสาม ‘แปรสภาพ’ หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นระดับต้น กลาง และปลาย

ในเมืองกว่างหลิง ผู้ที่อยู่ในขอบเขตรวมรวมลมปราณ ถือว่าหาได้ยากยิ่ง

คนที่อยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณมีเพียงแค่เจ้าเมืองฟู่ซาน บรรดาผู้นำสามตระกูลใหญ่ของเมือง ผู้บัญชาการอย่างเนี่ยเป่ยหู่ และผู้อาวุโสคนสำคัญทั้งหลายในเมืองอีกไม่กี่คนเท่านั้น

“แค่ขอบเขตรวมรวมลมปราณ ขั้นเบิกปัญญา ง่ายดายนัก”

ซูอี้ยิ่งสงบใจลงได้

หลังใคร่ครวญครู่หนึ่งจึงออกปากสั่ง “เจ้ากลับไปอยู่ในต้นแคฝรั่งตามเดิม ทำเป็นไม่รู้เรื่องราว หลังจากข้าจัดการอู๋รั่วชิวแล้วจะตัดสินใจว่าจะให้เจ้าอยู่หรือไป”

“ขอบคุณท่านปรมาจารย์ที่เมตตาไว้ชีวิตข้า!”

ชิงหว่านรีบโขกศีรษะขอบคุณ ถึงได้กล้าลุกขึ้น ร่างในชุดแดงล่องลอยตรงไปยังต้นแคฝรั่งทันที ก่อนหายไปในพริบตา

ซูอี้ตกอยู่ในภวังค์ความคิด

ภายใต้สถานการณ์ปกติ หากเขาสำเร็จแค่ขั้นหนึ่ง ‘ขัดเกลาภายนอก’ ของขอบเขตโคจรโลหิต เขาคงสามารถกำจัดผู้บ่มเพาะขอบเขตรวบรวมลมปราณได้อย่างง่ายดาย

ทว่าครั้งนี้ต่างออกไป ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้บ่มเพาะสายมาร ช่ำชองวิชาภูตผี

หากเป็นเช่นนี้ เฝ้าระวังไว้เป็นการดีกว่า

“ดูเหมือนครั้งนี้ข้าจะต้องใช้ท่าไม้ตายเสียแล้ว…”

ชายหนุ่มเอนหลังกับเก้าอี้ไผ่ ขณะนั่งรออย่างเงียบเชียบ

[1] เวลาจื่อ คือช่วงเวลาระหว่าง 23.00 – 01.00

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *