บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 463: มหาปีศาจขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ!

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 463: มหาปีศาจขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 463: มหาปีศาจขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ!

ตอนที่ 463: มหาปีศาจขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ!

จันทราส่องสว่าง ดวงดาราพร่างพราว สายลมยามค่ำพัดโชย

ภายใต้การจ้องมองของซูอี้ เมฆสีดำจากขอบฟ้าไกลได้เข้าบดบังดวงจันทร์ที่สว่างไสวบนท้องฟ้าอย่างเงียบ ๆ

ท้องฟ้าพลันมืดลงทันใด

น้ำในแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกรากซึ่งอยู่ไกลออกไปคล้ายเงียบสงบลง

“หือ?”

หยวนเหิงขมวดคิ้วทันที

“พี่ใหญ่หยวนเหิง มีอะไรผิดปกติงั้นหรือ?”

ชิงหยาถาม

หยวนเหิงมองไปที่ซูอี้ และกล่าวว่า “นายท่าน จิตวิญญาณของข้าพลันบังเกิดความรู้สึกอึดอัดและสั่นไหว ในใจรู้สึกสั่นสะท้านราวกับว่ากำลังจะมีภัยพิบัติบางอย่างเกิดขึ้น”

ไป๋เวิ่นฉิงเองก็รีบเอ่ย “ข้าเองก็เช่นกัน”

เหวินซินจ้าว ชิงหยา และจางอวิ๋นเทา ต่างตกตะลึงและตื่นตัว

“เมฆมาจากมังกร ลมมาจากเสือ ฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลง วิญญาณย่อมสั่นสะท้าน เจ้าสองคนเป็นผู้ฝึกปีศาจ จึงเป็นเรื่องปกติที่จะสามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้”

ซูอี้ถอนใจ สายตาทอดมองออกไปไกลพลางยกน้ำเต้าขึ้นดื่มหนึ่งอึก

เมื่อเขาสังเกตเห็นแววตาสงสัยของทุกคน เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “อย่ากังวลไป ก็แค่มีสัตว์เลื้อยคลานตัวน้อยมาที่นี่”

สัตว์เลื้อยคลานตัวน้อย?

ขณะที่ทุกคนสงสัย ทันใดนั้น พวกเขาก็แหงนมองท้องฟ้าราวกับรู้สึกบางอย่าง

ตูม!

ทันใดนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นในเมฆทมิฬบนท้องฟ้า จากนั้นพลันมีลมกระโชกแรงตามมาด้วยสายฝนที่ตกกระหน่ำ

ท่ามกลางบรรยากาศหมองหม่นระหว่างฟ้าดิน จู่ ๆ สายลมและฝนก็ตกลงมา

ในขณะนี้เอง เหวินซินจ้าว ชิงหยา และคนอื่น ๆ ต่างรู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายตกมากระทบใบหน้า ในใจของพวกเขาต่างหวาดกลัว ใบหน้าพลันถอดสี

เมื่อมองไปกลับที่หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิง แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะพยายามสงบสติอารมณ์ ร่างกายของพวกเขาก็ยังสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ สีหน้าเองก็ปรากฏความตื่นตระหนกและความวิตกกังวลขึ้น

ซูอี้โบกแขนเสื้อของเขา

ยันต์ลับลอยอยู่ในอากาศ และด้วยเสียงปัง มันกลายเป็นโคมสีทองเจิดจ้าหมุนไปมาในอากาศ ปล่อยม่านแสงสีทองลงมาปกคลุมซูอี้และคนอื่น ๆ

นอกม่านแสงนั้นลมฝนหนาวเย็นพัดโหม เสียงฟ้าร้องดังสนั่น

ภายในม่านแสงนั้นเงียบสงบและอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ

เมื่อสายฝนโปรยปรายลงมาเข้าใกล้ม่านแสงที่สร้างขึ้นโดยโคมสีทอง มันก็ถูกพลังที่มองไม่เห็นกระแทกออก

ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจของเหวินซินจ้าว หยวนเหิง และคนอื่น ๆ ต่างหายไปจนหมด

เมื่อมองดูโคมสีทองที่ลอยอยู่ในอากาศ พวกเขาก็มีสีหน้าประหลาด ช่างเป็นยันต์ลับที่น่าอัศจรรย์นัก!

ในขณะนี้เอง เสียงที่อบอุ่นและนุ่มนวลราวกับสุราพลันดังมาจากไกล ๆ

“ยันต์ลับวิถีวิญญาณนี้ไม่เลวเลย มันควรจะเป็นฝีมือของปรมาจารย์เขียนยันต์”

ทุกถ้อยคำดุจเสียงกระดิ่งของระฆังยามเช้าและเสียงกลองยามเย็นดังก้องไปทั่วฟ้าดิน เมื่อเห็นว่าเมฆฝนหยุดลง สายฟ้าก็จางหายไป โลกที่เดิมมืดมนและน่าหดหู่พลันเปลี่ยนเป็นเงียบสงบ

เมฆสลายจันทราปรากฏ แสงสว่างกระจ่างสดใสพลันสาดส่อง

ฉากประหลาดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทุกอย่างต่างหายวับไป

ด้วยเสียงนั้น ร่างหนึ่งก็ลอยขึ้นมาจากความมืด

เป็นชายวัยกลางคนในเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้ม มีผมหงอกที่ขมับ และมีรูปร่างผอมบาง ยามเดินจะมีเมฆหมอกโอบล้อมอยู่รอบกาย ราวกับว่าเขากำลังโบยบินผ่านหมู่เมฆ

ชายผู้นั้นดูแปลกตา ดวงตาของเขามีสีน้ำตาลอมเหลือง ซึ่งเมื่อเขาเข้ามาใกล้ทีละน้อย แรงกดดันที่มองไม่เห็นก็ได้แผ่ขยายออกมา

หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงต่างใจสั่น ก่อนมองหน้ากันด้วยความตกใจ

เมื่อเผชิญหน้ากับชายวัยกลางคนในชุดคลุมนี้ ทั้งคู่ดูกระจ้อยร่อยดั่งมดปลวก พวกเขารู้สึกหวาดกลัวและไม่สงบราวกับเฝ้าดูเทพเซียนที่ลงมาจากฟากฟ้า!

ร่างกายที่อ่อนนุ่มของเหวินซินจ้าวแข็งทื่อ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ช่างเป็นพลังปีศาจที่น่าสะพรึงกลัว!

“มหาปีศาจในวิถีวิญญาณ!?”

จางอวิ๋นเทาสูดลมหายใจเย็นเยือก หัวใจของเขาสั่นไหว และสีหน้าพลันเปลี่ยนไป

ชิงหยาถดตัวไปทางซูอี้โดยสัญชาตญาณ ดวงตาโตฉ่ำน้ำของนางฉายแววหวาดกลัว “คนผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก!”

ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่พอใจ ก่อนตวัดนิ้วของเขา

ฮึ่ม!

โคมสีทองพลันส่องแสงเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์ รอบ ๆ ไส้โคมมีแสงเป็นชั้น ๆ บานสะพรั่งราวกับกลีบดอกไม้ ปล่อยคลื่นแสงสีทองออกมาราวกับระลอกคลื่น

ยันต์โคมตะวัน!

หนึ่งในยันต์ที่ซูอี้เพิ่งหลอมขึ้นบนเรือล่องล้อเมฆา มันสามารถทั้งโจมตีและป้องกัน มีประโยชน์ใช้สอยไร้ที่สิ้นสุด

ไม่ไกลนัก ม่านตาของชายวัยกลางคนในชุดคลุมที่ก้าวเข้ามาหดลงเล็กน้อย เขาพลันหยุดเท้าทันใด แขนเสื้อโบกสะบัด กล่าวคลื่นพลังผันผวนที่มองไม่เห็นออกมา จากนั้นแสงสีทองที่พุ่งกระแทกเข้าใส่ก็ถูกจัดการไป

ทว่า ร่างของเขาสั่นไหวเล็กน้อย

“ยันต์วิถีวิญญาณนี้ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก!”

ชายวัยกลางคนในชุดคลุมถอนหายใจด้วยความชื่นชม

ขณะที่พูดนั้น เขาก็ป้องมือไปทางซูอี้เล็กน้อย ก่อนยิ้มและกล่าวว่า “ผู้น้อยอิงเชวีย ไม่มีเจตนาร้าย หากก่อนนี้ได้ล่วงเกินไป ข้าหวังว่าสหายเต๋าจะคลายโทสะลง”

ยามกล่าวคำ ลมปราณทั่วร่างเขาก็สงบลง เผยกลิ่นอายไม่แยแส ปราศจากฝุ่นผง แขนเสื้อกว้างดูสง่างามราวกับเทพเซียน

หัวใจของทุกคนสงบลงไม่น้อย

ในทางกลับกัน ซูอี้ยิ้มก่อนกล่าวว่า “ก็ไม่ได้ล่วงเกินอะไร แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะมาที่นี่ด้วยเจตนาร้าย”

อิงเชวีย ชายวัยกลางคนในชุดคลุมตะลึงไป ก่อนถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม “สหายตัวน้อยหมายความว่าอย่างไรกัน?”

ซูอี้เอื้อมมือออกไปคว้า จู่ ๆ โคมสีทองก็กลายเป็นยันต์ลับและตกลงไปบนฝ่ามือ

จากนั้นเขาก็พูดอย่างเฉยเมย “พูดง่าย ๆ หากก่อนนี้เจ้ากล้าลงมือ ข้าจะขอดเกล็ดกับกรงเล็บเจ้าออก ถลกหนัง แล้วดื่มกินเลือดเนื้อเจ้าซะ ฟังดูไม่เลวใช่หรือไม่?”

คนอื่น ๆ ตะลึง ก่อนอดประหลาดใจไม่ได้

แม้ว่าอิงเชวียจะสะกดลมปราณไว้ แต่พวกเขาก็สังเกตเห็นว่านี่คือตัวตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณที่น่าสะพรึงกลัวยิ่ง เป็นผู้ที่สามารถควบคุมสายฟ้าและเมฆหมอกคนหนึ่ง!

แต่ดูเหมือนซูอี้จะไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาเลย ในคำพูดของเขาเต็มไปด้วยความดูถูกและไม่แยแส ปฏิบัติต่ออีกฝ่ายดังเหยื่อที่สามารถเชือดได้ทุกเมื่อ

ม่านตาสีเหลืองน้ำตาลของชายวัยกลางคนในชุดคลุมหดลงทันใด ก่อนเขาจะกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “สหายตัวน้อยยังเยาว์วัยและอยู่เพียงขอบเขตไร้เบญจธัญ แต่กลับกล้าเอ่ยคำพูดเหล่านี้ ดูเหมือนว่าท่านคงจะมีอะไรดี ๆ อยู่สินะ”

ซูอี้มองดูกองไฟขณะดื่ม ก่อนจะพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “เจ้าอย่าได้ทดสอบความอดทนของข้าอีก ไม่เช่นนั้นผามังกรด้วนนี้จะเป็นที่ฝังกระดูกของเจ้า”

อิงเชวียเงียบไป

กลิ่นอายไม่แยแสของเขาแผ่ออกมาอย่างไม่รู้จบ ซึ่งแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวของขอบเขตการเปลี่ยนแปลงวิญญาณนั้น แม้จะถูกจำกัดไว้แต่ก็ยังทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนหัวใจถูกกดทับและหายใจไม่ออก

นี่คือการกดข่มอย่างสมบูรณ์ของขอบเขตการฝึกฝนที่เหนือกว่า!

วิถีวิญญาณแบ่งออกเป็นสามขอบเขตหลัก ได้แก่ ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ขอบเขตสยายวิญญาณ และขอบเขตวงล้อวิญญาณ

บรรดาผู้ที่ก้าวย่างสู่วิถีวิญญาณถูกเรียกว่า ‘มหาปราชญ์สวรรค์’ ทั่วทั้งต้าเซี่ยและแม้แต่ทั่วทั้งมหาทวีปคังชิง พวกเขาต่างเป็นผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก!

ต้องสังเกตว่าที่กลุ่มเต๋าชั้นนำทั้งสี่ สามตะกูลหลัก และราชวงศ์ต้าเซี่ย รวมถึงกองกำลังยักษ์ใหญ่อื่น ๆ สามารถดูถูกทั้งโลกและมองหมิ่นสี่คาบสมุทรได้เป็นเพราะมีมหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณอยู่จำนวนมาก

ไม่ใช่การกล่าวเกินจริงที่จะบอกว่าไม่ว่าผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณจะอยู่ที่ไหนก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกฝนทุกคนเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกตะลึง!

ในบรรดาซูอี้และพวก จางอวิ๋นเทาซึ่งมีฐานการฝึกฝนสูงสุดยังอยู่เพียงขอบเขตรวบรวมดาราขั้นกลางเท่านั้น

ความแตกต่างไม่ใช่แค่ขอบเขตเท่านั้น แต่มันเป็นสองวิถีที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!

ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ แรงกดดันจากขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเป็นเสมือนพยัคฆ์ในภูเขา แม้ว่ามันจะไม่ได้แสดงพลังของมันออกมา แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้สัตว์ทุกตัวตื่นตระหนก

แต่ในท้ายที่สุดอิงเชวียก็ไม่ได้บันดาลโทสะ กลับกัน เขาสะกดลมปราณลงกว่าเดิม อิงเชวียมองไปที่ซูอี้ด้วยตาสีน้ำตาลและป้องมือ “เป็นผู้น้อยที่ล่วงเกิน หวังว่าสหายเต๋าจะไม่ถือโทษ”

ทุกคนประหลาดใจและไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่าทีของอิงเชวียจึงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

อันที่จริงท่าทีของอิงเชวียเปลี่ยนไปถึงสามครั้ง!

ในครั้งแรก เขาไม่ได้ปรากฏตัวออกมา แต่ก่อให้เกิดฟ้าร้องและฝนตกหนัก ทำให้ฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลง

แต่หลังจากที่ซูอี้แก้ไขด้วยยันต์ลับโคมตะวัน ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาได้ยับยั้งจิตรับรู้ทันที แล้วคืนสภาพฟ้าดินให้กลับมาสงบสุขเหมือนก่อนหน้านี้ ก่อนจะเผยตนออกมา

ครั้งที่สอง เมื่อเขาก้าวไปข้างหน้า เห็นการเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาดที่เกิดจากยันต์ลับโคมตะวัน เขาก็สะกดลมปราณลงทันที ก่อนจะหยุดก้าวไปข้างหน้า และทักทายซูอี้ด้วยการคำนับ

แต่ตอนนี้ หลังจากสนทนากับซูอี้แล้ว เมื่อเห็นซูอี้ปฏิบัติต่อเขาอย่างดูถูกเหมือนเหยื่อที่รอเชือด ดูเหมือนว่าเขาจะตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงพูดขอโทษอีกครั้งทันที

ฉากเช่นนี้เกิดขึ้นกับผู้ฝึกฝนปีศาจขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ใครบ้างเล่าจะไม่แปลกใจ?

เขาหวาดกลัวอะไรกัน?

เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขารับรู้ถึงกลิ่นอายคุกคามจากซูอี้?

ทุกคนต่างนึกสงสัย

“เจ้าชาญฉลาดนัก”

ซูอี้แค่นเสียงเย็น เมื่อเห็นว่าอิงเชวียไม่ได้ทำการยั่วยุต่อ เขาอดที่จะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยไม่ได้ และระงับความตั้งใจที่จะเชือดมังกรตนนี้ลงไปก่อน

ฉลาดรึ?

อิงเชวีย ชายวัยกลางคนในชุดคลุมเปลือกตากระตุก ก่อนยิ้มอย่างไม่สนใจพลางกล่าวว่า “สหายเต๋า พูดตามตรง เหตุผลที่ข้าปรากฏตัวในครั้งนี้เป็นเพราะข้าบังเอิญได้ยินคำพูดของสหายเต๋า คำพูดที่ว่าจะตัดหัวมังกรเกล็ดทำให้ข้าไม่พอใจ ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจออกมาดูด้วยตาของข้าเอง”

ทุกคนพลันเข้าใจ ที่แท้เป็นคำพูดของซูอี้ที่นำพามหาปีศาจขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณมา!

ชิงหยาเบิกตากว้างและร้องออกมาด้วยเสียงที่กังวาน “ท่านคือมังกรเกล็ดดำนั่นงั้นหรือ?”

อิงเชวีย ชายวัยกลางคนในชุดคลุมมีแววตาเศร้า ๆ ขณะตอบ “มังกรเกล็ดดำที่เจ้าพูดถึงคือบิดาของข้าเอง”

เฮือก!

ทุกคนสูดอากาศเย็นและมองหน้ากันด้วยความตกใจ

ตำนานกลายเป็นจริง!

มังกรเกล็ดดำผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติการเปลี่ยนร่างของมังกรไม่เพียงแต่จะมีอยู่จริง แต่ยังสืบเชื้อสายทายาทอีกด้วย!

“เจ้าจึงมาที่นี่เพื่อระบายโทสะกับข้าอย่างนั้นรึ?”

ซูอี้ถาม

ในเวลานี้ คนอื่น ๆ ต่างลุกขึ้นยืนกันหมดแล้ว มีแต่เขาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างเกียจคร้านและสบายใจ

อิงเชวียพูดอย่างใจเย็น “อย่างแรกคือมาเพื่อระบายโทสะ อย่างที่สองคือเพื่อดูว่าเทพเซียนหน้าไหนบังอาจกล้ามาพูดว่าจะสังหารมังกร”

ฉับพลันสีหน้าของเขาก็ดูอ่อนลง ก่อนกล่าวว่า “แต่ตอนนี้ข้าได้เห็นแล้ว หลังเห็นท่วงท่าของสหายเต๋าข้าก็นึกชื่นชมนัก ข้าจะไม่ทำอะไรที่หยาบคายและล่วงเกินเจ้าอีก”

ซูอี้กล่าวว่า “เจ้าไม่สงสัยว่าข้ากำลังแกล้งข่มหรือ?”

นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลืองของอิงเชวียกะพริบ และกล่าวว่า “ดูจากสีหน้าของสหายเต๋าคนอื่น ๆ แล้วข้าก็แน่ใจว่าสหายเต๋าไม่ได้แกล้งข่มเลย”

ในสายตาของเขา จางอวิ๋นเทาซึ่งมีฐานการฝึกฝนสูงสุดมีท่าทีขลาดกลัว สีหน้าของเขาดูหวาดกลัวอย่างมาก ซึ่งคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ต่างมีท่าทีราวกับเผชิญหน้ากับศัตรู

มีเพียงซูอี้ผู้เป็นชายหนุ่มในขอบเขตไร้เบญจธัญเท่านั้นที่สงบนิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ ปราศจากความตื่นตระหนกใด ๆ ซึ่งมันผิดปกติอย่างยิ่ง

ยิ่งไปกว่านั้น อิงเชวียยังจับสังเกตได้อย่างรวดเร็วว่า เหวินซินจ้าว และคนอื่น ๆ ต่างก็เคารพซูอี้ ทำให้อิงเชวียตระหนักว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา

นั่นเป็นสาเหตุที่ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปเช่นนี้

ถ้าไม่ใช่เพราะการลงมือของซูอี้ เกรงว่าด้วยอารมณ์ของอิงเชวีย เขาคงเริ่มสังหารซูอี้และคนอื่น ๆ ไปแล้ว!

แต่ในเวลานี้ดูเหมือนซูอี้จะหมดความสนใจแล้ว เขาโบกมือก่อนว่า “ถ้าเจ้าไม่คิดจะทำอะไร เหตุใดจึงยังอยู่ที่นี่อีก?”

นี่คือคำพูดขับไล่แขก

แต่อิงเชวียลังเล ก่อนสีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไปราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ เขาป้องด้วยมือทั้งสองและพูดอย่างสุภาพว่า “สหายเต๋า ข้าบังอาจขอคำชี้แนะจากเจ้าเรื่องหนึ่ง!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *