บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 698: นามดาบนิลกาฬบริสุทธิ์

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 698: นามดาบนิลกาฬบริสุทธิ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 698: นามดาบนิลกาฬบริสุทธิ์

ตู้ม!

เมื่อกาลเวลาผันผ่าน เมฆาสายฟ้าเหนือภูเขาเทียนหมางก็ก่อตัวใหญ่ขึ้นทุกขณะ เต็มเปี่ยมไปด้วยสายฟ้าแล่นพล่านราวฝูงอสรพิษหนาแน่น ฟ้าแลบร้องแปลบปลาบแปรเปลี่ยนห้าสี

อสนีบาตห้าสีประกอบด้วยสีน้ำเงิน ขาว ดำ แดงและเหลือง รัดพันเกี่ยวกระหวัดเจิดจ้าเฉิดฉาย

แสงอันโปรยปรายเยี่ยงพิรุณทะลักไหลราวเขื่อนแตก ผสานกับสายฟ้าพร่างพรายไหลลงสู่ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน

เมื่ออาเหลิ่งมาถึงยังตีนเขาเทียนหมางและพบกับเหตุการณ์นี้ ความแปลกใจอันหาได้ยากก็ปรากฏขึ้นในสายตาเรียวรี

นี่ควรจะเป็นผลจากมหาสมบัติวิญญาณแบบใดกัน?

บรรยากาศช่างน่าสะพรึงยิ่งนัก!

หรือว่าจะยังมีพลังใดหลงเหลือจากตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิในราชวงศ์เซี่ยนี้?

อาเหลิ่งเดินไปยังภูเขาเทียนหมาง

นี่คือสถานที่พำนักของราชวงศ์เซี่ย ปกคลุมด้วยค่ายกลหนาตา ซ้ำยังมียอดฝีมือชั้นเลิศอารักขาทุกแห่งหน

ทว่าอาเหลิ่งกลับเดินทอดน่องลอยชาย

ระหว่างทาง อำนาจขวางกั้นเหล่านั้นไม่อาจขวางเขาได้แม้แต่น้อย ราวกับเป็นของปลอม

กระทั่งผู้อารักขายังไม่อาจสังเกตเห็นเขา!

สิ่งเหล่านี้ดูเหลือเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย

“ที่แท้ก็มีอาวุธถูกหลอมโดยใช้พลังจากค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนเข้าช่วย มิน่าเล่าจึงเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โต ทว่ากลับไม่ส่งผลใดต่อภูเขาเทียนหมางเลยสักนิด…”

“ดูเหมือนว่าแม้ราชวงศ์เซี่ยจะไร้ตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิ แต่ก็น่าจะยังมีปรมาจารย์ค่ายกลผู้แข็งแกร่งจรดนภา หาไม่ คงไม่มีทางหาวิธีอันเยี่ยมยอดจนสามารถขัดเกลาสมบัติวิญญาณของตนได้เช่นนี้”

ดวงตาของอาเหลิ่งวูบไหว เขาเห็นเบาะแสและปริศนามากมายที่คนทั่วไปไม่อาจตรวจจับ

ไม่นานนัก อาเหลิ่งก็ชะงักหยุด แววตาวาวโรจน์ “ตรงนั้นไง ในที่สุดข้าก็เจอเจ้า ดูหน่อยซิว่าเจ้าคือผู้ใด…”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปาก เขาเยื้องย่างจะเดินไปใกล้จุดที่หมายตาไว้

ตู้ม!

ทว่าพลังจองจำอันน่าหวาดหวั่นพลันกระเพื่อมออกมา แปรเปลี่ยนเป็นดาบฟาดฟันจากฟ้า!

ม่านตาของอาเหลิ่งหดตัว เขาหลบทันที

ฉัวะ!

ปราณดาบสลายไปเงียบ ๆ บนพื้นที่ซึ่งอาเหลิ่งเคยยืนอยู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นอำนาจจองจำอีกครั้ง

“เจ้าหาข้าเจอด้วยหรือ? ยอดเยี่ยมนัก!”

อาเหลิ่งแปลกใจ แขนเสื้อสะบัดโบก บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปเงียบ ๆ ราวกับอำนาจลึกลับพิสดารบางอย่างได้ตื่นขึ้นในร่างของเขา

แทนที่จะมีรอยยิ้มเย้ยเช่นทุกที บรรยากาศรอบตัวของเขากลับลึกล้ำมืดทึบเยี่ยงสายหมอกบดบัง

ในดวงตาเรียวรีมีเค้าลางความผันผวน จิตวิญญาณพลุ่งพล่าน

ตู้ม!

ก่อนอาเหลิ่งจะทันได้ลงมือ อำนาจจองจำก็หลั่งไหลออกมาจากพื้นที่ใกล้เคียง บังเกิดเป็นปราณดาบอันหนาแน่นเจิดจ้ากวาดมาหา

เปลือกตาของอาเหลิ่งกระตุก อำนาจทำลายล้างของปราณนี้สามารถสยบตัวตนในขอบเขตสยายวิญญาณได้อย่างง่ายดาย!

ต่อให้มีตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณอยู่ที่นี่ เขาก็ยังไม่กล้ารับคมดาบนี้ตรง ๆ!

“จริงเท็จสลับขั้ว!”

เสียงประหลาดดังต่ำ ๆ ออกมาจากปากของอาเหลิ่ง

ตู้ม!

ปราณดาบเฉิดฉายปกคลุมนภา และร่างของอาเหลิ่งก็แตกสลาย

ทว่าในขณะเดียวกัน ร่างของอาเหลิ่งก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ห่างออกไปหลายสิบจั้ง

เขาแย้มยิ้ม และเดินไปทางส่วนห่างไกลตัวเมืองของภูเขาเทียนหมางอีกครั้ง

ตู้ม!

แต่เมื่อเพิ่งก้าวได้เพียงสองสามก้าว ร่างของอาเหลิ่งก็ชะงักค้าง เห็นคลื่นพลังจองจำกระเพื่อมเป็นวง แผ่ลงมาจากฟ้า

มันปิดทางหนีของอาเหลิ่งอย่างเงียบ ๆ!

“ซ่อนนภาข้ามสมุทร!”

อาเหลิ่งส่งเสียงร้องประหลาด ร่างของเขาหายวับไปในอากาศธาตุ

ทว่าพริบตาถัดมา ร่างของเขาก็โซเซปรากฏขึ้น

วงล้อมพันธนาการรายล้อมเขาอยู่

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

เกิดเสียงระเบิด และร่างของอาเหลิ่งก็ฉายประกายแสงเจิดจ้า

อำนาจพันธนาการที่ดูอ่อนโยนราวระลอกน้ำ แท้จริงกระทั่งตัวตนในขอบเขตสยายวิญญาณก็ถูกมันสังหารได้โดยง่าย ทว่าอาเหลิ่งไม่ได้ถูกฆ่า

ด้านหน้าอกของเขา แว่นสีดำรูปร่างคล้ายกระดองเต่าปรากฏขึ้นพร้อมกับคลื่นพลังประหลาดแผ่กระจาย กั้นขวางและสลายคลื่นพลังจองจำ

แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงถูกดีดกระเด็น เสื้อผ้าขาดวิ่น ผิวไหม้เกรียม ดูน่าอเนจอนาถใจยิ่ง

สีหน้าของเขาหมองคล้ำ ตวาดอย่างโกรธเคือง “จะจริงหรือที่ข้าไม่อาจพังค่ายกลบ้า ๆ นี่ได้?”

แทบจะในขณะเดียวกัน อำนาจจองจำที่อยู่ไม่ห่างกันนักหมุนวน ส่งเสียงอันเฉยเมยเสียงหนึ่งออกมา

“เจ้าปีศาจ คิดจริง ๆ หรือว่าจะสามารถทำทุกสิ่งได้ตามใจเมื่อในร่างกายมีตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิซุกซ่อนอยู่?”

อาเหลิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นสีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยน ขนลุกซู่อย่างตกใจ ชายผู้มองเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งในพริบตาผู้นี้เป็นใครกัน?

อาเหลิ่งกลืนน้ำลายเอื๊อก ก่อนกล่าวว่า “สหายเอ๋ย หากข้าบอกว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากความใคร่รู้ ไร้ความคิดอื่นใด เจ้าจะ… เชื่อหรือไม่?”

“ไปให้พ้น!”

เสียงเฉยเมยเสียงหนึ่งดังออกมา

“ได้!”

อาเหลิ่งหันหลังกลับและเผ่นหนีราวไฟไหม้บั้นท้าย

จนเมื่อเขาพ้นเขตภูเขาเทียนหมาง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาจึงเปลี่ยนเป็นสุดมืดหม่น “ข้าจะจำความอัปยศนี้ไว้!”

ในขณะเดียวกัน…

ในถ้ำยักษ์ของภูเขาเทียนหมาง ซูอี้เก็บจิตสัมผัสของเขาและมุ่งเป้าไปที่การหล่อหลอมดาบ

เทียบกับการสังหารจิ้งจอกน้อยไม่น่ามองตนนั้น การหล่อหลอมดาบย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย

และช่วงเวลาอันสำคัญที่สุดมาถึงแล้ว

ซูอี้สูดหายใจลึก ๆ สิบนิ้วกางสู่ความว่างเปล่า ขยับไหวราวดีดพิณในช่วงจังหวะที่น่าตื่นเต้นที่สุด

ทันใดนั้น ประกาศิตอันเปี่ยมปาฏิหาริย์หนึ่งก็ผุดขึ้นจากความว่างเปล่า

ประกาศิตแห่งวัฏสงสาร!

วัฏสงสารมีความหมายเยี่ยงการอาบเพลิงเกิดใหม่ของหงส์อัคคี

หนึ่งในสามประกาศิตหลักซึ่งซูอี้เคยสร้างไว้ในอดีตชาติ เป็นการควบรวมสิบพลังมรดกระดับสูงสุด เช่นยันต์ลายเพลิงแห่งสายเลือดวิหคแดง ‘ประกาศิตวิถีหงส์นิลกาฬ’ จากกลุ่มเต๋า และแผนที่ลับลายโลหิตจากเผ่าผีเสื้อสวรรค์

แก่นพลังของมันอยู่ในคำว่า ‘การเปลี่ยนแปลง’ เหมือนเช่นหงส์เพลิงซึ่งถือกำเนิดจากการเวียนวัฏสงสาร และดักแด้ไหมที่เปลี่ยนเป็นผีเสื้อ

ด้วยประกาศิตนี้ ไม่ว่าจะเป็นการขัดเกลาหรือจัดตั้งค่ายกล ทุกประการนี้ย่อมมีพลังในการสรรค์สร้าง เปลี่ยนความเสื่อมทรามเป็นอำนาจวิเศษ!

และยามนี้ ซูอี้ก็ตั้งใจจะหลอมประกาศิตแห่งวัฏสงสารเข้าไปในดาบคู่ชีพของเขา

ด้วยแนวคิดนี้ เมื่อหล่อหลอมดาบคู่ชีพขึ้นมา คุณภาพและพลังของดาบก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า

นอกจากนั้น เมื่อมีประกาศิตแห่งวัฏสงสาร ขอเพียงดาบวิถีคู่ชีพไม่ถูกทำลายโดยสมบูรณ์ มันจะไม่อาจทำอันตรายวิถีเต๋าของตัวมันเองได้

เรื่องต้องห้ามสูงสุดสำหรับผู้ฝึกตนในวิถีวิญญาณคือการถูกทำร้ายสมบัติวิญญาณ เพราะมันจะเท่ากับการทำร้ายตนเอง!

“ไป!”

ซูอี้กดฝ่ามือสู่ความว่างเปล่า

ประกาศิตแห่งวัฏสงสารแปรเปลี่ยนสู่เปลวเพลิงพร้อมเสียงหึ่ง จากนั้นก็กวาดทะยานสู่เตาหลอมแปดทิศจื่อฝู

ตู้ม!

ทั่วเตาหลอมเดือดพล่าน เสียงดาบครวญสะท้านออกมาจากด้านใน

มันสามารถมองเห็นได้ว่ามีดาบวิญญาณเล่มหนึ่งลอยผลุบโผล่ ตัวดาบสั่นไหว เปล่งประกายราวกับถูกทองเทวะราดหล่อลง

ตราบเนิ่นนาน จนกระทั่งเตาหลอมแปดทิศจื่อฝูค่อย ๆ เงียบลง

“ออกมา!”

ใจซูอี้แปรเปลี่ยน

เคร้ง!

เสาแสงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากเตาหลอมแปดทิศจื่อฝู พร้อม ๆ กับเสียงดาบครวญอันดังก้อง

จากนั้นซูอี้ก็ลุกขึ้น เขาแบมือออก และแสงสว่างนั้นก็ร่วงหล่นลงสู่มือเขา

อาภรณ์เขียวกระเพื่อมไหว ดวงตาสีดำกระจ่างใส ทั่วร่างมีแสงสีเขียวเรื่อเรือง และในมือปรากฏดาบวิถียาวสามจั้งเล่มหนึ่ง

เมื่อข้อมือของซูอี้บิด ลวดลายเต๋าเร้นลับนับไม่ถ้วนก็ผุดขึ้นจากเรือนดาบโบราณอันมีบรรยากาศลึกลับ เจือจางมองแทบไม่เห็น

ตู้ม!

และเมื่อฝ่ามือของซูอี้ออกแรง ปราณดาบอันแข็งแกร่งไร้เทียมทานก็ระเบิดออก เกิดเป็นสุรเสียงดั่งเทพคำรณจากตัวดาบ

ทันใดนั้น เมฆสายฟ้าที่ขดม้วนและปราณอันทะลักไหลเยี่ยงน้ำตกบนนภาเหนือภูเขาเทียนหมางก็เหมือนถูกฉุดดึง พวกมันทั้งหมดล้วนหลั่งไหลรวมตัวสู่ภูเขา

ดาบวิถีในมือซูอี้ดูดกลืนทั้งเมฆสายฟ้าและปราณเหล่านั้นราววาฬกินน้ำ

ลวดลายประกาศิตที่สลักหนาแน่นบนใบดาบเรืองแสงแผดเผาจนเห็นได้ชัด ปราณของมันแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ

“ดาบเล่มนี้ใช้ดาบขจีบริสุทธิ์เป็นโครง และหลอมรวมจุดกำเนิดแห่งดาบนิลกาฬกลืนฟ้า ยามนี้ถือได้ว่ามันเป็นดาบวิถีคู่ชีพได้อย่างแท้จริงแล้ว ในภายหน้า… เรียกมันว่านิลกาฬบริสุทธิ์แล้วกัน”

เขาใช้คำว่า ‘นิลกาฬ’ จากดาบนิลกาฬกลืนฟ้า และ ‘บริสุทธิ์’ จากดาบขจีบริสุทธิ์

นิลกาฬบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งขาวหนึ่งดำ!

เมื่อสิ้นวาจาของซูอี้ ดาบวิถีในมือของเขาก็ส่งเสียงตอบรับราวกับกำลังยินดี

ซูอี้อดยิ้มไม่ได้

สมบัติวิญญาณคู่ชีพนี้จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้ฝึกตนในวิถีวิญญาณ ราวกับเป็นส่วนหนึ่งในวิถีเต๋าของพวกเขา!

และอำนาจของดาบนิลกาฬบริสุทธิ์นั้นทำให้ซูอี้พอใจมากอย่างไม่ต้องสงสัย

‘หากมันอยู่ในเก้ามหาแดนดิน และให้พวกเจ้าแก่ใน ‘ศาลาแต้มทอง’ มาประเมินค่าดาบนิลกาฬบริสุทธิ์นี้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่อาจประเมินมันได้อย่างเหมาะสม’

ซูอี้ลอบคิด

ศาลาแต้มทองแห่งเก้ามหาแดนดินมีอยู่เพื่อตัดสินการปรากฏของสมบัติล้ำค่าต่าง ๆ ทั่วโลกา

จากมาตรฐานสูงสุดซึ่งศาลาแต้มทองประเมินสมบัติวิญญาณตลอดมา มันไม่อาจใช้กับดาบนิลกาฬบริสุทธิ์ได้

เพราะพลังของมันเหนือล้ำเกินคำนวณ… ไม่อาจเทียบเคียงกับสมบัติวิญญาณไร้คู่เปรียบทั่วไปได้อีกแล้ว!

เคร้ง!

ซูอี้ยกมือขึ้นสะบัด และดาบนิลกาฬบริสุทธิ์ยามสามจั้งก็กลายเป็นลำแสงซึ่งถูกซูอี้กลืนลงไปกักเก็บในอารามวิญญาณมหาวิถี

‘การหล่อหลอมดาบในครานี้ไปได้สวย และค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนก็มีบทบาทสำคัญนัก ควรค่าจดจำว่าความเมตตานี้ต้องรวมจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยเข้าไปด้วย’

ซูอี้ลอบคิด

การช่วยซ่อมมหาค่ายกลคือเรื่องหนึ่ง

และการยืมมหาค่ายกลมาหล่อหลอมดาบนับเป็นอีกเรื่อง

ซูอี้ย่อมเข้าใจความแตกต่าง

ซูอี้หันหลังเดินไปทางถ้ำยักษ์โดยไม่รีรอ

นิมิตเมฆสายฟ้าและปราณที่โปรยปรายเยี่ยงน้ำตกเหนือนภาด้านนอกได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

ทว่าจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยซึ่งอารักขาอยู่หน้าถ้ำยังคงมีสีหน้าตะลึงอึ้ง

เมื่อเห็นซูอี้เดินออกมา เขาก็รีบกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม “ยินดีกับสหายเต๋าด้วยที่หล่อหลอมสมบัติวิญญาณที่กล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งเดียวในใต้หล้า!”

ซูอี้พยักหน้า ก่อนกล่าวว่า “นี่ก็ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนด้วยเช่นกัน ข้าจะมุ่งเป้าไปที่การซ่อมแซมค่ายกลนี้ให้สำแดงพลังออกมาโดยเร็วที่สุด”

ในขณะที่เขากำลังจะจากไปนั้นเอง

จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยพลันกล่าวว่า “สหายเต๋า ช้าก่อน”

ซูอี้ชะงัก ก่อนหันมามอง

จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “คืนก่อน หอดาบโคจรสวรรค์ส่งคนใหญ่คนโตมาเยือนสหายเต๋า”

ซูอี้ตะลึง พลางกล่าวว่า “เหตุใดพวกเขาจึงอยากพบข้า?”

เขาเคยได้ยินนามหอดาบโคจรสวรรค์ หนึ่งในสามขุมอำนาจจากต่างโลกเหมือนเช่นสำนักวิญญาณมิติกว้างและสำนักมารแปรดารา

อำนาจของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ็ดมหาอำนาจโบราณใด ๆ เลย!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด