บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 39 เหยียบย่างสู่โลกปุถุชนเพื่อลับหัวใจประหนึ่งคมมีด

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 39 เหยียบย่างสู่โลกปุถุชนเพื่อลับหัวใจประหนึ่งคมมีด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ท่าทีของเหวินเจี้ยหยวนแข็งกร้าว ทั้งยังเกรี้ยวกราด

ซูอี้เหลือบมองที่ลานกว้าง ก็ไม่พบว่ามีอะไรที่เสียหาย ดังนั้นเขาจึงพูดอย่างเป็นกันเอง “เมื่อคืนมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นหลายเรื่อง ว่าแต่… เจ้ามีอะไรรึ?”

เหวินเจี้ยหยวนขมวดคิ้วพูดด้วยความขบขัน “ซูอี้ บุตรเขยอย่างเจ้าแค่ได้รับหน้าที่ดูแลสำนักแพทย์ซิ่งหวงเพียงเท่านี้ เจ้าคิดว่าสามารถทำตัวอหังการได้แล้วหรือ?”

เหล่าผู้คุ้มกันต่างร่วมเย้ยหยัน

ในฐานะสมาชิกของตระกูลเหวินคนหนึ่ง ในปีที่ผ่านมานี้ผู้ใดบ้างไม่ทราบว่าซูอี้นั้นไร้ค่าเพียงใด?

กระทั่งว่าไม่มีผู้ใดให้ความสนใจด้วยซ้ำ!

น้ำเสียงของเหวินเจี้ยหยวนอัดแน่นด้วยความดูหมิ่น เขากล่าวต่อ “หรือเจ้าคิดว่าหลิงเจาได้เป็นศิษย์ตำหนักเทียนหยวนแล้ว สามีไร้ค่าเช่นเจ้าก็จะมีอนาคตสดใสด้วย?”

“ข้าไม่เกรงที่จะบอกให้เจ้าทราบ ต่อให้ข้าฆ่าเจ้าให้ตายที่นี่ หลิงเจาก็ไม่ล้างแค้นให้เจ้า!”

ท้ายที่สุด เขามองซูอี้ด้วยสายตานึกสมเพช

สีหน้าของซูอี้มืดหม่นลง ก่อนจะกล่าวในทันใดนั้นว่า “เจ้าจำอู๋รั่วชิวได้หรือไม่?”

เหวินเจี้ยหยวนหรี่ตาลงทันทีและกล่าวถามกลับ “เมื่อคืนเจ้าได้เจอนักพรตเต๋าพเนจรผู้นั้นด้วยหรือ?”

“คิดไม่ผิดเลย เจ้าและบิดาคงรู้อยู่ก่อนแล้วลานบ้านนี้มีปัญหาเช่นไร หากว่าเมื่อคืนเป็นผู้อื่น เช่นนั้นคงตกตายไปแล้ว” ซูอี้ตระหนักรู้แล้ว

เหวินเจี้ยหยวนเงียบไปครู่หนึ่ง แม้ประหลาดใจ รอยยิ้มกลับเผยให้เห็น “ซูอี้ เจ้าสมควรตายตั้งแต่เมื่อคืน ทว่าตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไป”

เขายกมือพร้อมโบกคำสั่ง น้ำเสียงนั้นเย็นชาและไร้อารมณ์ “ฆ่ามัน!”

“ขอรับ!”

จากรอบลานบ้าน ชายชุดดำและผู้คุ้มกันคนอื่นต่างทำตามคำสั่ง ทั้งหมดก้าวเข้ามาล้อมซูอี้ ด้วยสายตาเย็นเยือก คิ้วนั้นขมวดแสดงเจตนาฆ่าฟัน

“ท่านเขย ขออโหสิด้วย!”

เคร้ง!

ชายร่างเตี้ยทว่าแข็งแกร่งผู้หนึ่งชักมีดสั้นเหล็กเย็นออกมา ก่อนกระทืบเท้าดีดตัวจากพื้น ร่างของเขาเปรียบดังธนูหลุดจากแล่ง ก่อนจะแทงใส่แผ่นหลังของซูอี้อย่างไร้ปรานี

แต่กลับกัน ร่างของซูอี้กลับยังคงนิ่งเฉย แต่ฝักดาบในมือเขาพลันฟาดไปด้านหลัง

เมื่อมีดสั้นอยู่ห่างจากหลังซูอี้ประมาณครึ่งคืบ หน้าอกของชายร่างอ้วนเตี้ยนั้นกลับโดนฝักดาบเสียก่อน

กร๊อบ!

ถึงจะคล้ายการออมแรง แต่ก็เผยให้เห็นถึงพลังที่ไม่มีใครเทียบเปรียบ กระดูกซี่โครงของชายเตี้ยแตกออกเป็นเสี่ยง ก่อนจะทรุดตัวลงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

ก่อนที่ชายร่างเตี้ยจะทันได้โต้ตอบ ซูอี้ก็ยกฝักดาบขึ้นฟาดไปที่คอของเขาอย่างแรง

หลังจากสิ้นเสียงฝักดาบหักกระดูกคอ ชายร่างเตี้ยผู้แข็งแกร่งซึ่งอยู่ในขั้น ‘ขัดเกลาภายใน’ แห่งขอบเขตโคจรโลหิตพลันถูกซัดลงไปกับพื้น กระดูกคอเขาหัก หน้าค่อย ๆ จมลงพื้น ก่อนจะหมดลมหายใจไป

ยังไม่ทันจะชักดาบหรือหันเผชิญ ซูอี้กลับสังหารศัตรูที่อยู่ด้านหลังได้แล้ว!

ทุกคนเกิดตื่นกลัว

“เศษเดนผู้นี้ฟื้นพลังได้แล้ว!”

ตรงข้างบ่อน้ำเก่านั้น ใบหน้าของเหวินเจี้ยหยวนพลันเหยเก

ปีก่อน ซูอี้หัวหน้าศิษย์สายนอกแห่งสำนักดาบชิงเหอได้สูญเสียพลังไป และเข้าร่วมตระกูลเหวินในฐานะผู้ไร้พลัง เรื่องนี้ต่างรู้กันทั่วเมืองกว่างหลิง

แต่แล้วตอนนี้ เพียงซูอี้ใช้ฝักดาบฟาดสองครา เขากลับสังหารผู้คนขอบเขตโคจรโลหิตได้!

“บุกพร้อมกัน!”

ชายชุดดำส่งเสียงเย็นชา

เขาเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันกลุ่มนี้ ด้วยรูปร่างที่ผอมสูงแข็งแรง ดวงตานั้นทอประกายเจิดจ้า เขาคือผู้ที่อยู่ในขั้น ‘ขัดเกลาเส้นเอ็น’ มาหลายปี และมีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย

เมื่อเอ่ยคำ เขาพร้อมออกนำ โดยยกกระบองที่ทำจากทองแดงยาวสามชุ่นขึ้นก่อนจะฟาดลงมา

วี้ดด!

อากาศที่แหวกออกอย่างรุนแรง ทำให้เกิดเสียงดังออกมา

ขณะที่ผู้คุ้มกันอีกเจ็ดคนที่เหลือใช้อาวุธเป็นขวานสั้น ขวานศึกยาว ดาบ ทวน และอาวุธอีกหลากหลายเข้าโจมตีพร้อมกัน

จากกลิ่นอายเย็นเยือกที่กลุ่มคนปลดปล่อย เห็นได้ว่าผู้คุ้มกันเหล่านี้เป็นพวกโหดเหี้ยม รบราฆ่าฟันมานานนับ

เมื่อถูกล้อมโดยกลุ่มคน ซูอี้เหลือบมองดาบในมือ ถ้อยคำเบากล่าวกับตนเอง

“ก็ดี วันนี้ข้าจะใช้เลือดของคนเหล่านี้สังเวยให้กับดาบเล่มใหม่ของข้า”

หลังจากสิ้นเสียงพูดพึมพำ เสียงดาบหลุดจากฝักดังก้องกังวานไปทั่วทั้งลานบ้าน

ชิ้งงง!

ทันใดนั้น คมดาบก็ปรากฏ

ดาบสีดำสนิทเปรียบดังราตรีกาลมีประกายสีม่วงระยิบระยับอยู่ในความว่างเปล่า ดาบที่ควงอยู่นั้นส่งเสียงชัดเจน ราวกับเสียงร้องของสิ่งที่กระหายจะกินเลือดกินเนื้อ

ชื่อของดาบเล่มนี้ที่ซูอี้ตั้งให้คือ ‘สุดแดนดิน’

ความหมายคือ “เหยียบย่างสู่โลกปุถุชนเพื่อลับหัวใจประหนึ่งคมมีด”

เคร้ง!

ชายชุดดำเหวี่ยงกระบองทองแดงสามชุ่นเข้าใส่ ก่อนถูกดาบสุดแดนดินฟันตอบ เมื่อเกิดเสียง กระบองทองแดงพลันถูกตัดเป็นสองท่อนประหนึ่งผ่าเต้าหู้

เป็นดาบอันคมกล้าและชวนสะพรึง!

ภายในดาบเดียวนั้น มือขวาของชายชุดดำที่ถือกระบองทองแดงถูกตัดขาด ก่อนเลือดจะพุ่งออกจากข้อมือที่กุดนั้นราวกับน้ำพุ

ร้อนและเป็นสีแดงสด

อีกฝ่ายร้องเสียงดัง พร้อมถอยหนีด้วยความหวาดกลัว

ชั่วเวลานับจากนี้ มันคือเวลาแห่งการนองเลือด

ซูอี้สะบัดแขนเสื้อ ก่อนจะก้าวย่างพร้อมดาบยาวในมือ สายตาดุดันประหนึ่งเทพเซียน ดาบฟันออกต่อเนื่องหกครั้ง

ฟัน แทง จ้วง เสย ขวาง ผ่า!

ทุกดาบจู่โจมลื่นไหลดั่งสายลม ลุกลามประหนึ่งอัคคี โบยบินลอยล่อง ผันแปรประหนึ่งสายฟ้า และรวดเร็วดุจลำแสง

ร่างของซูอี้เคลื่อนไหวไหลลื่นราวกับสายลมที่ผ่านพัดไปอย่างอิสระในสวรรค์ทั้งเก้า

ฉึก!

รูโหว่ปรากฏขึ้นบนคอของผู้คุ้มกันคนหนึ่ง ตานั้นเบิกกว้าง ก่อนจะร่วงลงกับพื้น

พลั่ก!

ศีรษะของผู้คุ้มกันอีกคนถูกตัดออก พร้อมปลิวไปกับอากาศ ด้วยสีหน้าที่หวาดกลัวสุดขั้ว

เพียงชั่วขณะ การปะทะรุนแรงพร้อมเสียงสับฟันดังขึ้น ผู้คุ้มกันที่เหลือต่างถูกฟัน บั่นเศียร และผ่าแยกร่าง…

เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นประดุจดอกไม้ไฟที่เบ่งบาน กระจายทั่วทั้งลานบ้านอันว่างเปล่า

ซูอี้เก็บดาบพร้อมหยุดมือ

ทั่วบริเวณ นอกจากบุคคลในชุดดำและเหวินเจี้ยหยวนที่ยืนข้างบ่อน้ำเก่า ชีวิตที่เหลือตกตายจมกองเลือดที่เปรียบดังสายน้ำไหลนอง

เพียงชั่วขณะกลายเป็นเงียบงัน

ราวกับสายฟ้าที่ผ่าอย่างกะทันหัน และกลับสู่ความเงียบ!

ยามมองยังซูอี้อีกครั้ง ท่าทีชายหนุ่มยังคงเฉยเมยดังเช่นก่อนหน้า ดาบยังคงกำไว้ในมือ ยืนด้วยท่วงท่านิ่งสงบ ตัวดาบที่ดำมืดราวราตรีกาล มันมีเลือดหยดไหลลงพื้น

จุดที่เขายืนอยู่ มีเจ็ดร่างนอนจมกองเลือด เป็นฉากที่ท่วมท้นไปด้วยเลือด

“น…นี่มัน… วิชาดาบอะไรกัน?”

ชายชุดดำตกตะลึง ดวงจิตตกอยู่ในภวังค์ แววตาเต็มไปด้วยความสับสน และแตกตื่นเกือบเสียสติ

เหวินเจี้ยหยวนที่อยู่ห่างออกไป ตกใจถึงขนาดสั่นไปทั้งร่าง ใบหน้านั้นเปี่ยมด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากเชื่อ

“ใช้การฆ่าเพื่อปลุกดาบ พลังจะยิ่งรุนแรง ใช้โลหิตเพื่อชุบดาบ พลังมารจะยิ่งหนักอึ้ง วิธีนี้เป็นเลิศสำหรับการลับคมดาบ อย่างไรเสีย ถึงดาบสุดแดนดินนี้จะมีพลังของวิญญาณ แต่ก็เป็นอาวุธชั้นธรรมดา ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีพลังชั่วร้ายอยู่ด้วย”

ซูอี้มองดาบสุดแดนดินในมือ ก่อนมองไปที่เหวินเจี้ยหยวนที่อยู่ห่างออกไป คำพลันเอ่ยขึ้น “คุณชายผู้ทรงเกียรติแห่งตระกูลเหวิน เจ้าไม่คิดสู้บ้างงั้นหรือ?”

เหวินเจี้ยหยวนรู้สึกเย็นยะเยือกทั้งร่าง

เขาเพิ่งฝึกสำเร็จขั้นขัดเกลาภายในแห่งขอบเขตโคจรโลหิต และอยู่ดีกินดีมาตั้งแต่เด็ก เมื่อได้ประสบฉากนองเลือดเช่นนี้ จึงทำเขาตัวสั่นอยู่นาน

“นายน้อย รีบไป!”

ทันใดนั้น ชายชุดดำที่อยู่ไม่ไกลกลับตะโกนเสียงดัง พร้อมกับยิงหน้าไม้คันหนึ่งไปยังซูอี้

ฟุ่บ!

ลูกดอกถูกยิงออกมาเร็วดุจสายฟ้า พร้อมกับหัวคมกล้าพร้อมทะลุทะลวง

ร่างซูอี้เบี่ยงไปด้านข้างเล็กน้อย ส่งผลให้ลูกดอกเฉียดผ่านตัวเขาไปราวสามชุ่น ก่อนจะกระแทกเข้าใส่กำแพงเสียงดัง เกิดเศษหินกระจายและรูลึกปรากฏบนกำแพง

มันแสดงถึงอานุภาพของลูกดอกนี้!

พบเห็นโอกาส เหวินเจี้ยหยวนรีบตอบสนอง ตัวคนพลันออกพ้นจากพื้นที่ลานบ้าน

ชายชุดดำยังคงถือหน้าไม้เอาไว้ ทั้งพยายามขึ้นสายด้วยมือซ้าย ก่อนจะเหนี่ยวไก

ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!

เสียงกรีดผ่านอากาศ ลูกดอกกรีดพุ่งผ่านอากาศดอกแล้วดอกเล่าประหนึ่งห่าฝนเข้าหาซูอี้

ซูอี้เคลื่อนตัวทางด้านหน้า ขยับหลบเลี่ยง ก่อนจะรุดหน้าเข้าไปเรื่อย

ตัวเขาที่สำเร็จขอบเขตโคจรโลหิตขั้นขัดเกลาเส้นเอ็น พลันพุ่งทะยานประหนึ่งลูกธนู เคลื่อนตัวไปราวกับสายลม ร่างกายพลิ้วไหวอย่างสุดขั้ว

เวลานี้แม้เผชิญห่าฝนลูกดอก เขายังมีท่าทีสงบ เพราะตราบเท่าที่มีสติ ชายหนุ่มจะสามารถหลบเลี่ยงลูกดอกทั้งหมดที่หมายสังหารตนเองได้

เพียงชั่วพริบตา ซูอี้เข้าถึงตัวชายชุดดำอย่างไร้บาดแผล

“ท่านเขยทำเช่นนี้ ก็มีแต่จะเป็นการทำร้ายตนเอง!”

ชายชุดดำตะโกนเสียงแข็ง ลูกดอกในหน้าไม้ของเขาถูกยิงจนหมดแล้ว เมื่อเผชิญกับซูอี้ที่ปรากฏซึ่งหน้า เขาอดไม่ได้ที่จะเผยความอับจน

แกร่ง!

แข็งแกร่งเกินไป!

ผู้ที่มีพลังขั้นขัดเกลาเส้นเอ็นเช่นเขาตอนนี้กลับรู้สึกทั้งหวาดกลัวและอับจนหนทาง

“ความภักดีที่เจ้าปกป้องมัน ควรค่าให้ชื่นชม ถือว่าทำข้าพอใจได้”

สิ้นคำกล่าว ดาบสุดแดนดินกลับทอประกายเจิดจ้า

ฉัวะ!

ชายชุดดำถูกแทงทะลวงอกตัดขั้วหัวใจ

ขณะเจียนตาย เขายังไม่เชื่อว่าซูอี้จะลงมือรวดเร็วเพียงนี้ ราวกับไม่สนใจผลร้ายของการกระทำแม้แต่น้อย

หลังจากเสียงแทง ร่างของชายชุดดำทรุดลงจมกองเลือดอย่างนุ่มนวล

แต่ดวงตาของซูอี้กลับมองไปยังอีกทางหนึ่ง

เหวินเจี้ยหยวนวิ่งหนีไปถึงทางประตูของลานบ้านแล้ว เขาตื่นกลัวประหนึ่งสุนัขไร้หัว

แต่มีหรือที่ซูอี้จะปล่อยอีกฝ่ายรอดพ้น!?

เขากระทืบพื้นรุนแรง มีดสั้นที่อยู่บนข้างเคียงกระเด้งลอยขึ้นเข้าหายังฝ่ามือเขา

ทันใดนั้น เขาออกแรงสะบัดมือซัดมีดออกไป

ฉึก!

มีดสั้นแหวกผ่านอากาศเร็วจี๋ราวกับลูกธนู เสียบเข้าเต็มหลังของเหวินเจี้ยหยวน

ด้วยแรงกระแทกหนักหน่วง ร่างอีกฝ่ายชนเข้ากับประตูลาน ก่อนจะล้มร่างลงกับพื้น สายตามองท้องฟ้าประหนึ่งควานหาดวงดาวบนนั้น

ด้วยความเจ็บปวดในร่างกายและความหวาดกลัวที่มี ทำให้เหวินเจี้ยหยวนแทบสิ้นสติ

“หากทราบแต่แรก ข้าคงไม่ให้พวกมันลงกลอนประตู…” ใบหน้าของเหวินเจี้ยหยวนเผยความสิ้นหวัง

แต่แล้วทันใดนั้น

ประตูลานถูกเปิดจากด้านนอก ปรากฏว่ามีกลุ่มคนอยู่ที่อีกฟาก

ร่างหนึ่งที่เป็นผู้นำสูงสง่าประหนึ่งขุนเขา สวมเครื่องแบบทางการ รอบกายคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายความเป็นผู้นำ

เขาคือผู้บัญชาการกองทหารองค์รักษ์จวนเจ้าเมือง เนี่ยเป่ยหู่

“ท่านผู้บัญชาการเนี่ยช่วยเหลือข้าที!”

เหวินเจี้ยหยวนที่เดิมหมดหวัง แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกตื่นเต้นยินดีล้นพ้น เขาร้องขอความช่วยเหลือราวคนกำลังจมน้ำที่คว้าฟางได้เส้นหนึ่ง

“นี่…”

สายตาเนี่ยเป่ยหู่กวาดสายตาไปทั่วลานบ้าน ก่อนจะตกใจเพราะศพและเลือดที่เปรอะเต็มอยู่บนพื้น สีหน้าเขาเปลี่ยนไปโดยทันที ลมหายใจสูดเข้าลึก

ด้านข้างเนี่ยเป่ยหู่ มีหวงเฉียนจวินและเหล่าทหารแห่งจวนเจ้าเมือง พวกเขาต่างได้เห็นภาพนองเลือด แต่ละคนต่างแตกตื่น ทั้งยังตึงเครียด

ไม่ช้า ทุกสายตามองยังซูอี้ที่ยืนโดดเดี่ยวในลานบ้านพร้อมดาบในมือ พวกเขาแทบไม่อาจสงบลง

ผู้ใดกันไม่ทราบว่าทั้งหมดนี้คือฝีมือของซูอี้?

“ท่านผู้บัญชาการเนี่ย เร็วเข้า รีบจับไอ้ฆาตกรชั่วซูอี้ มันสังหารผู้ติดตามของข้าทุกคน รวมถึงพยายามจะสังหารข้าด้วย!”

เหวินเจี้ยหยวนตะโกนอย่างเร่งรีบ ใบหน้าเผยความโกรธเคืองและตื่นเต้นยินดี

ที่งานเลี้ยงของนายหญิงเฒ่าตระกูลเหวิน เขาก็อยู่ที่นั่นด้วย และได้เห็นภาพของเนี่ยเป่ยหู่และเจ้าเมืองฟู่ซานมาร่วมงานเลี้ยงพร้อมหน้า

เหตุนั้นทำให้เขาเชื่อไปเองว่าเนี่ยเป่ยหู่มีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเหวิน และต้องให้การช่วยเหลือตนเอง

ทว่าสิ่งที่เกิดถัดไป กลับทำเหวินเจี้ยหยวนงุนงง

สีหน้าเนี่ยเป่ยหู่แปรเปลี่ยน ก่อนจะประสานมือกล่าวคำต่อซูอี้ “ข้ามาช่วยคลี่คลายช้าไป ขอคุณชายซูโปรดอภัยด้วย”

“ผู้บัญชาการเนี่ย ท่าน… ทำไมท่าน…”

เหวินเจี้ยหยวนประหนึ่งกับถูกฟ้าผ่า เขางุนงง แตกตื่นจนไม่อาจกล่าวคำได้

สีหน้าของเนี่ยเป่ยหู่เฉยชา เมินต่อเขาโดยสิ้นเชิง ประหนึ่งดวงตามืดบอดและมองเพียงซูอี้ด้วยท่าทีนอบน้อม

ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตามองไปที่หวงเฉียนจวิน “เจ้าเป็นคนเชิญนายท่านเนี่ยมาที่นี่หรือ?”

หวงเฉียนจวินตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่พอใจของซูอี้ ก่อนที่เหงื่อจะผุดออกมาตรงหน้าผาก

เขาอยากจะอธิบาย แต่สุดท้ายกลับก้มหน้าและกล่าวอย่างขื่นขม

“ใช่…”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *