บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 657: ใจรู้สึกผิด

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 657: ใจรู้สึกผิด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 657: ใจรู้สึกผิด

ตอนที่ 657: ใจรู้สึกผิด

ไม่มีผู้ใดต้องการเดินตามชะตาที่ตนไม่เต็มใจ เป็นตายบนฝ่ามือผู้อื่นหรอก

กระทั่งวิญญาณดาบก็เช่นกัน

คำถามของสตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดเผยให้เห็นเค้าลางแห่งโทสะที่ไม่อาจปกปิด

เพราะแม้นางจะเป็นวิญญาณดาบ แต่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งมีภูมิปัญญาและความรู้สึก

น่าเสียดาย ผู้ที่นางถามคือซูอี้ ในอดีตชาติของชายหนุ่ม เขาได้เห็นดาบวิญญาณกลืนกินนายของมันมานักต่อนัก

กระทั่งดาบของเขายังมีวิญญาณดาบ

ปัญหานี้ ซูอี้กระจ่างใจนักว่าหากต้องหารือ คำตอบไม่มีทางสรุปได้เพียงหนึ่ง

เพราะวิญญาณดาบนั้นเหมือนกับมนุษย์ พวกเขามีทุกรูปร่างและขนาด

วิญญาณดาบบางตนเต็มใจบุกน้ำลุยไฟเพื่อนายของพวกตนโดยไร้ความกลัวตาย

วิญญาณดาบบางตนจะพยายามทำลายพันธนาการจากผู้เป็นนาย หาโอกาสเป็นอิสระจากโลกหล้า

วิญญาณดาบบางตนเป็นเหมือนชิงลั่ว พวกเขาสามารถกัดกินผู้เป็นนายได้แต่แรกเริ่ม

และวิญญาณดาบบางตนก็เหมือนกับสตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดตรงหน้าเขา นางเชื่อฟังภักดีต่อผู้เป็นนาย แต่จะไม่สละชีพตนเสียเปล่า

ท้ายที่สุด นี่ก็ไม่ใช่ประเด็นว่าชีวิตของวิญญาณดาบควรถูกผู้อื่นบงการหรือไม่

ประเด็นอยู่ที่ว่าสตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดได้ทำผิดอันใดในเหตุการณ์นั้นหรือไม่!

สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดทำผิดอันใดหรือไม่?

ไม่เลย

แต่นางไม่มีทางบริสุทธิ์!

“ถามเจ้าหน่อย เมื่อยามที่ชิงลั่วขอให้เจ้าร่วมมือจัดการกับไป๋จ่างเฮิ่น เจ้าเคยได้บอกไป๋จ่างเฮิ่นหรือไม่?”

ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย

เมื่อเผชิญสายตาของเขา ใบหน้างามของสตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดเปลี่ยนไปมา นางค่อย ๆ ก้มหน้าลง ก่อนกล่าวคำ “ยามนั้น ข้าไม่เชื่อว่าไป๋จ่างเฮิ่นจะเลือกนำดาบสวรรค์พร่างพรายไปหลอม ดังนั้นข้าจึงถือว่าคำพูดของชิงลั่วเป็นเพียงคำยั่วยุหว่านล้อมข้า”

ซูอี้กล่าว “ดังนั้นไป๋จ่างเฮิ่นจึงไม่รู้เรื่องนี้ ถูกหรือไม่?”

สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดพยักหน้า ปกป้องตนเองทันที “แต่หากเขาไม่เลือกหลอมดาบสวรรค์พร่างพราย โศกนาฏกรรมนี้จะเกิดขึ้นได้เช่นไร?”

ซูอี้ตอบพลางยิ้ม “ข้าไม่ได้มาเพื่อบอกเจ้าว่าสิ่งใดผิดถูก อันที่จริง เหตุการณ์ยามนั้นไม่เกี่ยวพันอันใดกับข้า หากไม่ใช่ว่าหอเซียนดาบมีบุญคุณกับข้า ครานี้ข้าคงไม่แม้แต่จะถามเยี่ยงนี้”

กล่าวถึงเรื่องนี้ เขาก็หันไปมองตะเกียงทองแดงสีฟ้าในมือ กล่าวว่า “ไม่ว่าเช่นไร ไป๋จ่างเฮิ่นและยอดฝีมือของหอเซียนดาบต่างตกตายสิ้น เจ้า… ไม่รู้สึกผิดบ้างเลยหรือ?”

สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดเงียบไป

“เหตุใดเจ้าจึงรอให้ชิงลั่วกลับมาเล่า?”

ซูอี้กล่าว

เขาเห็นแล้วว่ารอยแตกบนตะเกียงทองแดงสีฟ้านั้นเหมือนรอยดาบที่สังหารเหล่ายอดฝีมือจากหอเซียนดาบไม่มีผิด พวกมันล้วนแล้วมาจากชิงลั่ว

ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือสิ่งพิสูจน์ ว่าหลังจากสังหารไป๋จ่างเฮิ่นเมื่อกาลก่อน ชิงลั่วพยายามช่วยเหลือสตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดออกจากการคุมขัง ทว่าท้ายที่สุดก็ล้มเหลว

สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดก้มหน้านั่งลง กล่าวอย่างเหม่อลอย “หากจะบอกว่าข้ารอเขาเพื่อสังหารทิ้งด้วยมือตนเอง เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”

“เพราะเหตุใด?”

ซูอี้ถาม

สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดยิ้มอย่างแสนเศร้า และกล่าวว่า “ใจรู้สึกผิด”

เพียงสี่พยางศ์ นางดูจะใช้พลังทั้งหมดในกายเปล่งมันออกมา น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวดสิ้นหนทางเกินบรรยาย

ก่อนหน้านี้ ซูอี้เคยถามว่านางรู้สึกผิดบ้างหรือไม่ แต่นางเงียบไม่ตอบ

ยามนี้ ในที่สุดนางก็ตอบ แต่มันก็เหมือนเป็นการเปิดแผลที่ลึกที่สุดในใจใหม่ด้วยมือนางเอง

สีหน้าและแววตาของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

นี่ทำให้หนิงซือฮวาถอนหายใจ

ซูอี้ไม่ใส่ใจมากนัก เขาถามอีกครั้ง “แล้วเจ้าแน่ใจได้เช่นไร ว่าชิงลั่วจะกลับมาหาเจ้าแน่?”

สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดสูดลมหายใจลึกๆ และกล่าวว่า “เขาชอบข้า เพราะเขาไม่อาจพาข้าออกไปจากตะเกียงหลอมวิญญาณนี่ได้ เขาจึงเสียสติและสังหารคนทุกผู้ในหอเซียนดาบเพื่อระบายโทสะ”

“เขายังลั่นวาจาไว้ ว่าภายหน้าหากมีโอกาส เขาจะกลับมารับข้าแน่นอน”

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ใบหน้าของนางก็แสดงสีหน้าซับซ้อน เจือด้วยความเกลียดชังและขยะแขยง “ทว่า เขาไม่มีวันรู้เลยว่าข้าเกลียดคนเช่นเขาที่สุด คนบ้าที่ไม่ใส่ใจในชีวิต!”

หนิงซือฮวาตื่นกลัว นางสัมผัสได้ว่ามีความเกลียดชังอันเกินปิดบังทะลักออกมาจากสตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือด

มันเป็นความเกลียดชังที่สั่งสมมานานนับปี ไม่อาจซุกซ่อนได้

ซูอี้กล่าว “ข้ามอบโอกาสให้แก่เจ้าได้”

สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดตกใจ ครู่ต่อมาก็ส่งเสียงถาม “เจ้าจะไม่ฆ่าข้าหรือ?”

ซูอี้กล่าวเนิบ ๆ “ข้าคิดว่า หากชิงลั่วถูกสตรีที่รักสังหาร บางทีมันอาจปลอบประโลมวิญญาณผู้วายชนม์ที่นี่ได้”

สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดกล่าว “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะโกหกเจ้าก่อนหน้านี้หรือ?”

ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้ากับชิงลั่วร่วมมือกันยังไม่ใช่คู่ต่อกรของข้า มีอันใดต้องกลัว?”

ทันใดนั้น เขาก็เปลี่ยนคำพูด และกล่าวว่า “แน่นอน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ข้าจะเพิ่มข้อจำกัดให้เจ้า หลังเจ้าสังหารชิงลั่ว ข้าจะมอบอิสระให้เจ้าอย่างสมบูรณ์”

“ข้อจำกัดอันใด?”

สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดพลั้งปากถาม

ซูอี้ชี้ตะเกียงทองแดงสีฟ้า และกล่าวว่า “ฝากชีวิตเจ้าไว้กับสมบัติชิ้นนี้ และผนึกมันไว้ในหอเซียนดาบ”

ใบหน้างดงามของสตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดเปลี่ยนสีกะทันหัน “แต่หากเป็นเช่นนี้ ตลอดชีวิตข้า ข้าก็ไม่อาจกำจัดสมบัตินี่ได้แล้วสิ?”

ซูอี้กล่าวลอย ๆ “ถึงยามนั้น ข้าจะสอนวิชาให้เจ้าสามารถผนวกรวมสมบัตินี้เป็นของเจ้าได้”

สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดอยากถามนักว่า มีวิชาเช่นนั้นบนโลกด้วยหรือ?

ทว่าสุดท้ายนางก็ยั้งปาก

นางจำอำนาจร้ายอาจดุจเทพเซียนค้ำฟ้าที่ซูอี้แสดงยามเดินมาหานางได้ รวมไปถึงปราณดาบเหลือพรรณนานั่นด้วย

“ได้ ข้ารับปาก!”

สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดพยักหน้า

ครึ่งชั่วยามถัดมา

เมื่อซูอี้เดินออกจากโถง เขาก็ส่ง ‘ตะเกียงหลอมวิญญาณฮุ่นเทียน’ ซึ่งถูกผนึกให้แก่หนิงซือฮวา

“ข้าจะออกไป เจ้าเก็บสิ่งนี้ไว้ในค่ายกลผนึกเก้าสววรค์เสีย”

ซูอี้กล่าว “ในกรณีนี้ ไม่ว่าชิงลั่วจะปรากฏตัวยามใด เขาจะถูกเทียนหลีหาตัวพบทันที ในกรณีนี้ก็คงพอจะแก้ปัญหาอันหลบซ่อนของชิงลั่วได้แล้ว”

เทียนหลีไม่ใช่เพียงนามของดาบสวรรค์พร่างพราย แต่ยังเป็นชื่อของสตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดด้วย

ก่อนหน้านี้ ในห้องโถงหลัก เทียนหลีได้หลอมวิญญาณของนางเข้าไปในตะเกียงหลอมวิญญาณฮุ่นเทียนโดยสมบูรณ์แล้ว

หลังจากนั้น สมบัติชิ้นนี้ก็ถูกผนึกด้วยวิชาลับของซูอี้ แม้ว่าเทียนหลีจะคิดร้ายในใจ นางก็ไร้หนทางทำร้ายคนในหอเซียนดาบ

หนิงซือฮวากล่าว “จะเกิดสิ่งใดหากเทียนหลีไม่ใช่คู่ต่อกรของชิงลั่วหรือ?”

นางย่อมรู้ว่าซูอี้ไม่อาจอยู่ในหอเซียนดาบได้ตลอด

“อย่าห่วงไป ทั้งคู่ต่างเป็นวิญญาณดาบ และที่มาของเทียนหลีก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าชิงลั่ว เมื่อข้าจากไป ข้าสามารถทิ้งลูกเล่นเล็กน้อย พอให้ชิงลั่วเข้ามาและออกไม่ได้”

ซูอี้กล่าวพร้อมกับยิ้ม

“แล้ว… สหายเต๋าวางแผนจากไปยามใด?”

หนิงซือฮวาถาม

“หลังจากพิสูจน์มหาวิถีและแปรเปลี่ยนสู่วิถีวิญญาณ”

ซูอี้กล่าวสบาย ๆ “ข้าสัญญากับจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยไว้ ว่าจะช่วยเขาซ่อมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนก่อนการมาของแสงสว่างแห่งโลกกว้าง ข้าไม่อาจผิดวาจาได้”

“มันเร็วเพียงนั้นเลยหรือ?”

หนิงซือฮวาอึ้ง

เท่าที่นางรู้ ระดับฝึกฝนของซูอี้มาถึงขั้นสมบูรณ์แบบของขอบเขตรวบรวมดาราแล้ว และยามนี้ก็เหลือเพียงการเรียกหายนะแปรเปลี่ยนวิญญาณมาเพื่อก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ

“เร็วหรือ? ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวข้าจะเลื่อนขอบเขตได้ยามใด”

ซูอี้หัวเราะ

เขาไม่ใส่ใจมากนักว่าตนจะเลื่อนขอบเขตได้หรือไม่

เหมือนเช่นที่เขาคาดไว้ในคราแรก โอกาสไม่ไปไหนเสีย ยามเมื่อบัวในสระเบ่งบาน ภมรผีเสื้อจะถูกดึงดูดมาหา หากจงใจแย้มเปิดมันเอง บัวจะเหี่ยวเฉา

ขณะพูดคุย ทั้งสองได้ออกจากโลกใต้พิภพนาม ‘แดนไร้วจี’ กลับสู่พื้นดินเป็นที่เรียบร้อย

“คุณชายซู การเดินทางราบรื่นดีหรือไม่?”

อิงเชวียซึ่งยืนรออยู่รีบรุดมาทักทาย

ซูอี้พยักหน้า และจู่ ๆ ก็กล่าวอย่างเพิ่งนึกได้ “ยามข้ากลับมาครานี้ ข้าพาอสูรสิงโตทองคำนามจินหนูกลับมาด้วย มันจะเป็นผู้พิทักษ์ของหอเซียนดาบในภายหน้า ส่วนเจ้า ฝึกฝนอยู่ที่นี่ได้”

หัวใจของอิงเชวียโลดทะยาน เขากล่าวอย่างปลาบปลื้ม “ขอบคุณคุณชายซูสำหรับความเมตตา”

ซูอี้โบกมือกล่าว “เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า ภายหน้าหากมีเวลา โปรดช่วยข้าชี้แนะจินหนูให้ฝึกตนด้วย”

“ขอรับ!”

อิงเชวียรับคำสั่งอย่างนอบน้อม ทว่าในใจกับรำพึง อสูรสิงโตทองช่างมีชีวิตดี มันสามารถช่วยคุณชายซูพิทักษ์ประตูได้ ในภายหน้า มันจะไม่ทะยานสู่มหาวิถีได้หรือไร?

ทว่ายามนี้ ข้าน่าจะอยู่ในสายตาคุณชายซูอย่างจริงแท้ และเจ้าจินหนูย่อมเทียบกับเขาไม่ได้หรอก!

ในเวลาถัดมา ซูอี้ใช้ชีวิตอย่างแสนผาสุก แม้ว่าโอกาสเลื่อนขอบเขตไม่เคยปรากฏ แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ว่าง

ลับคมวิถีดาบ ทำความเข้าใจมหาวิถี สร้างยันต์ลับ ขัดเกลาดาบนิลกาฬกลืนฟ้า…

นาน ๆ ครั้งเมื่อมีเวลา เขาก็ดื่มชา ร่ำสุรา มองดอกบัวและหมู่ปลากับฉาจิ่นและเหวินหลิงเสวี่ย ไม่ก็ออกชี้แนะการฝึกตนของคนทุกผู้

อิ่มเอิบและสบายตัว เมินสิ้นทุกการเปลี่ยนแปลงบนโลกภายนอก

กาลเวลาผันเปลี่ยน วันแล้ววันเล่า

ดึกสงัดคืนหนึ่ง

ซูอี้กำลังฝึกฝนอยู่ในห้อง

จู่ ๆ น้ำเต้าปลุกวิญญาณที่แขวนอยู่บนเอวของเขาก็สั่นไหว

“เกิดอันใดขึ้นหรือ?”

ซูอี้ลืมตาขึ้น พลางขมวดคิ้วน้อย ๆ

เมื่อกำลังทำสมาธิ เขาไม่ชอบการถูกรบกวนที่สุด

“คุณ… คุณชาย วันนี้คือ…”

เสียงหวานใสดังตะกุกตะกักออกมาจากในน้ำเต้าปลุกวิญญาณ

“ออกมาคุยกันสิ”

ซูอี้นวดหว่างคิ้ว

ในระหว่างช่วงกลับจากต้าเซี่ยจนยามนี้ เขาจะคุยกับชิงหว่านถึงการฝึกฝนกลางดึกเป็นครั้งคราวเมื่อไร้บุคคลที่สาม

เมื่อเกิดความสนใจ เขาก็ร่ำสุราสนทนากับชิงหว่าน

จนยามนี้ สตรีคนงามผู้มีดวงตาดุจภาพวาดและนิสัยเหมือนเด็กเล็กน้อยได้มาถึงขอบเขตรวบรวมดาราขั้นต้นแล้ว

การมาถึงไม่ได้รวดเร็ว และไม่ได้ดีเท่าหยวนเหิงด้วยซ้ำ

ทว่าพื้นฐานของชิงหว่านแข็งแกร่งยิ่ง

แต่เดิมนางมีร่างหยินบริสุทธิ์ ฝึกฝนเคล็ดวิชามหาวิญญาณทศทิศ มหามรดกของผู้ฝึกผี นอกจากนั้น ซูอี้ยังนำทรัพยากรฝึกตนออกมาป้อนแก่นางบ่อย ๆ และมหาวิถีของนางก็ได้รับการขัดเกลาเกินกว่าผู้ฝึกผีใด ๆ ในขอบเขตเดียวกัน

นางสามารถกลายเป็นยอดฝีมือในสายตาเหล่าผู้ฝึกตนระดับสูงสุดของเก้ามหาแดนดินได้โดยพึ่งภูมิหลังและมหาวิถีของนาง

วูบ!

หมอกสายหนึ่งผุดออกมาจากน้ำเต้าปลุกวิญญาณ อาภรณ์สีแดงพัดกระเพื่อม เผยให้เห็นร่างผอมบางสะโอดสะองของหญิงผู้หนึ่ง

นางคือชิงหว่าน

ทันทีที่นางปรากฏ หญิงสาวก็ลดศีรษะลงอย่างเขินอาย ใช้นิ้วยาวดุจคริสตัลรั้งชายกระโปรงพลางกล่าวว่า

“นายท่าน หว่านเอ๋อร์ไม่มีเจตนารบกวน ทว่า… นี่คือเช้ามืดวันที่สองเดือนสองในปฏิทินจันทรคติ นายท่าน ท่านลืมหรือไม่ว่านี่คือวันเกิดท่านเอง…”

ก่อนจะทันได้พูดจบ ซูอี้ก็อึ้งด้วยสายตาเหม่อลอยนิด ๆ

ที่แท้ วันนี้ก็คือวันที่สองเดือนสอง…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด