บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 592: การเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินล้วนแล้วแต่เป็นลาง

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 592: การเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินล้วนแล้วแต่เป็นลาง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 592: การเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินล้วนแล้วแต่เป็นลาง

ตอนที่ 592: การเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินล้วนแล้วแต่เป็นลาง

ยามเย็น

นครหลวงจิ๋วติ่ง ตระกูลเจียง

“เจ้าเห็นหรือยัง? อย่าได้รีบร้อนแสดงจุดยืนของตนไม่ว่าจะทำอันใด หาไม่ เจ้าจะเป็นเช่นอ๋องแห่งเทียนหยาง ผู้คิดว่าตนจะชนะ ทว่ากลับกลายเป็นเสือกระดาษภายใต้ดาบของซูอี้” ผู้นำตระกูลเจียง เจียงเซียวเชิงกระซิบ

เจียงหลีกล่าวอย่างจิตหลุด “ท่านพ่อ ข้ายังไม่เข้าใจอยู่ดี นั่นคือภูเขาเทียนหมาง อาณาเขตของราชวงศ์เซี่ย ไฉนราชนิกุลพวกนั้นจึงยังเกิดการนองเลือดอีก?”

เจียงเซียวเชิงครุ่นคิดและตอบว่า “เรื่องนี้ต้องมีที่มาจากดำรัสของฝ่าบาท ส่วนเรื่องภายในไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว”

“สิ่งใดเล่าที่สำคัญ?”

“ง่ายมาก หลังจากนี้ ไม่มีผู้ใดในใต้หล้าเข้าใจได้อีก …กระทั่งเมื่ออยู่ภายใต้อำนาจกดดันของขุมอำนาจกลุ่มเต๋าโบราณนับสิบ ราชวงศ์เซี่ยกลับยังยืนหยัดข้างซูอี้!”

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ เจียงเซียวเชิงก็อดทอดถอนใจไม่ได้ “เห็นได้ว่าวันนี้ ฝ่าบาทได้ถือซูอี้เป็นบุคคลสำคัญยิ่งยวดและพร้อมยืนเดียวดายข้างเขา เผชิญหน้ากับขุมอำนาจโบราณเหล่านั้นโดยไม่ลังเล!”

ในใจเจียงหลียุ่งเหยิงเมื่อระลึกถึงประสบการณ์ ณ เกาะเซียนพระสุเมรุของตน แล้วก็พึมพำอย่างอดไม่ได้ “หากเป็นข้า ข้าก็จะเลือกอยู่ข้างซูอี้เช่นกัน”

เจียงเซียวเชิงกล่าวอย่างตกใจ “ยายหนู ข้าเพิ่งเตือนเจ้าไปเมื่อครู่เองนะ ว่าไม่ว่าจะทำอันใด อย่าได้รีบร้อนเผยจุดยืน”

เจียงหลีส่ายหน้า พลางกล่าวว่า “ท่านพ่อ หากท่านได้ประจักษ์ฝีมือของซูอี้ในเกาะเซียนพระสุเมรุด้วยตา ท่านจะเข้าใจ แค่ลำพังความแข็งแกร่งของเขาก็เพียงพอจะกดข่มขุมอำนาจกลุ่มเต๋ามากมายบนโลกทุกวันนี้แล้ว!”

กล่าวถึงเรื่องนี้ นางก็พูดต่ออย่างเคร่งเครียด “ยามอยู่ที่เกาะเซียนพระสุเมรุ หลวงจีนเฉินลวี่เคยกล่าววาจาหนึ่งไว้ ทว่ายามนั้นข้าไม่เข้าใจ ในที่สุดข้าก็กระจ่างแจ้งแล้ว”

“เข้าใจอันใด?”

เจียงเซียวเชิงถาม

แววตาของเจียงหลีส่องประกายเจิดจ้า นางกล่าวว่า “กาลเวลาผันเปลี่ยน!”

เจียงเซียวเชิงหรี่ตาลงครุ่นคิดอยู่นาน และดูเหมือนเขาจะเริ่มเข้าใจ

ทันใดนั้นเขาก็ยืดหลังนั่งตรง พยักหน้า แล้วกล่าวอย่างโล่งใจ “แม่หนู เจ้ายอดเยี่ยมกว่าข้าในจุดนี้!”

ตระกูลเจียงคือหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งต้าเซี่ย

ทว่ายามนี้ เจียงหลีคือสุดยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งในบุคคลรุ่นหลังสกุลเจียงซึ่งได้ย่างเท้าสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ มหาวิถีของนางลึกล้ำเสียจนกลบรัศมีบุคคลรุ่นก่อนในตระกูล

กระทั่งเจียงเซียวเชิงก็ยังไม่อาจทัดเทียมนาง!

เจียงหลีเป็นเช่นนี้ ทว่าผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณและผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันผู้กลับมาจากเกาะเซียนพระสุเมรุ มีผู้ใดด้วยหรือที่ไม่เป็นเช่นนี้?

คนหนุ่มสาวเหล่านี้ต่างก้าวข้ามผู้อาวุโสส่วนใหญ่ในขั้นแปรเปลี่ยนวิญญาณไปแล้ว และมีความสามารถสร้างอิทธิพลและกระทบต่อรูปแบบของโลกนี้!

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจะยังถูกมองเป็นผู้น้อยได้เช่นไร?

และซูอี้ก็ยิ่งโดดเด่น ผลการฝึกฝนของเขาอยู่เพียงขอบเขตรวบรวมดารา ทว่ากลับสามารถแสดงอำนาจเหนือชั้นกว่าเหล่าตัวตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ซ้ำยังฆ่าผู้คนในราชวังเทียนหยางลงอีก!

ไม่ใช่การกล่าวเกินไปหากจะขนานนามเขาเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในหมู่คนรุ่นหลัง!

เมื่อคิดเช่นนี้ เจียงเซียวเชิงก็อดพึมพำไม่ได้ “มีคนมากฝีมือเช่นนี้ในเขตปกครอง และในโลกแห่งมหาทวีปคังชิง ผู้อาวุโสเหล่านั้นสักวันก็ต้องถอยลง ผู้ที่จะนำกระแสโลกแห่งนี้โดยแท้จริงต้องเป็นคนรุ่นเจ้า!”

ใช่แล้ว กาลเวลาผันเปลี่ยน!

หากปฏิบัติต่อโลกด้วยมุมมองเช่นอดีต กาลเวลาจะทำให้คนผู้นั้นถูกกำจัดอย่างเลี่ยงไม่ได้!

“ผู้คนบนโลกต่างคิดว่าซูอี้ก่อหายนะ ใครเล่าจะคิดจริงจังว่าโลกนี้ จะมีสักกี่คนเทียบชั้นซูอี้ได้?”

“ตามครรลองของโลกใบนี้ ความเปลี่ยนแปลงมหันต์จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว ยามก่อนสมัยที่ข้ายังไม่รู้ความ ต้าเซี่ยมีสี่ตระกูลใหญ่อันแสนสำคัญ ทว่ายามนี้ เพียงหนึ่งซูอี้ก็สามารถทำให้พวกเขาก้มหน้าก้มตา ไม่อวดเบ่งล้นฟ้าอย่างเก่าได้!”

“กองกำลังกลุ่มเต๋าโบราณจะไม่มีทางปล่อยซูอี้ไปแน่นอน ทว่าในทางเดียวกัน พวกเขาก็ย่อมต้องสูญเสียมากมายเกินจะนับไหวเพื่อการนี้!”

“ไม่มีผู้ใดรู้ว่าซูอี้แข็งแกร่งเพียงไร ทว่าผู้อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณทุกคนในโลกคงไม่กล้าล่วงเกินเขาอีกแล้ว”

…ในนครหลวงจิ๋วติ่ง ไม่ว่าจะเป็นร้านน้ำชาหรือโรงเตี๊ยมใด ๆ บนถนน หรือสถานที่ชุมนุมผู้คนใด ๆ ต่างก็มีเสียงหารือทั่วทุกหนแห่ง

และส่วนมากต่างเอ่ยถึงนามซูอี้!

ชายหนุ่มผู้นี้พื้นเพมาจากต้าโจว อาณาจักรเล็ก ๆ อันห่างไกล มาถึงนครหลวงจิ๋วติ่งในช่วงย่ำค่ำวันที่สิบห้าเดือนเก้า และจนยามนี้นับได้ว่าเพิ่งผ่านหนึ่งเดือนไปไม่นานเท่านั้น

ทว่าเหตุการณ์ใหญ่โตเกิดขึ้นกับเขานับไม่ถ้วน

ณ ฮ่วนซีชา หนึ่งดาบฟาดฟันผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณแห่งสำนักอสูรเทียนเยียน ซือคงเป้า

เหนือทะเลสาบชูอวิ๋น ผู้อาวุโสใหญ่สายในแห่งวังเทพสวรรค์เมฆา ฮั่วเทียนตู

ณ แอ่งเกล็ดทอง สังหารโจวเฟิงจื่อ ผู้อาวุโสจากสำนักดาบเทียนชูราวเชือดไก่ให้ลิงดู

ณ ชุมนุมมวลพฤกษา หวนเฉ่าโหยวถูกปราบสิ้นท่า

…เหตุการณ์นี้ หลังกลับจากเกาะเซียนสุเมรุ และการนองเลือดที่พระราชวังเทียนหยางบนเขาเทียนหมางวันนี้ ทุกสิ่งต่างถูกเผยต่อผู้คนและเป็นที่โจษจันหนาหู

คนบางกลุ่มชื่นชมสรรเสริญ ว่าซูอี้เป็นดั่งดาวตก ผงาดราวตำนาน อำนาจปกคลุมนครหลวง ลือนามทั่วหล้า!

คนบางกลุ่มกังวลว่าหลังรับบทเรียนอันหนักหนานี้ เมื่อกองกำลังโบราณนับสิบ ๆ แห่งเหล่านั้นร่วมมือกันโต้ตอบ ซูอี้คงได้ดับดิ้นแน่แท้ และเส้นทางแห่งตำนานของเขาก็จะถึงจุดจบ

คนบางกลุ่มทอดถอนใจว่าโลกนี้จะเปลี่ยนแปลงราวพลิกฝ่ามือ ทุกสิ่งจะแปรผันในกาลอันสั้น

“โลกนี้เปลี่ยนไปแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็หนึ่งปี แสงสว่างแห่งโลกกว้างจะมาถึงเป็นแน่!”

ณ ยามค่ำคืน ชายในชุดดำ สวมหน้ากากสำริดผู้หนึ่งยืนใช้มือไพล่หลัง จับจ้องท้องนภาด้วยแววตาลุกโชนเยี่ยงคบเพลิง

“ส่วนชายหนุ่มนามซูอี้… เขาสังหารเนี่ยเฟิงและโม่ซิงเจ๋อ ศิษย์โถงวิญญาณหยินทมิฬของข้า ความผิดนี้อภัยไม่ได้!”

ชายหน้ากากสำริดกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความเย็นชา “มันจะจบลงในไม่ช้าก็เร็ว!”

ธิดาศักดิ์ศิทธิ์เสวียนจื่อตกสู่ภวังค์ ณ ข้างกาย

นางยังคงจำได้ว่า ณ งานชุมนุมหลิงชวี ซูอี้เคยกล่าวไว้ว่าเขาไว้ชีวิตนางเพราะเขาติดหนี้บุญคุณต่อเผ่าปีศาจงู

ยามนั้น ซูอี้เพิ่งอยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญ

กาลเพิ่งผันผ่านไปไม่กี่เดือน …ยามนี้ ซูอี้ได้กลายเป็นยอดฝีมือผู้โดดเด่นที่สุดในโลก!

“แต่เพราะว่าเขายังเด็กนัก ยามใดกันที่เขาติดค้างหนี้บุญคุณต่อปีศาจงู? หรือจะเป็นเพราะเขา… มาจากดินแดนมืดมิด?”

ธิดาศักดิ์ศิทธิ์เสวียนจื่อเม้มปาก

นางตัดสินใจหาโอกาสไปพบกับซูอี้

อารามบรรพบุรุษแห่งตระกูลหวนเผ่ามาร

“กระทั่งเสี้ยวเจตจำนงของราชันย์มารเทียนอวี้ยังไม่อาจทำลายซูอี้ผู้นี้ได้เลยหรือ? ดูเหมือนว่าผู้สังหารนายน้อยจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว…”

ชายชราเปลือยเท้าในชุดผ้าฝ้ายเละเทะผู้หนึ่งกระซิบ

“ท่านบรรพชน ในที่สุดนายน้อยก็รอดจากการจองจำแห่งยุคมืดเมื่อสามหมื่นปีก่อน ทว่ากลับถูกสังหารโดยซูอี้ ข้าวอนท่าน ล้างแค้นให้นายน้อยด้วย!”

ยอดฝีมือจากตระกูลหวนปริปากอย่างโศกเศร้า

“ตัวคนตายแล้ว ไม่ว่าจะโกรธเคืองเพียงไรก็ไร้ค่า”

ชายชราเปลือยเท้าในชุดผ้าฝ้ายกล่าวสั้น ๆ “ส่วนการล้างแค้น… รอสักหน่อยก่อน”

“ท่านบรรพชน ไยเล่าจึงรอ?”

ใครสักคนอดถามไม่ได้

ชายชราเปลือยเท้าในชุดผ้าฝ้ายปรากฏสีหน้าพิกล เขากล่าวเบา ๆ “แสงสว่างแห่งโลกกว้างจะมาถึงเร็ว ช่วงเวลาต่อมาจะเป็นโอกาสงามที่สุดในการฟื้นตัวของตระกูลหวนเรา!”

ยามกล่าวถึงเรื่องนี้ เสียงของเขาก็สั่นเล็กน้อย

สามหมื่นปีในการจองจำแห่งยุคมืดทำให้พลังชีวิตตระกูลหวนของพวกเขาเสียหายหนักหนา

ทว่ายามนี้ต่างออกไป!

อย่างน้อยก็ในหนึ่งปี แสงสว่างแห่งโลกกว้างจะมาอย่างแน่นอน!

“แสงสว่างแห่งโลกกว้างจะมาก่อนกำหนดหรือ?”

ยอดฝีมือตระกูลหวนต่างตะลึงไปชั่วครู่ และแล้วก็แสดงความตื่นเต้นปีติยินดี

“รอก่อน ยามเมื่อตระกูลหวนของเราปรากฏสู่โลกนี้ได้อย่างแท้จริง บุคคลและขุมอำนาจผู้อ่อนแอบนโลกนี้จะต้องสยบแทบเท้าเราแน่แท้!”

ดวงตาของชายชราเปลือยเท้าในชุดผ้าฝ้ายลุกโชนสว่างเจิดจ้า

สถานการณ์ใกล้เคียงกันนี้ปรากฏขึ้นในขุมอำนาจกลุ่มเต๋าโบราณอื่น ๆ เช่นสำนักวิถีสุญญะ สำนักผลาญตะวัน

“ปราณวิญญาณในโลกนี้กำลังฟื้นตัวอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าความเปลี่ยนแปลงจะไม่ชัดเจน แต่มันก็เป็นลางบอกเหตุอันเยี่ยมยอด ซึ่งหมายความว่าแสงสว่างแห่งโลกกว้างจะมาก่อนเวลาเป็นแน่!”

คนบางผู้ตื่นเต้น

“การจองจำสามหมื่นปีแห่งยุคมืดกำลังจะสลายไปในที่สุด และโลกาทองของเราจะปรากฏสัญญาณมาเยือน! ไม่ว่าต้องอดทนเพียงไร อย่างมากก็ใช้เวลาเพียงหนึ่งปี เรา… รอได้!”

คนบางคนยิ้มยิมดี

“เมื่อขุมอำนาจโบราณเช่นเราก่อเกิดขึ้นกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ครรลองแห่งโลกจะถูกเปลี่ยนอย่างสะท้านนภาสะเทือนปฐพีเป็นแน่”

บางคนเหิมเกริม

ความเปลี่ยนแปลงและสัญญาณระหว่างฟ้าดินนี้ ไม่เพียงขุมอำนาจโบราณเท่านั้นที่สังเกตเห็น ทว่าขุมอำนาจสูงสุดเช่นสำนักดาบเทียนชู วังเทพสวรรค์เมฆา วัดมหาจันทรา และสำนักเต๋าชิงอี่ต่างก็เห็นเช่นกัน

โลกหล้าวุ่นวายอยู่ครู่หนึ่ง

สำหรับสรรพชีวิตบนโลก พวกเขายังคงไม่ตระหนักว่าแสงสว่างแห่งโลกกว้างซึ่งควรจะมาถึงในอีกสามหรือห้าปีจะมาก่อนกำหนด!

ทว่า สิ่งที่ไม่มีผู้ใดรู้เลยก็คือ เหตุผลของมันเกี่ยวพันกับการที่ซูอี้นำ ‘เมล็ดพันธุ์คังชิง’ ออกไปจากเวิ้งเก้าดารา!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด